ภาคที่ 2 บทที่ 104 นักโทษ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 104 นักโทษ

หลังกลับจากจุดนัดพบแล้ว ซูเฉินก็กลับไปจัดการภาระตนทันที

การต่อสู้ยาวนานทำให้ซูเฉินได้ของมามากมายหลายอย่าง จากการต่อสู้กับหกตระกูลสายเลือดชั้นสูงและตระกูลจู ทำให้เขาได้แหวนกักเก็บมาทั้งหมด 11 วง ในแหวนเหล่านั้นมีหินพลังต้นกำเนิด วัตถุดิบทำยา วิชาบ่มเพาะพลัง และเครื่องมือต้นกำเนิดอยู่หลายชิ้น

แต่สำหรับซูเฉินแล้ว สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือตัวคนต่างหาก

ไม่ว่าจะเป็นใคร หากมาจากเจ็ดตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นก็ย่อมเป็นตัวทดลองที่ดียิ่ง แม้จะตายไปแล้ว แต่หากยังไม่นานเกินไป เลือดในกายยังไม่เหือดแห้งก็ยังมีค่า เนตรมองพลังต้นกำเนิดของซูเฉินนั้นวิเคราะห์หาความจริงได้เก่งกาจ มันสามารถมองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ ได้ ทำให้เด็กหนุ่มทำการวิเคราะห์ค้นคว้าได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก

ในขณะที่คนอื่น ๆ ยังติดอยู่ในสิ่งที่ตนเห็นเพียงเท่านั้น มัวแต่ทำความเข้าใจพลังต้นกำเนิดเพียงสิ่งที่ตาเปล่าเห็น หากแต่ซูเฉินสามารถสังเกตและวิเคราะห์มันในระดับที่เล็กกว่าและแม่นยำกว่าได้ ทำให้เขาทำการค้นคว้าสำเร็จ ได้ผลลัพธ์อันเป็นประโยชน์มามากมาย

เพื่อการวิจัยเรื่องต่าง ๆ แล้ว ซูเฉินได้ตระเตรียมยามามากมาย อีกทั้งยังเก็บตัวอย่างเลือดสดไว้นับไม่ถ้วน ยังมีเครื่องใน เนื้อเยื่อ และกล้ามเนื้อที่เก็บไว้เป็นตัวอย่าง เขาผนึกมันเอาไว้เพื่อใช้ในงานวิจัยของเขา แม้มันจะดูน่าสะอิดสะเอียนไปสักหน่อย แต่การค้นหาความจริงย่อมต้องเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม หากเรื่องแค่นี้เขายังรับมือไม่ได้ เช่นนั้นก็ละทิ้งความฝันยิ่งใหญ่ไปเสียเลยดีกว่า

แต่เทียบกับคนตายแล้ว อย่างไรคนเป็นก็มีค่ามากกว่า

หลังจากเขาจัดการเตรียมศพเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็เดินกลับไปตรวจนักโทษทั้งหลายของเขา

เขาไปหาหงหมิงเป็นคนแรก ด้วยหงหมิงเป็นคนที่ใกล้จะฝืนทนมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้ว

ในระหว่างการต่อสู้ที่ป่าสนแดง หงหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกหักทั่วร่างจากพลังซัดอันรุนแรงของอาสิบเอ็ด อวัยวะภายในหลายแห่งถูกสะบั้น อาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แม้ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณจะมีพละกำลังไม่ธรรมดา แต่บาดแผลสาหัสเช่นนี้ อย่างไรเขาก็ไม่อาจรักษาร่างกายให้หายดีได้ เว้นเสียแต่เขาจะฝึกวิชาลับเช่นเดียวกับเจิ้งปาซาน

ทว่าหงหมิงโชคดีนักที่ได้พบซูเฉิน

หลังจากศึกษาเรียนรู้มานานหลายปีเข้า วิชาแพทย์ของซูเฉินก็ถึงความชำนาญในระดับหนึ่ง เขาจึงทำการผ่าตัดให้หงหมิง เย็บอวัยวะภายในที่ฉีกขาดให้ กระทั่งใช้สมุนไพรมีค่าหลากหลายเพื่อยื้อชีวิตเขาไว้ หลังจากพยายามมาหนึ่งวันเต็ม ซูเฉินก็พาหงหมิงกลับมาจากความตายได้

