บทที่ 251.3 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 251.3 จากเหนือสุดสู่ใต้สุด โดย ProjectZyphon

ต่อให้จะมีข่าวลือบอกว่าตอนนี้หลี่ถวนจิ่งตายในสนามรบ ทว่าช่วงสุดท้ายของศึกใหญ่ในครั้งนั้น หลี่ถวนจิ่งเพียงแค่ฟันกระบี่อย่างง่ายๆ ก็สามารถทำลายตราผนึกของค่ายกลใหญ่ภูเขาเจินอู่ได้แล้ว นั่นคือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต่างก็เห็นกับตา ต่างก็ได้เป็นประจักษ์พยาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หวงเหอลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลี่ถวนจิ่งโดดเด่นเกินใคร เผยพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่เหมือนกับตอนที่หลี่ถวนจิ่งเป็นหนุ่ม เล่นงานเสียจนซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน โดยเฉพาะท่วงท่าของผู้ไร้เทียมทานอย่างตอนที่หวงเหอยืนอยู่ข้างกายของซูเจี้ยที่ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ใช้ปลายเท้าเหยียบลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทอง ภาพนั้นประทับลงในความทรงจำของผู้คนอย่างลึกล้ำ

และหลังจากที่หวงเหอรับตำแหน่งเจ้าสวนลมฟ้าแล้ว หลิวป้าเฉียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตใหม่ได้อย่างผ่อนคลาย แถมยังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะฝ่าขอบเขตติดต่อกันสองขั้น

หลิวป้าเฉียวไม่ได้ให้ผู้เฒ่าติดตามมา เขาเดินหาห้องหมายเลขที่สิบเอ็ด (สืออี) ของชั้นที่หนึ่งด้วยตัวเอง เจอแล้วก็เคาะประตูเบาๆ

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันกำลังตั้งใจฝึกวิชาหมัด แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงการกระเพื่อมของทะเลเมฆที่ถูกชักดึง แต่ก็ไม่ได้หยุดฝึกฝน เซียนบนสวรรค์ขี่กระบี่ผ่านเรือข้ามฟากที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆไปอย่างสง่างามเป็นเรื่องที่ปกติมาก ดังนั้นต่อให้เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ระเบียงทางเดินด้านนอกก็ยังไม่นำไปคิดเชื่อมโยงกับคนที่ขี่กระบี่

รอจนเฉินผิงอันเปิดประตูแล้วได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น เขาจึงแปลกใจอย่างมาก

หลิวป้าเฉียวเข้ามาในห้อง พอเฉินผิงอันปิดประตู เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียง สังเกตเห็นยันต์สองแผ่นก็เอ่ยเย้าหยอกว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้เจ้าเป็นคนมีเงินแล้วนะ”

แล้วก็เพราะว่าเป็นหลิวป้าเฉียว เฉินผิงอันถึงไม่ได้เก็บยันต์ทั้งสองแผ่นก่อนจะให้คนเข้ามาในห้อง

เฉินผิงอันยิ้มรับกับคำหยอกล้อของหลิวป้าเฉียว ยืนพิงหน้าต่าง ยกพื้นที่บนเตียงให้กับผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าผู้นี้

หลิวป้าเฉียวใช้สองมือยันบนเตียง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตลอดทางที่ข้าไล่ตามมานี้ลำบากแค่ไหน หลังจากที่ข้าได้รับจดหมายที่เจ้าส่งมาจากท่าเรืออี้หนวี่ก็รีบไปที่ท่าเรือทันที…”

เฉินผิงอันถาม “คงไม่ได้ฆ่าคนกระมัง?”

หลิวป้าเฉียวมองค้อน “ฆ่าคนอะไรกัน พอไอ้หมอนั่นได้ยินว่าข้าคือหลิวป้าเฉียวก็รีบลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ ขนาดข้าคิดมาตลอดทางว่าจะตบบ้องหูเขาสักหลายๆ ทีก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ ได้แต่ไปที่ร้านด้านข้างซื้อฉากบังลมอันนั้นมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็ถามโน่นถามนี่ สืบสาวเบาะแสมาเรื่อย กว่าจะแน่ใจว่าเจ้าอยู่บนเรือหยางจือถังเที่ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เลยตามมานี่ไงล่ะ”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

หลิวป้าเฉียวถามกลับ “ต้องมีธุระถึงจะมาหาเจ้าได้หรือไง?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “แล้วไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่มีธุระเจ้าก็จะไล่ตามมาตั้งไกลขนาดนี้?”

หลิวป้าเฉียวกล่าวเสียงขุ่น “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูเลย”

เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ไม่ได้ถามเรื่องเกี่ยวกับซูเจี้ยภูเขาตะวันเที่ยง คาดว่าศึกใหญ่นองเลือดสามครั้งบนภูเขาเจินอู่วันนั้น หลิวป้าเฉียวที่มองดูอยู่ข้างๆ คงรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะสาดเกลือลงบนบาดแผล เดิมทีคิดจะถามว่าหลิวป้าเฉียวได้ไปเอากระบี่อาญาสิทธิ์ที่เมืองหลวงต้าหลีหรือไม่ แต่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความลับยิ่งใหญ่ ไม่เหมาะที่จะถาม สุดท้ายเฉินผิงอันจึงได้แต่ถามคำถามที่น่าเบื่อมากที่สุดว่า “เจ้าไม่มีธุระจริงๆ รึ?”

