ตอนที่ 276: ศาลาสมบัติ
“ปัง ! “
ทันใดนั้นเสียงที่สับสนวุ่นวายพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งดังก้องไปมา หมิงตงเข้ามาพร้อมกับดาบในมือขณะที่เขาถามอย่างเคร่งเครียด เจี้ยนเฉิน เกิดอะไรขึ้น เขาวิ่งเข้ามาและมองรูขนาดใหญ่อยู่บนเพดานด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เมื่อมองกลับมาที่เจี้ยนเฉินเขาก็ถามด้วยความกังวลว่า เจี้ยนเฉิน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินโบกมือและพูดว่า ข้าไม่เป็นไร !
เราอยู่ในตระกูลเทียนฉินและเพิ่งมาถึงเมืองหว่าลู่เหริ่นโดยไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ใครกันถึงได้เข้ามาโจมตีเจ้า ? หมิงตงถามอย่างสงสัย
เจี้ยนเฉินหัวเราะเบา ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องของศัตรู แต่นี่เป็นความพยายามที่จะทดสอบข้า
ทดสอบ ! หมิงตงมองหน้าเขาอย่างตกใจ งั้นเจ้าจะบอกว่า คนที่โจมตีเจ้ามีเจตนาจะทดสอบ…
เจี้ยนเฉินยกมือให้หมิงตงเงียบ นี่เป็นเรื่องที่เราเข้าใจและไม่ต้องพูดอีกแล้ว
หมิงตงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพึมพำ ไม่น่าแปลกใจที่ยามลาดตะเวนด้านในถึงไม่ได้ตื่นตัว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ?
หมิงตง ตอนนี้มันค่อนข้างดึกแล้ว เจ้าควรจะกลับไปที่ห้องของเจ้า เจี้ยนเฉินเริ่มกวาดกระเบื้องที่ตกลงมาก่อนที่จะขึ้นไปบนเตียงของเขา
ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น ข้าก็จะกลับไป โดยไม่พูดอะไรอีก หมิงตงกลับไปที่ห้องของเขาโดยไม่รบกวนเจี้ยนเฉินอีก
กลางคืนผ่านไปและตอนเช้าก็เข้ามา ฉินเซียวก็เข้ามาที่ห้องของเจี้ยนเฉินแต่เช้าเมื่อเห็นประตูที่หัก เขาก็มีท่าทีตะลึงงันก่อนที่จะตะโกนขึ้นมาว่า น้องเจี้ยนเฉิน เจ้ายังอยู่ที่นี่หรือไม่ ?
ฉินเซียวเข้ามา ! เจี้ยนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบมาจากในห้อง
ทันทีประตูห้องของเจี้ยนเฉินก็เปิดและฉินเซียวก็สังเกตเห็นรูขนาดใหญ่บนเพดานห้องพร้อมกับกระเบื้องที่แตกกระจาย
เมื่อเห็นอย่างนี้ฉินเซียวก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เขามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า น้องเจี้ยนเฉินเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ? ทำไมมันดูราวกับมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ ?
