ฉีเฟยอวิ๋นออกจากวังโดยมีหนานกงเย่เดินเคียงข้าง สองสามีภรรยาเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดสิ่งใด

สวีกงกงเดินตามไปไม่ช้าไม่เร็ว เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะออกไป สวีกงกงก็เอ่ยว่า “พระชายาเย่ ครั้งก่อนที่ข้าน้อยให้ท่านไปตรวจร่างกายอีกครา พระชายาเย่จำได้หรือไม่”

“จำได้สิ ข้าจะไปตามที่ท่านบอก” ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับ สวีกงกงรีบยื่นมือให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นมองก่อนจะพูดอะไรสองสามประโยค จากนั้นจึงออกไปพร้อมกับหนานกงเย่

ทั้งสองออกจากวังและขึ้นรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นหยิบจดหมายที่สวีกงกงลอบส่งให้นางออกมาเปิดอ่าน

หลังจากอ่านจบนางก็ยื่นให้หนานกงเย่ หนานกงเย่อ่านอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่พบอะไรเลยหรือ”

“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน คนวางยาพิษเป็นใครกันแน่?

“ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้หม่อมฉันสงสัยท่านฮองเฮามาตลอด แต่จุดที่แปลกก็คือตอนที่ท่านอ๋องไปดูการประหารนักโทษ หม่อมฉัน องค์จักรพรรดิ ท่านอ๋องตวนและสวีกงกง มีเพียงพวกเราสี่คนเท่านั้นใช้เวลาอยู่ที่พระที่นั่งบำรุงฤทัยเป็นเวลาสามวัน อาหารและเครื่องดื่มทุกอย่าง หม่อมฉันก็ลองชิมก่อนทุกอย่างแต่ไม่พบยาพิษใดๆ เลย

ทว่าก่อนที่ท่านอ๋องจะกลับมา หม่อมฉันเข้าไปดูฝ่าบาทและพบว่าพระองค์ได้รับพิษอย่างรุนแรงแล้ว”

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ สายตาของหนานกงเย่ก็เต็มไปด้วยความสงสัย “หรือว่าสวีกงกงจะเป็นคนวางยาพิษ”

ฉีเฟยอวิ๋นชะงัก “สวีกงกง?”

หนานกงเย่เบนหน้าไปทางอื่น “หากไม่ใช่สวีกงกงก็แสดงว่ามีคนต้องการใส่ร้ายเขา”

“ท่านอ๋อง ท่านไม่สงสัยหม่อมฉันกับท่านอ๋องตวนหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ

“ท่านอ๋องตวนทำเรื่องนี้ไม่ได้หรอก เจ้าก็ด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจนัยแฝงในน้ำเสียงของเขา “เช่นนั้นฝ่าบาททำได้หรือเพคะ”

“หากสืบหาตัวคนวางยาไม่พบ ก็บอกแน่นอนไม่ได้ เราไม่ใช่พระเจ้าเสียหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นเกือบหลุดหัวเราะกับคำพูดของหนานกงเย่

ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าเมื่อกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ ส่วนหนานกงเย่ไปตรวจสอบความเรียบร้อยของตู้ฟางจุน

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะเข้าไปในจวนแต่ก็มีเสียงเรียกขึ้นมาก่อน “พระชายาเย่อย่าเพิ่งไปขอรับ”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองผู้มาเยือน เขาเป็นชายสูงวัยอายุประมาณห้าถึงหกสิบปีที่กำลังวิ่งเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ เมื่อถึงตรงหน้านาง เขาก็คุกเข่าลงทันที

ก่อนที่ฉีเฟยอวิ๋นจะตอบสนองอะไร อีกฝ่ายก็คุกเข่าและร้องห่มร้องไห้

“พระชายาเย่ผู้เป็นพระมาโปรด พระชายาเย่ได้โปรดช่วยครอบครัวของข้าน้อยด้วย” ชายชราร้องไห้อย่างหนัก ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองอาอวี่

