บทที่ 251.2 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด โดย ProjectZyphon
บุรุษหัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสาน ก่อนเอ่ยเย้ยหยันว่า “เด็กชั่วที่ขนยังขึ้นไม่ครบ ยังกล้ามาประลองฝีมือกับนายท่านใหญ่อย่างข้า! อย่าเพิ่งไปสิ ข้าจะไปลูบจริงๆ แล้วนะ ใบหน้านี่ช่างนุ่มนวล เป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเทพธิดาใหญ่ซู ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่จิตใจแห่งกระบี่แหลกสลาย ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่พวกเจ้าได้เจอนาง นางอาจจะไปอยู่ที่หอนางโลมแล้วก็ได้…”
นักพรตหนุ่มก้าวเร็วๆ จากไป ไม่อยากฟังคำพูดสกปรกที่ทำให้คนโมโหอีกแล้ว
เฉินผิงอันเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้าน ไม่ได้สนใจสองฝ่ายที่ตีฝีปากกัน เขาจ่ายสามสิบตำลึงเงินเต็มๆ เพื่อซื้อเสื้อผ้าที่ธรรมดาที่สุดสองชุด อันที่จริงร้านนี้มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา กิจการของพวกเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปมีมากมาย แม้ว่านี่จะเป็นแค่หนึ่งในร้านสาขาจากจำนวนหลายร้อยร้าน ทว่าชุดคลุมอาคมสมบัติพิทักษ์ร้านชิ้นนั้น ต่อให้เฉินผิงอันเป็นแค่คนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญ มองปราดๆ ก็ยังรู้ว่ามันไม่เป็นรองเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างของฉู่หาวเลย
เฉินผิงอันเดินออกจากร้านมาแล้ว คนผู้นั้นก็ยังไม่ไปไหน คนที่มามุงดูอยู่รอบกายเขาเปลี่ยนมาเป็นคนกลุ่มใหม่แล้ว มีทั้งชายและหญิง พวกเขายืนกันอยู่หน้าฉากบังลม ผู้ชายส่วนใหญ่มีสีหน้าเสียดาย แต่ผู้หญิงกลับหัวเราะหยันสีหน้าไม่พอใจ บรรยากาศลี้ลับยากจะหยั่ง ชายวัยกลางคนที่ว่างงานคนนั้นเริ่มพูดจาหยาบคายหมิ่นเกียรติ ทำให้ผู้หญิงหลายคนรู้สึกสะใจอย่างมาก ต่อให้จะรู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร แต่พอได้ยินเขาบอกว่าตัวเองคือเถ้าแก่ร้านขายของจิปาถะที่อยู่ข้างๆ พวกนางก็ยังชักชวนบุรุษที่มาด้วยกันให้เข้าไปดูร้านของเขา ฝ่ายชายมีหรือจะเต็มใจ ใจอยากจะตะบันหน้าชายวัยกลางคนผู้นี้ให้หน้าเละใจจะขาด
พฤติกรรมของบุรุษต่ำช้านั้นไม่ผิด แต่สายตาการทำธุรกิจนั้นไม่เลว เขาพยายามพูดจาเหยียดหยามเทพธิดาซูของภูเขาตะวันเที่ยงสุดฤทธิ์ ยิ่งพูดก็ยิ่งระคายหู พวกผู้หญิงก็ฉลาดกันอย่างมาก คำพูดที่เอ่ยจากปากไม่คล้อยตามบุรุษคนนั้นสักคำ กลับกันยังช่วยพูด ‘คัดค้าน’ อยู่หลายคำ บุรุษที่ทำเพื่อเรียกลูกค้าก็ยิ่งรู้ใจ ยิ่งพูดน้ำลายแตกฟอง ทำให้พวกนางอารมณ์ดี อย่างยิ่ง หางตาคอยชำเลืองมองพวกบุรุษที่เดินทางมาด้วยกัน ราวกับกำลังบอกกล่าวกับพวกเขาด้วยความสาแก่ใจว่า ซูเจี้ยที่พวกเจ้าหลงรักตั้งแต่แรกเห็นตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ตอนนี้พวกเจ้าจะยังชื่นชมนางอีกไหม?