เจี้ยนเฉินยิ้มขณะที่เขาพูดว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก มีชายชุดคลุมดำลึกลับผู้หนึ่งเข้ามาทำร้ายข้าเมื่อคืน แต่พี่ฉินเซียวไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
ห๊ะ เมื่อคืนนี้มีใครบางคนเข้ามาทำร้ายเจ้า ? ฉินเซียวพูดอย่างตกใจก่อนที่จะกลายเป็นความโกรธ ใครมันช่างบังอาจ ? คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้อุกอาจกระทำแบบนี้ในตระกูลเทียนฉินของข้า ! ดูเหมือนว่าผู้คุ้มกันพวกนี้ต้องถูกเปลี่ยน ช่างเลี้ยงไว้เปลืองข้าวสุกเสียจริง ! น้องเจี้ยนเฉิน ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านพ่อของข้า เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะเป็นใครที่เข้ามาโจมตีเจ้าในตระกูลเทียนฉิน ข้าจะไม่ปล่อยนักฆ่าเหล่านั้นไปแน่ ฮึ่ม! ไม่เคยมีใครกล้ากระทำอุกอาจเช่นนี้และไม่สนใจตระกูลเทียนฉินของเรา ! ฉินเซียวตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนที่จะไปหาบิดาของเขาด้วยความโมโห ความโกรธของเขาทำให้แม้กระทั่งเจี้ยนเฉินก็ไม่อาจพูดแทรกออกไปได้
ดูเหมือนว่าฉินเซี่ยวจะไม่รู้เห็นในเรื่องเมื่อคืนก่อน เมื่อเห็นฉินเซียวกลับไป เจี้ยนเฉินก็พึมพำกับตัวเองพร้อมกับมองออกไปทางหน้าต่างของเขา
ไม่นานกลุ่มคนก็เข้ามาหาเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว ผู้นำกลุ่มคือฉินเซียวที่มาพร้อมกับผู้นำตระกูลเทียนฉินและผู้คุ้มกันอีกสองสามคน
เจี้ยนเฉินรีบออกไปนอกห้องและป้องมือทักทายผู้นำ เจี้ยนเฉินคารวะผู้นำตระกูลเทียนฉิน
ผู้นำหัวเราะ น้องเจี้ยนเฉิน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกโจมตีเมื่อคืนนี้ใช่หรือไม่ ?
ใช่แล้ว ! เจี้ยนเฉินตอบ
ท่าทางของผู้นำเริ่มเปลี่ยนเป็นอย่างจริงจังหลังจากได้ฟังคำตอบของเขา เมื่อเขามองไปที่ประตูที่ถูกหมิงตงเตะพังลง เขาก็สังเกตสิ่งต่าง ๆ ด้วยใบหน้าของเขา ก่อนที่จะอับอายและตะโกนว่า นี่มันเรื่องไร้สาระมาก ใครกันที่กล้าลงมืออย่างนี้กับตระกูลเทียนฉินของข้า ! ด้วยการจ้องมองอย่างรุนแรงไปที่จุดหนึ่ง ผู้คุ้มกันก็เข้ามาว่า เจ้าเป็นหัวหน้ายามลาดตะเวนได้อย่างไร ? ปล่อยให้ศัตรูแอบลักลอบเข้ามาในตระกูล เจ้าทำงานได้ดีมาก ?
เมื่อได้ยินอย่างนี้ผู้คุ้มกันก็เริ่มหวาดกลัวก่อนที่จะคุกเข่ากับพื้น นายท่านเมตตาด้วย ข้าจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อค้นหาผู้บุกรุก โปรดให้โอกาสเราอีกครั้งเพื่อไถ่โทษของเรา
หึ เนื่องจากเจ้ารับใช้ตระกูลเทียนฉินของเรามาหลายปี แม้ว่าเจ้าจะมีประโยชน์น้อยมาก ข้าจะละเว้นโทษเจ้าชั่วคราว รีบไปหาตัวผู้บุกรุกตระกูลเทียนฉินของเรา ! ผู้นำสั่งการด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
เราขอขอบคุณผู้นำสำหรับการให้อภัย เราจะหาตัวผู้บุกรุกให้เจอ ผู้คุ้มกันพูดขณะที่พวกเขาได้รับการยกโทษและแสดงความขอบคุณ
ผู้นำหันไปมองเจี้ยนเฉิน ท่าทางที่จริงจังของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว น้องเจี้ยนเฉิน ข้าต้องขอโทษจริง ๆ เมื่อคิดว่าเจ้าถูกโจมตีขณะที่เจ้าเป็นแขกของตระกูลเทียนฉินของข้า นี่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ๆ อย่างไรก็ตามไม่ต้องห่วง ตระกูลเทียนฉินจะติดตามหาคนมารับผิดให้ได้ และจะส่งมอบตัวเขาให้เจ้า