“เจ้าเป็นใคร” อาอวี่ถามอีกฝ่าย

“ข้าน้อยเป็นผู้ดูแลตระกูลหลี่ที่นอกเมือง หัวหน้าตระกูลของข้าน้อยทำการค้าขาย ก่อนหน้านี้เขาร่างกายแข็งแรงดี แต่หลังจากคุณผู้หญิงของพวกเราเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย เขาก็ซึมเศร้ามาตลอด วันนี้เขากินยาพิษเข้าไปและยังไม่ได้สติจนถึงบัดนี้ ข้าพาไปพบหมอหลายต่อหลายคน แต่พวกเขาบอกว่ามีเพียงพระชายาเย่เท่านั้นที่ช่วยได้ ข้าน้อยมารอพระชายาเย่อยู่พักหนึ่งแล้ว พ่อบ้านบอกว่าพระชายาเสด็จเข้าวังและไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ข้าน้อยขอร้องพระชายาเย่ด้วยเถิด มีเพียงพระชายาเย่เท่านั้นที่ช่วยชีวิตนายของข้าน้อยได้ ข้าน้อยยินดีรับใช้พระชายาเย่ทุกสิ่ง”

“อาอวี่ เตรียมรถและนำกล่องยาของข้ามา”

“ขอรับ”

อาอวี่รีบไปเตรียมการทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ฉีเฟยอวิ๋นบอกให้ผู้มาเยือนลุกขึ้นแต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ร้องไห้

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว ข้าจะไปดูให้”

ฉีเฟยอวิ๋นรอให้รถม้ามาถึงและขึ้นไปบนรถ อาอวี่บังคับม้า อีกฝ่ายนั่งข้างกายอาอวี่และคนทั้งสามก็ออกจากเมือง

เมื่อออกห่างจากเมืองหลวงไปสิบกว่าลี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่ารถม้าเริ่มโคลงเคลงก่อนจะหยุดลงในที่สุด

นอกรถม้าเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ ฉีเฟยอวิ๋นส่งเสียงขึ้นมา “อาอวี่?”

ไม่มีเสียงตอบรับจากอาอวี่ ฉีเฟยอวิ๋นเปิดม่านรถม้าออกมาดูแต่ไม่พบใคร อาอวี่หายตัวไป คนที่มาตามนางก็หายไปเช่นกัน

นอกจากนี้บริเวณนี้ใกล้เคียงยังไม่มีหมู่บ้านอยู่เลย ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถและมองไปรอบๆ

นางจับเข็มเงินไว้แน่นและมองไปรอบๆ

บริเวณโดยรอบเงียบสงัด ฉีเฟยอวิ๋นจึงร้องเรียกอีกครั้ง “อาอวี่”

อาอวี่ยังคงไม่ตอบ แต่มีคนอื่นกำลังเดินมาทางนี้ กว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเห็นคนเหล่านั้น พวกเขาก็มาอยู่ตรงหน้านางแล้ว พวกเขามีกันประมาณหกเจ็ดคน คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ท่าทางเหมือนขอทานหรืออะไรประมาณนั้น ดูท่าทางแล้วไม่น่าใช่คนดี

ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร”

“ฮ่าฮ่า… เราได้ยินมาว่ามีคนงามคนหนึ่งอยู่ที่นี่ แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย!”

ชายคนหนึ่งหัวเราะอย่างชั่วร้าย ฉีเฟยอวิ๋นมองคนเหล่านั้นอย่างพินิจและกล่าวว่า “ใครสั่งให้พวกเจ้ามา เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร”

“จะรู้หรือไม่รู้แล้วอย่างไร พวกเราล้วนแต่เป็นขอทานข้างถนน ไม่มีข้าวปลาให้กิน ไม่มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ วันดีคืนดีอาจจะถูกใครฆ่าตายก็ได้”

ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า คนเหล่านี้เป็นคนชั่วช้าสามานย์ถึงขีดสุด

“หากพวกเจ้าฆ่าข้า พวกเจ้าก็ต้องตาย”

“ถึงต้องตายพวกเราก็ยอม เจ้างดงามขนาดนี้ แค่มองก็รู้สึกสุขสมแล้ว”

สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ นางมองไปรอบๆ และพยายามหาตัวอาอวี่ แต่ก็ไม่มีวี่แววของเขาเลย

คนเหล่านั้นเข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กลัวพวกเขาและนางไม่ได้ใส่ใจพวกขอทานเหล่านี้เลย แต่ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์

ฉีเฟยอวิ๋นมองดูกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาก่อนจะคว้าเข้าที่ข้อมือของชายคนหนึ่งและโยนเขาขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นนางก็แทงเข็มในมือเข้าไปจนอีกฝ่ายกรีดร้องเสียงหลง

คนที่อยู่ข้างหลังคว้าไหล่ของฉีเฟยอวิ๋นและฉีกเสื้อผ้าของนาง ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นมืดมนลงทันที นางหันกลับมาและปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมกับแทงเข็มเงินเข้าตาของคู่ต่อสู้ อีกฝ่ายได้แต่กรีดร้องและพยายามหลบหลีก