บุรุษโบกไม้โบกมือ พอพูดจนอารมณ์ไต่ทะยานถึงขีดสุดก็ถึงกับเดินไปที่ฉากบังลม ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปวางห่างจากฉากกั้นเล็กน้อย แล้วแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นตบหน้าซูเจี้ยในภาพวาดที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ปากก็ด่าทอนางไปด้วย
เฉินผิงอันคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าพูดถึงซูเจี้ยตอนอยู่ในเมืองเล็ก
ตอนนั้นคนต่างถิ่นต่างก็เข้ามาในเมืองเล็กเพื่อหาโชควาสนา มีเพียงหลิวป้าเฉียวที่ติดตามหญิงสาวสกุลเฉินแห่งอิ่งอินกับคุณชายสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยเท่านั้นที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าเทพเซียนบนภูเขาที่อยู่ด้านนอกก็มีคนที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน
และจุดที่ทำให้เฉินผิงอันประทับใจในตัวหลิวป้าเฉียวมากที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ของสวนลมฟ้า แต่เป็นเพราะตอนที่เขาพูดว่าสักวันหนึ่งซูเจี้ยจะรู้สึกว่าข้าหลิวป้าเฉียวเป็นคนที่นางยินยอมพร้อมใจแต่งงานด้วยได้ คำพูดของเขาไม่ใช่วลีห้าวหาญยิ่งใหญ่ของชายชาตรีอะไร ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เมื่อมีคนถามเขาว่าหากวันหนึ่ง เทพธิดาซูที่เจ้าคิดถึงคะนึงหาชอบเจ้าโดยไม่สนใจความเห็นของคนในครอบครัวจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร? หลิวป้าเฉียวในเวลานั้นกลับเงอะงะตอบไม่ถูก ได้แต่พึมพำเบาๆ ว่า ‘นางจะชอบข้าได้อย่างไร?’
เฉินผิงอันนึกถึงหลิวป้าเฉียวก็อดคิดถึงตัวเองไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินไปทางฉากบังลม มองชายที่มีร้านค้าอยู่ติดกับร้านนี้
บุรุษกำลังจะพาพวกผู้หญิงไปซื้อของที่ร้านตัวเอง จู่ๆ พบว่ามีเจ้าเด็กหน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่งโผล่มาก็ถามอย่างหงุดหงิดว่า “มองอะไรของเจ้า?”
เฉินผิงอันตอบ “มองเจ้า”
บุรุษถลึงตาใส่ “เจ้าแน่จริงก็ลองมองอีกครั้งดูสิ?”
เฉินผิงอันพยักหน้าแล้วจ้องหน้าบุรุษต่อ พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “ตกลง”
ต่อให้เป็นพวกหญิงสาวบนภูเขาที่ไม่ชอบซูเจี้ยก็ยังหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้ตลกมาก
สำนักของพวกนางและสหายข้างกายอยู่ไม่ห่างจากภูเขาตะวันเที่ยง ดังนั้นจึงได้พบหน้ากันบ่อย คนทั่วทั้งบนและล่างสำนัก ตั้งแต่บุรพาจารย์ไปจนถึงลูกศิษย์ฝ่ายนอกล้วนมีความเคารพเลื่อมใสต่อภูเขาตะวันเที่ยงเหมือนคนที่แหงนหน้ามองภูเขาสูง ในอดีตบุรุษในสำนักไม่ว่าเด็กหรือแก่ก็ล้วนไม่ยอมให้คนนอกพูดจาไม่ดีต่อเทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงแม้เพียงครึ่งคำ เพียงแต่ว่าตอนนี้ซูเจี้ยตกต่ำ คนนอกไม่มีใครได้เห็นหน้านางอีก คนที่ชื่นชอบนางถึงพอจะสำรวมกิริยากันได้บ้าง
บุรุษที่ทำการค้าอยู่ในหุบเขาอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าอยากตายรึ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
บุรุษพูดด้วยสีหน้าดุดัน “แล้วเจ้ามายืนบื้อเป็นท่อนไม้อยู่ตรงนี้ทำไม?! รู้หรือไม่ว่าข้าผู้อาวุโสทำการค้าอยู่ที่นี่มาทุกรุ่นทุกสมัย เทพเซียนผู้เฒ่าที่ข้ารู้จักมีมากกว่าคนที่เจ้าเคยพบเจอซะอีก?!”