แต่ทว่าผลลัพธ์นี้ไม่ได้เป็นเพราะวิชาแพทย์ของซูเฉินสูงส่งอะไร เป็นเพราะร่างกายอันแข็งแกร่งของหงหมิงและยาต่าง ๆ เสียส่วนมาก

จึงนับได้ว่าหงหมิงโชคร้ายเช่นกันที่ได้พบซูเฉิน

แม้จะช่วยหงหมิงไว้ ซูเฉินก็ยังคิดจะศึกษาและฝึกวิชากับร่างหงหมิงอยู่เช่นเดิม เขาไม่สนว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เขาอยากรู้เพียงว่าจะได้ความรู้อะไรจากการทดลองบ้าง และมีความคืบหน้าเป็นอย่างไรเพียงเท่านั้น

สำหรับซูเฉินแล้ว หงหมิงนั้นเป็นตัวทดลองที่ประเมินค่าไม่ได้ เพราะอย่างไรผู้อยู่ด่านทะลวงลมปราณก็มีความสามารถในการฟื้นฟูมากจนน่าประหลาดใจ สังหารไม่ง่ายนัก คนเช่นนั้นนับเป็นตัวทดลองอันสมบูรณ์แบบให้เขาใช้วิจัยและศึกษาค้นคว้า

และในเมื่อซูเฉินเก่งกาจด้านปรุงยา เขาจึงตั้งตารอคอยการทะลวงผ่านด่านในวิชาแพทย์ของตนมานานแล้ว ดังนั้นหงหมิงจึงถูกชะตาชี้ขาดมาให้ต้องพบกับความทรมาน อย่างไรก็ตายไม่ได้ ต้องถูกมัดไว้กับเตียงให้ซูเฉินฝึกฝนวิชาแพทย์จนกระทั่งวันใดที่ซูเฉินเผลอลงมือฆ่าเขาไป

แต่แน่นอนว่าตอนนี้หงหมิงยังไม่รับรู้ชะตากรรมนั้น

เขานอนอยู่บนเตียง มีสายระโยงระยางต่อออกจากร่างเต็มไปหมด ก่อนจะจ้องมองมาทางซูเฉินอย่างอ่อนกำลัง ซูเฉินมือหนึ่งถือบันทึกสมุนไพรที่ใช้รักษา มือหนึ่งจดความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างหงหมิง

“เพราะ…… เหตุใด…… จึงช่วยข้า……” หงหมิงเค้นคำออกมาอย่างยากลำบาก

ซูเฉินเหลือบมองเขา แต่ก็ไม่ได้อธิบายความคิดหรือให้เหตุผลใดไป

ในช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจเข้าใจความคิดซูเฉินได้ อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะหากทำแล้วจะยิ่งทำให้ตัวทดลองแข็งข้อกับเขาด้วยแล้ว

หากแต่เขาให้เหตุผลปลอบใจหงหมิงอีกอย่างหนึ่งไปแทน “ข้าสังหารจางเซิ่งอันและจงติ่ง ส่วนความตายของคนอื่น ๆ ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะข้า มีเพียงคนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกโคลนยักษ์สังหารจริง ๆ ไม่มีใครลงมือกับเขาเลย”

“หงอู่ ?”

ซูเฉินพยักหน้า

เขาพูดเรื่องจริง แม้ซูเฉินไม่ได้คิดช่วยเหลือหงหมิงจริง แต่ก็นับว่าเป็นข้ออ้างที่มากเกินพอแล้ว

หงหมิงถอนหายใจ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกลับไปบอกทางตระกูลว่าอย่าสร้างปัญหาให้เจ้าอีก”

คิดว่ายังจะกลับไปได้อีกหรือ ?

ซูเฉินหัวเราะอยู่ในใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเต็มใจเชื่อเขาเสียขนาดนั้น เขาจึงไม่ปฏิเสธที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปเช่นนั้น เรื่องราวจะได้ง่ายขึ้นอีกนิดหนึ่ง

เขาเอ่ยเพียง “ข้าไม่ติดค้างสิ่งใดกับตระกูลหง แต่ตอนนี้ท่านติดหนี้ชีวิตข้า”

หงหมิงเข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ย “ถูกต้อง ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า ของทุกอย่างในแหวนกักเก็บของข้า ข้ายกให้เจ้าทั้งหมด”

ซูเฉินส่ายหัว “ข้ามีของเหล่านั้นแล้ว”