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าเหตุการณ์เริ่มชุลมุน พวกเขาก็วิ่งกรูเข้าไป บางคนเกาะขาฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ บ้างก็กอดเอวนางไว้จนฉีเฟยอวิ๋นขยับตัวไม่ได้ แม้ว่านางจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ยังขยับไม่ได้

มีคนหนึ่งพุ่งเข้ามาข้างหน้าและคว้าเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋น ก่อนจะออกแรงดึงจนชุดของนางขาดออกจากกัน

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตกใจ นางงื้อมือตบหน้าอีกฝ่ายพลางยกขาขึ้นถีบ ในขณะที่นางกำลังจะกระโจนเข้าไปทึ้งศีรษะของชายชั่วคนหนึ่ง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาตรงหน้าด้วยความเร็ว จนฉีเฟยอวิ๋นไม่ทันเห็นคนที่โดนแทงจนตายคาที่โดยไม่มีโอกาสกรีดร้องแม้แต่คำเดียว

ฉีเฟยอวิ๋นก้าวถอยหลังและเหลือบมองคนที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขาคือพวกของปู้เหวินนั่นเอง

“ไว้ชีวิตพวกเขา” ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนบอกคนเหล่านั้น ปู้เหวินจึงถีบจนล้มไปหนึ่งคน

ฉีเฟยอวิ๋นจัดเสื้อผ้าของนางให้เรียบร้อยก่อนจะประคองท้องของตัวเองและเอนกายลงบนรถม้า “อาอวี่หายตัวไป ไปตามหาเขา”

ปู้เหวินผละออกไปสั่งคนให้ช่วยตามหา ส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็รีบหยิบยาและนำเข้าปากของตน

ปู้เหวินถอดเสื้อคลุมออกแล้วคลุมให้ฉีเฟยอวิ๋น “พระชายา ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไปรายงานท่านอ๋อง บอกว่าข้าอาการไม่ดี” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บท้องจนแทบจะทนไม่ไหว

ปู้เหวินสั่งให้คนไปรายงานทันทีและพาฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในรถม้า

ฉีเฟยอวิ๋นเอนกายลง ใบหน้าของนางเริ่มซีด

ปู้เหวินลงจากรถม้า จากนั้นก็ชี้ไปยังขอทานคนหนึ่งและถามว่า “ใครส่งเจ้ามา”

ขอทานไม่ตอบและเอาแต่ส่ายหัวลูกเดียว ปู้เหวินจึงฟันดาบตัดใบหูของเขาออกหนึ่งข้าง

ขอทานกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะกุมใบหูที่มีเลือดไหลเอาไว้

ปู้เหวินถามอีกครั้ง “ใครส่งเจ้ามา”

ขอทานตัวสั่น “ชายคนหนึ่งจ้างข้า แต่เขาพะ… พูดคุยกับแม่นางคนหนึ่ง”

“หญิงสาวลักษณะอย่างไร”

“นางงดงามมาก สวมชุด… สีเขียวอ่อน”

ปู้เหวินฟันดาบเข้าที่มือที่กำลังกุมใบหูของขอทานอีกครั้ง ขอทานตัวสั่นสะท้าน “อ๊าก!”

“บอกให้เจาะจงกว่านี้”

ขอทานล้มลงกับพื้นแล้วกลิ้งไปมาท่ามกลางผู้คนมากมาย

ขอทานไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปและต้องการตายอย่างรวดเร็ว “เป็นหญิงสาวที่ถูกตัดผมออกไป”

ปู้เหวินหันไปทางรถม้าและฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าทราบแล้วว่าเป็นใคร นางคือเฉินอวิ๋นเอ๋อร์”

ปู้เหวินรีบพาฉีเฟยอวิ๋นกลับทันที หนานกงเย่ที่ได้รับข่าวกลับมาถึงจวน ซึ่งตอนนี้ฉีเฟยอวิ๋นกำลังนอนเหงื่อไหลโทรมอยู่บนเตียง

หมอประจำจวนโจวรีบเข้ามาในห้องและให้ฉีเฟยอวิ๋นกินป้องกันการแท้งกว่าหนึ่งกำ

ทันทีที่หนานกงเย่เข้ามา หมอโจวก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง

“ท่านอ๋อง กระหม่อมผู้ต่ำต้อยสมควรตาย กระหม่อมไร้ความสามารถ บุตรของท่าน…”