ผู้คุ้มกันที่อยู่ถัดจากเขามองหน้ากันด้วยความสับสน เรื่องของเจี้ยนเฉินนั้นพวกเขารับรู้เพียงแค่เล็กน้อยเกี่ยวกับตัวเขา พวกเขารู้เพียงแค่ว่านายน้อยเป็นสหายที่ดีกับเขา แต่ผู้นำตระกูลเทียนฉินปฏิบัติราวกับว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ดีกว่าที่พวกเขาคาดคิด
เป็นไปได้ไหมว่าเด็กคนนี้จะมีผู้หนุนหลังที่ทรงพลัง ? ผู้คุ้มกันทุกคนคิดเหมือนกันแทบจะในเวลาเดียวกัน แม้ว่าคำถามนี้จะมีน้ำหนักอย่างมากในใจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเอ่ยถามออกไป
ความคิดของผู้นำตระกูลเทียนฉินที่มีต่อเจี้ยนเฉินทำให้เขารู้สึกว่าเขากำลังจะได้รับการปฏิบัติที่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะคิดอะไรอีก เจี้ยนเฉินป้องมือของเขาและพูดว่า ผู้นำตระกูลเทียนฉินเมตตาข้าเกินไปแล้ว เมื่อคืนนี้ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ดังนั้นไม่ต้องยุ่งยากมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันยังไม่แน่ชัดว่าคนผู้นั้นอาจจะเป็นศัตรูที่ตามล่าข้า
หลังจากได้ฟังอย่างนี้ผู้นำก็จากไป หลังจากเขาก็สั่งให้ผู้คุ้มกันลาดตะเวนเพื่อให้แน่ใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
ฉินเซียวเดินเข้ามาเจี้ยนเฉินจากด้านข้าง ด้วยร่างกายที่กำยำของเขาเมื่อเทียบกับรูปร่างที่เพรียวบางของเจี้ยนเฉินนั้นสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ฉินเซียวพูดขณะที่ตบไหล่ของเขา น้องเจี้ยนเฉิน เหตุการณ์เมื่อวานนี้ต้องทำให้เจ้าตกใจ มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าไม่ได้รับอันตราย แต่ข้าก็ไม่อาจยกโทษให้กับตัวเองได้
เจี้ยนเฉินหัวเราะก่อนที่จะเอ่ยปากขอให้ฉินเซียวพาเจี้ยนเฉินไปเที่ยวรอบ ๆ เมืองหว่าลู่เหริ่น
เมืองหว่าลู่เหรินมีขนาดใหญ่มาก ใจกลางเมืองเต็มไปด้วยความรุ่งเรือง เมื่อฉินเซียวพาหมิงตงและเจี้ยนเฉินเดินไปทั่วเมือง พวกเขาก็เจอถนนที่คับคั่งหลายสาย
จากนั้นทั้งสามก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารที่ขึ้นป้ายว่า ศาลาสมบัติ ที่วิจิตรงดงาม
น้องเจี้ยนเฉิน นี่คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหว่าลู่เหริ่น ที่นี่เป็นที่ซึ่งสามารถหาของที่มีค่าได้อย่างไม่ยาก ลองเข้าไปดูกัน ฉินเซียวพูดกับเจี้ยนเฉิน
ภายในศาลาสมบัติมีชายที่แต่งตัวหรูหราจำนวนมากกำลังเดินไปรอบ ๆ พร้อมกับทหารรับจ้างที่ดูแข็งแกร่งหลายคนกำลังจ้องมองไปยังสินค้าต่าง ๆ รอบ ๆ พวกเขา
น้องเจี้ยนเฉิน ที่นี่เป็นที่ผูกขาดสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่สุด มีหลายอย่างที่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นสมบัติในอดีตโบราณ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีประโยชน์ใด ๆ พวกมันก็ดูดีมากหากว่าเก็บสะสมไว้ ดังนั้นหลายคนจึงได้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อหาสิ่งของต่าง ๆ ที่พวกเขาสะสมแม้ว่ามันจะมีน้อยมากก็ตาม บางทีก็มีสมบัติที่ไม่รู้จักได้ถูกซื้อไปภายในวันสองวัน ฉินเซียวพูดขณะที่เขามองไปรอบ ๆ