เด็กหนุ่มที่สมองมีปัญหาในสายตาของบุรุษโพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าชอบซูเจี้ย”
บุรุษอึ้งงัน ความโมโหลดระดับลงทันควัน เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เฉินผิงอันกล่าวอีกว่า “ข้ารู้จักหลิวป้าเฉียว”
บุรุษชำเลืองมองกล่องกระบี่ด้านหลังของเด็กหนุ่มแวบหนึ่งแล้วกลืนน้ำลาย
เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากมีวันหนึ่งข้าได้เจอกับหลิวป้าเฉียว จะเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องในวันนี้”
บุรุษแสร้งพูดอย่างคนแข็งนอกอ่อนใน “เจ้าขู่ใครน่ะ? เจ้าก็รู้จักหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าด้วยรึ? ข้ายังรู้จักเจ้าสำนักสำนักโองการเทพ รู้จักบุรพาจารย์ภูเขาเจินอู่ด้วย แต่พวกเขารู้จักข้าไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าวอีกว่า “พวกเขารู้จักหรือไม่รู้จักเจ้า ข้าไม่รู้ แต่หลิวป้าเฉียวรู้จักข้า ข้อนี้ข้ามั่นใจมาก”
บุรุษโบกมือไล่ “ไป๊ๆๆ อย่ามาโม้น้ำลายเหม็น ขัดขวางการทำการค้าของข้าผู้อาวุโสอยู่ตรงนี้ ไม่นึกว่าขี้หมาข้างทางจะมีเท้าเดินเองได้แล้ว ดวงซวยจริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “ที่ท่าเรือน่าจะมีกระบี่บินส่งข่าวกระมัง?”
แล้วเฉินผิงอันก็พูดเหมือนคุยกับตัวเอง “ช่างเถอะ ข้าไปหาเอาเองก็ได้”
บุรุษที่เริ่มร้อนตัวแสร้งทำเป็นไม่สนใจเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดที่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ พาชายหญิงจากบนภูเขาที่มีสีหน้าคลุมเครือไปซื้อของที่ร้านตัวเอง
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหาจุดพักม้าบนภูเขาที่มีกระบี่บินส่งข่าวจริงๆ ซึ่งร้านนั้นตั้งอยู่สุดปลายทางของถนน จ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้หลิวป้าเฉียว เนื้อหาคือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ส่วนข้อที่ว่าหลังจากหลิวป้าเฉียวได้รับจดหมายแล้วจะไม่แยแส โยนทิ้งไว้ด้านข้าง หรือจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ขี่กระบี่มาสังหารคนถึงที่นี่ เฉินผิงอันก็ไม่สนใจแล้ว
เรื่องบางเรื่อง หากไม่ได้ทำ เฉินผิงอันจะไม่สบายใจ
แต่เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ไม่สบายใจแค่ไหนก็ได้แต่อดทนเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เรือคุนตกจากฟ้าอย่างไร้สาเหตุ
หลังจากเขียนชื่อคนรับและที่อยู่บนจดหมายเสร็จเรียบร้อย คนทั้งจุดพักม้าต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด เวลาพูดกับเฉินผิงอันก็คล้ายจะอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ถึงขั้นมีคนพาเฉินผิงอันออกมาส่งจากจุดพักม้าด้วยตัวเอง แถมยังถามด้วยว่าต้องการให้พาไปที่ท่าเรือหรือไม่ เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้มว่าไม่ต้อง แล้วจึงจากไปเพียงลำพัง
ออกมาจากจุดพักม้าแล้ว เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เพราะเขาค้นพบว่าหลิวป้าเฉียวที่ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูไม่เคยอวดอ้างตน แถมยังพูดล้อเล่นเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเฉินผิงอัน แท้จริงแล้วตอนอยู่ข้างนอกเขาร้ายกาจมาก แม้แต่จุดพักม้าส่งกระบี่บินแห่งนี้ก็ยังรู้จักหลิวป้าเฉียว
ท่าเรือของเรือข้ามฟากหยางจือถังอยู่กึ่งกลางอากาศบนหน้าผาสูงตระหง่านของภูเขาลูกหนึ่ง มีคนเจาะหน้าผาให้เป็นทางเดินเลียบริมผาที่คดเคี้ยวเส้นหนึ่ง เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางก็ได้เห็นเรือข้ามฟากมากมายที่มาจอดอยู่กลางอากาศนอกหน้าผา ด้านล่างเรือข้ามฟากคือก้อนเมฆสีขาวล่องลอย ลักษณะของเรือคล้ายคลึงกับที่แคว้นซูสุ่ย แต่สามารถบินทะยานไปท่ามกลางสายลมได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดเหมือนกัน เฉินผิงอันรอเรืออยู่บนทางเลียบหน้าผาข้างท่าเรือหยางจือถัง ตรงนี้มีการเจาะถ้ำขนาดใหญ่ไว้แห่งหนึ่ง มีเพียงพ่อค้าแผงลอยบางตาที่มานั่งค้าขาย เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่ทำมาจากรากต้นไม้โบราณเงียบๆ หยิบแผ่นแป้งแห้งมากัดกิน ดื่มเหล้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตามไปช้าๆ
