ภาคที่ 2 บทที่ 105 ปลดการปิดบัง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 105 ปลดการปิดบัง

ตั้งแต่ยังเล็ก จูเซียนเหยาก็ได้รับการปรนนิบัติราวองค์หญิงน้อย เป็นไข่มุกในมือของคนทั้งตระกูล

นางเคยชินกับการที่ผู้อื่นต้องตามเอาอกเอาใจ ถูกคนอื่น ๆ ไล่ตาม ถูกอิจฉาริษยา

ดังนั้นแม้จะถูกคุมขัง จูเซียนเหยาก็คิดว่าคงจะเป็นการชั่วคราวเท่านั้น เพราะนางมีค่าถึงเพียงนั้น

ตราบเท่าที่ตัวนางมีค่า อย่างไรก็จะไม่ถูกปฏิบัติด้วยแย่เกินไป ไม่นานก็ได้รับอิสระกลับคืน

หากแต่ตอนนี้ ความคิดเย่อหยิ่งทั้งหลายพลันแตกกระจายด้วยประโยคของซูเฉินเพียงประโยคเดียว

ข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าเป็นข้อแลกเปลี่ยน ข้าใช้วิธีรับมือของข้าก็สามารถบีบให้ตระกูลจูยอมแพ้ได้แล้ว

พวกเขาดูถูกซูเฉินและแผนการของตนเองมาตั้งแต่แรกแล้ว

เป็นเพราะตระกูลใหญ่เช่นพวกนางเคยชินกับการชิงเอาของผู้อื่นและสังหารคน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับอีกฝ่ายที่ไม่คิดหวงวิชาอย่างไร เมื่อลองทำตามแผนที่เคยใช้อยู่บ่อยครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายกลับสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ทุกย่างก้าว

พวกนางคิดหรือว่าจะสามารถหยุดไม่ให้ซูเฉินเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวงได้ เพียงแค่ปิดบังประกาศบนแดนฝันของเขา ?

สวรรค์โปรด ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก !

เป็นตอนนี้เองที่นางพบว่าทุกสิ่งอย่างช่างไร้ความหมาย

การแพร่วิชาความรู้นั้นแตกต่างจากการชิงสมบัติอย่างสิ้นเชิง หากซูเฉินต้องการก็ยังมีอีกมากมายหลายวิธีในการเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวง ดังนั้นตระกูลจูจึงถูกเฉินลวงมาให้กำจัดหกตระกูลใหญ่แทนเขา

แท้จริงแล้วเหตุผลที่ซูเฉินยังไม่ลงมือทำเช่นนั้นเป็นเพราะการเผยข้อมูลแบบคนต่อคนเช่นนี้ใช้เงินมากกว่า ทำให้ได้รับผลประโยชน์น้อยลงกว่าเดิม อีกทั้งยังมีโอกาสที่คนจะตามไล่ล่าสูง ไม่เหมือนกับในแดนฝันที่สามารถปกปิดตัวตนได้ดีกว่านี้

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จูเซียนเหยาก็เริ่มเสียใจกับสิ่งที่ตนทำลงไป

พวกนางคิดใช้เล่ห์กลชิงเอาสมบัติ คิดหยุดการกระจายของตำราเปิดพลังไคฮวง นับว่าเป็นการใช้ผิดวิธี มีแต่จะได้รับผลลัพธ์เลวร้ายเท่านั้น

จูเซียนเหยาพลันเสียความหยิ่งยโสที่เคยมี พึมพำเสียงเบาออกมา “เช่นนั้น…… เจ้าต้องการอะไร ?”

“น้ำเสียงเช่นนั้นจึงจะถูกต้อง” ซูเฉินเอ่ยเสียงพึงพอใจ

เขาว่าต่อ “เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่ชอบคนที่พานแต่จะสร้างปัญหาให้ข้าไม่หยุด แต่ในเมื่อข้าเลือกเดินทางนี้แล้ว ชั่วชีวิตคงไม่อาจหลีกหนีปัญหาได้อีก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากเลี่ยงได้ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อเลี่ยงมัน”

“เจ้าลองดู มีแผ่นภาพนี่ ข้าก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนจากตระกูลเจ้าเป็นคนจากหกตระกูลใหญ่สังหารเสียส่วนมาก ส่วนอาสิบเอ็ดก็เป็นอารามนิรันดร์สังหาร ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวพันกับข้าเลย หากเรายังคงสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป เรื่องราวก็แก้ไขได้ง่ายมาก”

จูเซียนเหยาตกตะลึง นางเหลือบมองซูเฉินก่อนกล่าวขึ้น “เจ้าคิดว่าใช้เพียงแผ่นภาพนี่ก็จะสามารถสลัดปัญหาทุกอย่างได้แล้วหรือ ?”

จิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูเดินทางมาที่นี่เพราะซูเฉิน

แม้ซูเฉินจะลบตนเองออกจากแผ่นภาพได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่จิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูเดินทางมาถึงที่นี่เพราะเขาได้ หากตระกูลจูไม่ยอมรามือ อย่างไรก็ต้องส่งคนมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่นานก็จะรู้ว่าเป็นฝีมื ซูเฉิน

ทำเช่นนี้ไม่อาจหลอกลวงตระกูลจูได้เลย

จุดประสงค์ที่แท้จริงของแผ่นภาพคือการเสี้ยมให้ตระกูลจู หกตระกูลใหญ่ และอารามนิรันดร์เข้าห้ำหั่นกันต่างหาก ไม่ใช่เพื่อดึงซูเฉินออกจากเรื่องวุ่นวาย

ซูเฉินพยักหน้า “หากมีเพียงแผ่นภาพเพียงอย่างเดียวก็คงยากไปสักหน่อย ดังนั้นข้าจึงต้องการอีกอย่างหนึ่ง”

“ต้องการอะไร ?”

“ต้องการให้เจ้าเขียนจดหมายไปถึงตระกูล เล่าว่าหลังจากเจ้ามาถึงก็พบว่าข้าแอบเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวงไปแล้ว ร่วมมือกันไม่ได้อีก เพื่อหยุดการเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวง พวกเจ้าจึงสังหารคนจากหกตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่มาซื้อตำราเปิดพลังไคฮวงจากข้า”

จูเซียนเหยาพยักหน้ารับ

แท้จริงแล้วซูเฉินคิดให้จูเซียนเหยาเป็นหลักฐานยืนยันเหตุการณ์จากปากเขา ใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าสนแดง เพื่อเป็นการตัดความสัมพันธ์เกี่ยวกับตัวเขาและการต่อสู้ในป่าสนแดง

ซูเฉินพูดต่อ “ไม่เพียงสร้างข้ออ้างให้การต่อสู้ที่ป่าสนแดง ยังเพื่อเป็นการเตรียมการการเผยแพร่ข้อมูลครั้งใหญ่ ตระกูลจูจะได้รับจดหมายทั้งหมด 3 ฉบับ”

“เจ้าเขียนฉบับแรก เขียนอธิบายเกี่ยวกับการต่อสู้ที่ป่าสนแดง ฉบับที่สองจะแนบแผ่นภาพที่เยว่หลงซาและข้าจะส่งไปในนามของพวกเราเองเพื่อแจ้งผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนั้นให้ตระกูลเจ้า ฉบับที่สามจะเป็นเจ้าเขียนอีกครั้ง อธิบายให้ตระกูลจูฟังว่าแม้จะสังหารหกตระกูลใหญ่ได้ แต่โชคร้ายที่ตำราเปิดพลังไคฮวงก็ยังหลุดรอดออกไปอยู่ดี”

“อีกทั้งยังต้องบอกในนั้นว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังประกาศของซูเฉินอีก แนะนำให้ยกเลิกแผนการเสียเพื่อประหยัดทรัพยากร พร้อมกันนั้นเจ้าจะเขียนไปว่ามีเรื่องเกิดขึ้น อีกไม่นานเจ้าจะกลับไป ขอให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง”

จูเซียนเหยาสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด

เขาไม่จำเป็นต้องจ่ายสิ่งใดออกไปด้วยซ้ำ จดหมายเพียง 3 ฉบับก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว

ตำราเปิดพลังไคฮวงจะถูกแพร่ออกไป ในขณะที่ตระกูลจูจะเป็นกระสอบรับการโจมตีแทนซูเฉิน……

จูเซียนเหยาโกรธจนคันไปทั้งร่าง “ซูเฉิน เจ้าฝันไปเถอะ !”

“แผนการทั้งหลายก็คล้ายกับจะเป็นการเพ้อฝันอยู่เล็กน้อยอยู่แล้วกระมัง” ซูเฉินตอบ “จำไว้ ข้าไม่คิดยอมรับความล้มเหลว ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเขียนจดหมายออกมาอย่างไร ไม่สนว่าจะส่งจดหมายไปอย่างไร ต้องการเพียงให้ตระกูลจูเชื่อทุกคำที่เจ้าเขียนเป็นพอ และหากพวกเขาไม่เชื่อ เจ้าก็จะต้องตาย ! แต่หากเชื่อ อีก 3 เดือนเจ้าจะเป็นอิสระ”

ใบหน้าซูเฉินเคร่งขรึมขึ้นระหว่างเอ่ยคำ น้ำเสียงกดดันเด็ดขาดยิ่ง

ตระกูลจูจะต้องเป็นคนรับผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้

ตระกูลจูไม่อาจมารบกวนเขาได้อีกเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับจูเซียนเหยา

หากนางเต็มใจเอ่ย อย่างไรตระกูลจูก็เชื่อคำนาง

หลังจากลองใคร่ครวญดูให้ดีแล้ว จูเซียนเหยาก็หัวเราะเยาะออกมา “แผนการเหลือเชื่อ แต่ก็ยังมีจุดพลาดสำคัญ”

“คือจุดใด ?”