ทันใดนั้นจิตวิญญาญกระบี่สีม่วง-ฟ้าในตันเถียนก็สั่นครั้งหนึ่งก่อนที่จะส่งข้อความทางกระแสจิตให้กับเจี้ยนเฉิน ข้อความนั้นเจี้ยนเฉินสามารถบอกได้เลยว่าจิตวิญญาณกระบี่ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นมาก
หัวใจของเจี้ยนเฉินเต้นไม่เป็นจังหวะ เขามองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีปกติ เขาพูด พี่ฉินเซียว ข้าจะลองเดินดูไปรอบ ๆ แล้วกัน
อื้ม เมื่อถึงเวลาข้าจะมารับเจ้า ฉินเซียวตอบ
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินและหมิงตงก็เดินขึ้นไปชั้นสอง ช่วงเวลาที่เขาก้าวขึ้นไปชั้นสอง เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก็ปรากฏอีกครั้งเมื่อเขาขึ้นไปบนชั้นสอง
ขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังขึ้นไปชั้น 4 มีชายกำยำสองคนขวางทางเขาตรงบันได หนึ่งในพวกเขามองไปที่เจี้ยนเฉินก่อนที่จะพูดอย่างสุภาพว่า ขออภัยนายท่าน แต่มีเพียงผู้ที่มีบัตรม่วงเท่านั้นที่จะขึ้นมาบนชั้นนี้ได้
ในขณะที่บัตรม่วงเป็นวิธีการเก็บเงินที่สะดวกมากในทวีปเทียนหยวน บัตรม่วงยังคงแสดงถึงความมั่งคั่ง มันเป็นสัญลักษณ์ของสถานะอย่างชัดเจนสำหรับผู้ที่ต้องการขึ้นไปยังชั้น 4
ด้วยการโบกมือของเขาบัตรสีม่วงก็ปรากฏบนมือ เขามองไปที่ชายทั้งสองคนและพูดว่า ตอนนี้ข้าขึ้นไปได้หรือไม่ ?
แน่นอน เชิญนายท่าน ! ชายทั้งสองไม่เพียงแต่ปล่อยให้เขาผ่านไปได้ พวกเขายังผายมือเชิญพวกเขาอีกด้วย
เจี้ยนเฉินเดินผ่านยามขึ้นไปบนชั้น 4 แต่ขณะที่หมิงตงกำลังจะตามไป ชายทั้งสองก็เข้ามาขวางอีกครั้ง นายท่าน โปรดแสดงบัตรม่วงของท่านให้พวกเราเห็นด้วย หากท่านไม่มี เราจำเป็นต้องทำตามกฎ ท่านไม่อาจเข้ามาในชั้น 4 ได้
ด้วยคำพูดเหล่านี้หมิงตงมองหน้าเขาอย่างขมขื่นก่อนที่จะยิ้มให้กับเจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉิน เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะรอด้านล่าง
รอสักครู่ ! เจี้ยนเฉินเรียกให้หมิงตงหยุด เขาโบกมือและบัตรม่วงก็ปรากฏในมือของเขา เจี้ยนเฉินยัดเข้าไปในมือของหมิงตงและหันไปถามยามทั้งสองด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า เขาเข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่ ?
ยามทั้งสองมองหน้ากันอย่างลังเลก่อนที่พวกเขาจะยินยอม แม้ว่าพวกเขาจะเห็นว่าบัตรในมือของหมิงตงไม่ใช่ของเขา แต่กฎของศาลาก็บอกไว้ว่าคนที่มีบัตรม่วงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่ไม่เคยบอกว่าบัตรพวกนั้นต้องเป็นของหมิงตง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ละเมิดกฎข้อไหน
ชั้น 4 ค่อนข้างโล่งเมื่อเทียบกับข้างล่าง ตามพื้นที่มีวัตถุแปลก ๆ และประหลาดมากมายกำลังถูกจัดแสดง มีตั้งแต่หินสีที่แตกต่างกันไปจนถึงก้อนโลหะแปลก ๆ มีแม้กระทั่งแจกันเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องสังคโลกโบราณ พูดสั้น ๆ คือมีสิ่งของแปลก ๆ มากมายจากอดีตถึงปัจจุบันและมีหลายอย่างที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้แม้แต่คนเดียวว่าพวกมันใช้ทำอะไรได้