“แล้วยังต้องการสิ่งใดอีก ?” หงหมิงรู้ดีว่าตนไม่ควรโมโหใส่อีกฝ่ายในตอนนี้

“ทักษะต้นกำเนิด ทักษะต้นกำเนิดทั้งหมดที่ท่านมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาที่ท่านโจมตีอาสิบเอ็ดจนบาดเจ็บสาหัส”

“เรื่องนี้……” หงหมิงลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดแล้วก็ตอบตกลง

“เช่นนั้นดียิ่ง ท่านพักผ่อนเถอะ” ซูเฉินลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป

หลังจากจัดการเรื่องหงหมิงแล้ว ซูเฉินก็เดินไปดูอาการเจิ้งปาซานเป็นคนต่อไป

สภาพเจิ้งปาซานนั้นตรงกันข้ามกับหงหมิงอย่างสิ้นเชิง

บาดแผลบนร่างกายนางไม่สาหัสเท่าไรนัก แต่จิตของนางหลับใหลดำดิ่งลงสู่ห้วงลึก

นับเป็นผลจากพลังซัดของอาสิบเอ็ดที่ซัดเข้าที่หัวนาง

พลังซัดครั้งนั้นไม่ใช่การโจมตีจิต แต่ทำให้สมองเจิ้งปาซานกระทบกระเทือน หลายคนต่างรู้ดีว่าจิตคนเรานั้นเชื่อมถึงสมอง แต่ไม่รู้ว่าเชื่อมต่อกันมากมายลึกล้ำถึงเพียงไหน สภาพอาการของเจิ้งปาซานนั้นทำให้ซูเฉินได้เข้าใจและเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องจิตมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ดังนั้น จุดประสงค์หลักของซูเฉินที่พาตัวเจิ้งปาซานกลับมานั่นคือการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่เกี่ยวกับจิต การปกป้องจิต และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิตนั่นเอง

แต่เพราะเจิ้งปาซานยังไม่ได้สติ ซูเฉินจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกับนาง หลังจากตรวจอาการนางเล็กน้อยแล้วก็ป้อนยาให้นางขวดหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหาจูเซียนเหยา

ในหมู่คนที่จับมา 3 คน มีเพียงจูเซียนเหยาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

ดังนั้นซูเฉินจึงต้องระมัดระวังนางมากกว่าใคร นางถูกป้อนผงขัดพลังปราณและได้กังเหยียนยืนเฝ้าห้องนางโดยเฉพาะ

เมื่อซูเฉินมาที่ห้องนาง จูเซียนเหยากำลังนั่งกอดเข่าตนอยู่บนมุมหนึ่งของเตียง คล้ายกับกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่

เมื่อนางเห็นซูเฉินเดินเข้ามาก็ยืดหลังตรง นัยน์ตาปรากฏแววดุร้าย เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้วางใจเขา

ซูเฉินเห็นแล้วก็หัวเราะ เดินเข้าไปนั่งด้านข้างนาง “เป็นอย่างไรบ้าง ? หวังว่าเจ้าจะอยู่สบายดีกระมัง”

จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเย็น “ซูเฉิน ข้ายอมรับแล้วว่าเจ้าชนะ แผนการของตระกูลจูล้มเหลวไม่เป็นท่า หากเจ้าส่งจดหมายไปที่ตระกูล บอกว่าข้าอยู่ในการดูแลของเจ้า ท่านแม่ต้องปลดการบิดบังของตำราเปิดพลังไคฮวงแน่”

“เจ้าคิดว่าเป็นเพราะเหตุนั้นข้าจึงจับเจ้ามาตัวเป็น ๆ หรือ ?” ซูเฉินหัวเราะออกมา

“แล้วไม่ใช่หรือไร ?” จูเซียนเหยาชะงักไป

ซูเฉินส่ายหัว “ไม่ใช่ หากข้าคิดอยากให้ตระกูลจูยอมแพ้ก็ลงมือไม่ยากเลย”

เขาหยิบตำราเปิดพลังไคฮวงฉบับคัดลอกออกมาโบกตรงหน้านาง “หากข้าหาสถานที่ที่สามารถคัดลอกเจ้านี่สักหลายพันฉบับออกมาได้ เช่นนั้น……”

จากนั้นก็ทำท่าราวกับโปรยบางอย่างในอากาศ

“ถึงตอนนั้นแล้ว ตระกูลจูปิดบังประกาศตำราเปิดพลังไคฮวงแล้วจะได้อะไร ?”

ดั่งมีฟ้าผ่าเปรี้ยงท่ามกลางใจจูเซียนเหยา

นางตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์