“หากข้ากลับไปได้ ทั้งหมดก็จะล้มเหลวอย่างไรเล่า ! ทุกสิ่งอย่างที่เจ้าพยายามมาจะสูญเปล่า เพราะฉะนั้นซูเฉิน ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไรว่าเรื่องจบแล้วเจ้าจะยอมปล่อยข้าไป ?”

ซูเฉินตอบกลับ “ตระกูลจูมีวิชาล้างความจำไม่ใช่หรือ ?”

จูเซียนเหยามองซูเฉินสีหน้าตื่นตะลึง “เจ้าคิดอยากเรียนวิชาน้ำล้างโศกหรือ ?”

“ข้าคิดอยากเรียนทุกวิชาจากตระกูลจู !”

——————————————

การใช้วิชาตระกูลจูรับมือกับตระกูลจูก็คือแผนการของซูเฉิน หากใช้วิธีนี้ เขาก็สามารถสะบั้นความเกี่ยวพันกับตระกูล แต่ก็ยังสามารถร่ำเรียนทักษะวิชาต้นกำเนิดของสายเลือดตระกูลจักรพรรดิอสูรไปด้วยได้

ส่วนเรื่องหลังจากความทรงจำของจูเซียนเหยาถูกล้างไปแล้วนั้น ซูเฉินเองก็ตระเตรียมเรื่องราวไว้ให้นางแล้วเช่นกัน

ผ่านการต่อสู้ที่ป่าสนแดงไปแล้ว ไปจูเซียนเหยาที่หนีเอาชีวิตเกือบไม่รอดพลันไปพบเข้ากับเยว่หลงซา หลังจากส่งจดหมายฉบับสุดท้ายเสร็จ จูเซียนเหยาและเยว่หลงซาก็ร่วมมือกันโจมตีอารามนิรันดร์ แต่นางได้รับบาดเจ็บระหว่างต่อสู้ ตื่นขึ้นมาจึงสูญเสียความทรงจำไป

คำโกหกครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อลวงตระกูลจู แต่เป็นการลวงจูเซียนเหยาหลังจากถูกล้างความทรงจำแล้วต่างหาก

น้ำล้างโศกล้างความทรงจำจูเซียนเหยาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ความทรงจำระยะยาวจะยังคงอยู่ เช่น เรื่องตัวตนต้นกำเนิดของนาง แต่อย่างไรช่วงเวลาที่ความทรงจำหายไปก็จำเป็นต้องให้คำอธิบายแก่นางเช่นกัน

การกล่าวกว่านางกับเยว่หลงซาร่วมมือกันต่อสู้กับอารามนิรันดร์เป็นเรื่องที่สะดวกที่สุดแล้ว อีกทั้งยังเป็นการย้ำเตือนนางว่าตอนนี้ศัตรูของนางคืออารามนิรันดร์ต่างหาก

หลังจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้น ซูเฉินและตระกูลจูก็จะไร้ความสัมพันธ์ใดต่อกันอีก มีเพียงหกตระกูลใหญ่และอารามนิรันดร์เท่านั้นที่จะคอยไปหาเรื่องเนื่องจากการต่อสู้ที่ป่าสนแดง หากแต่เรื่องราวทั้งหมดจะไม่เชื่อมโยงมาถึงตัวซูเฉิน

จูเซียนเหยาใช้เวลาไม่นานก็ตอบตกลง

ถึงตอนนี้นางก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก

หลังจากตอบตกลงกับซูเฉินแล้ว จูเซียนเหยาก็ทำการเขียนจดหมายถึงตระกูลจูเป็นฉบับแรก

แม้การต่อสู้ที่ป่าสนแดงจะเกิดขึ้นไปแล้ว แต่สันเขานอนนั้นเป็นสถานที่ที่ห่างไกลออกไปมาก ไม่อาจรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นเวลาที่แน่ชัดในการเขียนจดหมายจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างไร

หนึ่งวันต่อมา แผ่นภาพก็ถูกส่งออกไป

ในวันที่ 3 จดหมายฉบับที่สามและฉบับสุดท้ายก็ถูกส่งออกไป ถึงตอนนี้ความรับผิดชอบของจูเซียนเหยาก็ใกล้สิ้นสุดเต็มที เหลือเพียงให้นางสอนวิชาลับตระกูลจูให้เขาเท่านั้น

และแน่นอนว่าเขาย่อมต้องทำการวิเคราะห์สายเลือดตระกูลจูด้วยเช่นกัน

เป็นเพราะจูเซียนเหยาให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างไร ซูเฉินจึงไม่คิดทรมานนางมากมายนัก ทำเพียงดูดตัวอย่างเลือดมาทดลองกับตัวสารและวิเคราะห์กับสสารต้นกำเนิด นอกจากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรอีก

15 วันหลังจากส่งจดหมายออกไป ซูเฉินก็เข้าไปยังแดนฝัน ได้รับแจ้งว่าประกาศตำราเปิดพลังไคฮวงไม่ได้ถูกปิดบังแล้ว