เที่ยงตรง เรือข้ามฟากหยางจือถังที่ลอยมาท่ามกลางทะเลเมฆอย่างมั่นคงก็เข้าจอดเทียบท่าตรงเวลา
เฉินผิงอันติดตามคนอื่นๆ เดินขึ้นเรือ การนั่งเรือลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่าในครั้งนี้ใช้เวลาแค่ประมาณยี่สิบห้าวัน เพราะเรือข้ามฟากหยางจือถังล่องลอยไปในทะเลเมฆ ความเร็วจึงเหนือกว่าเรือข้ามฟากที่ล่องไปตามแม่น้ำเส้นทางมังกรเดินเยอะมาก อีกอย่างระหว่างทางก็ไม่จำเป็นต้องหยุดพัก เรือข้ามฟากมีแค่สองชั้น เฉินผิงอันอยู่ในห้องชั้นหนึ่ง ห้องค่อนข้างกว้างขวาง แต่ไม่มีระเบียงชมวิว เรือข้ามฟากไต่ทะยานขึ้นสูงลอดผ่านทะเลเมฆไปหนึ่งชั้น เมื่อเปิดหน้าต่างออก การมองเห็นจะเปิดกว้าง เหนือศีรษะคือดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ส่องแสงเจิดจ้าไปหมื่นจั้ง ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยกลิ้งหลุนๆ ประหนึ่งเทือกเขาสีทองเทือกแล้วเทือกเล่าที่ทอดตัวยาวเหยียด
เฉินผิงอันเขียนยันต์สงบใจและยันต์กำจัดสิ่งสกปรกอย่างละแผ่นอีกครั้ง
ปิดประตูฝึกหมัดต่อ
ระหว่างทางมีค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่า บางวันดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออกก็ส่องประกายแสงหลากสีงดงาม แล้วก็มีวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆ
การเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอันในครั้งนี้เปลี่ยนจากเร็วมาเป็นช้า บางครั้งก็จะเปิดหน้าต่างออก ฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งพลางชมทัศนียภาพนอกหน้าต่างไปด้วย
วันหนึ่งเมื่อเดินทางไปได้เกินครึ่งทาง มีเซียนกระบี่คนหนึ่งทะยานลมผ่านมา ตอนนั้นเรือข้ามฟากกำลังลอดผ่านทะเลเมฆหนาชั้นพอดี เซียนกระบี่ที่อายุยังน้อยคนนั้นแทบจะตามมาติดๆ ด้านหลังเรือ ความเร็วของเขาทำให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางบางส่วนปากอ้าตาค้าง คนผู้นั้นแหวกทะเลเมฆ ดิ่งตรงไล่ตามเรือข้ามฟากมา พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ทะเลเมฆด้านหลังหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ถูกแหวกออกเป็นเส้นทางที่กว้างขวาง เนิ่นนานกว่าจะปิดประสานกัน
เขาพุ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเรือข้ามฟากที่กำลังบินทะยานกะทันหัน กระโดดลงจากกระบี่เบาๆ ก็พลิ้วตัวลงมาที่หัวเรือพอดี แล้วเก็บกระบี่กลับเข้าฝักอย่างสง่างาม ชนชั้นสูงคนหนึ่งของหยางจือถังรีบเดินไปรับหน้าทันที ส่วนข้อที่ว่าการกระทำของเขาเป็นการล่วงเกินหยางจือถัง หรือทำผิดกฎข้อที่ว่าห้ามใครขึ้นเรือข้ามฟากกลางทางหรือไม่ ผู้อาวุโสของหยางจือถังคนนั้นกลับไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว หลังจบเรื่องก็พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้เฒ่าคนนี้เฉลียวฉลาดยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นจะทำผิดกฎของเรือข้ามฟาก แต่กลับไม่ใช่พวกจองหองอวดดี เพราะพอเขาเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มเสร็จ ยังเป็นฝ่ายจ่ายเงินยี่สิบเหรียญเกล็ดหิมะให้เองโดยที่ไม่ต้องให้ใครบอก
หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้า
ทุกคนล้วนเคยได้ยินชื่อประหนึ่งอสนีที่ผ่าข้างหู
หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนมีสมญานามว่าบุคคลอันดับหนึ่งในขอบเขตสิบของแจกันสมบัติทวีป นั่นคือคนที่ใช้กำลังของคนคนเดียวข่มทับคนตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยงมานานหลายร้อยปีเชียวนะ
—–