หลิวป้าเฉียวกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่มีอะไรจริงๆ ก็เพราะตอนนั้นข้ากลับจากต้าหลีมือเปล่า ผลคือพอกลับไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งร่วงสู่พื้นแล้วไม่ได้เจอเจ้า ได้ยินว่าเจ้าเดินทางไกลไปยังสำนักศึกษาต้าสุย ภายหลังสวนลมฟ้าของพวกเราก็…สรุปคือหลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้หยุดว่างเลยสักเค่อเดียว เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำทุกวันนะ อันที่จริงช่วงก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจะเลื่อนขอบเขตออกจากด่านมาได้ไม่นาน หลังขอบเขตมั่นคงดีแล้วก็รู้สึกเบื่อมาก พอดีได้รับจดหมายกระบี่บินจากเจ้า เลยคิดว่าอย่างไรก็ควรมาพบหน้ากัน กระชับความสัมพันธ์พี่น้องให้แน่นแฟ้นมากขึ้น…”

เฉินผิงอันทนรับความกระตือรือร้นนี้ของหลิวป้าเฉียวไม่ได้มากที่สุด ก็เลยไม่ได้รับคำ

สายตาของหลิวป้าเฉียวแฝงแววตำหนิ ทำนิ้วเป็นท่าดัชนีกล้วยไม้ ชี้ไปที่เฉินผิงอัน ดัดเสียงเป็นผู้หญิง “ไยคุณชายถึงได้ใจดำเช่นนี้ ตอนนั้นที่อยู่ใต้แสงจันทร์หน้าบุปผา ภูเขาเขียวน้ำใสของบ้านเกิด คุณชายเคยบอกว่าพวกเราจะจับมือพากันเดินทางไกล…”

เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าขยับก้นไปนั่งบนกรอบหน้าต่าง ยกมือสองข้างกอดอก สีหน้าไร้อารมณ์

ราวกับกำลังบอกว่าเชิญเจ้าทำให้ตัวเองและข้าเฉินผิงอันสะอิดสะเอียนได้ตามสบาย ข้าอยากจะรู้นักว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน

หลิวป้าเฉียวเป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้ก่อน เขาถอนหายใจเฮือก “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามาพบหน้ากันครั้งนี้ เจ้าก็ยังซื่อบื้อเหมือนเคย เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนี้ผู้ฝึกกระบี่นับพันนับหมื่นของแจกันสมบัติทวีป ใครบ้างที่ไม่ตกตะลึงไปกับพรสวรรค์ของข้าหลิวป้าเฉียว ไม่มองข้าเป็นตัวเลือกของคนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน?”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ตอนอยู่ที่จุดพักม้า พอได้ยินว่าข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้า พวกคนที่อยู่ที่นั่นก็เปลี่ยนท่าทีมามีมารยาททันควัน แถมยังมีคนเดินมาส่งข้าที่หน้าประตูใหญ่ ถามข้าว่าจะให้ช่วยนำทางหรือไม่ กระตือรือร้นมากเลยล่ะ ทำราวกับว่าข้าคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจมาก เพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ฮ่าๆ”

มองเฉินผิงอันที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี หลิวป้าเฉียวก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย นี่มีอะไรให้ต้องอารมณ์ดีกัน? เพราะว่าชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของข้าหลิวป้าเฉียวเลยทำให้เจ้าเฉินผิงอันได้พึ่งใบบุญที่เล็กจ้อยเท่าเมล็ดงาน่ะหรือ?

เมื่อเฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้หลิวป้าเฉียว ผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมจนแม้แต่หลี่ถวนจิ่งยังต้องหันมามองเสียใหม่ก็เข้าใจเหตุผลในที่สุด

เมื่อเพื่อนร้ายกาจ เขาเฉินผิงอันจึงดีใจ

อันที่จริงเหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างมาก เพียงแต่ว่าโลกนี้ซับซ้อนเกินไป คนฉลาดมีเยอะเกินไป โดยเฉพาะเมื่อได้คบค้าสมาคมกับคนบนภูเขามามากจึงมักจะไม่เข้าใจเหตุผลที่เรียบง่ายมากที่สุด

ดังนั้นหลิวป้าเฉียวที่แม้ว่าเกือบจะฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันสองขั้นก็ยังไม่ดีใจจึงอารมณ์ดีไปพร้อมกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนหน้าต่างตรงหน้าด้วย

หลิวป้าเฉียวอดย้อนมาถามใจตัวเองไม่ได้

หากเพื่อนของเจ้ามีชีวิตที่ดีกว่าเจ้า ดีกว่ามาก ดีจนทำให้เจ้าได้แต่มองฝุ่นที่เขาทิ้งไว้ข้างหลัง ชั่วชีวิตก็ไล่ตามเขาไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นในใจเจ้าจะรู้สึกอึดอัดนิดๆ หรือไม่?

คำตอบทำให้หลิวป้าเฉียวพึงพอใจมาก ดังนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นสหาย เป็นพี่น้องกับเฉินผิงอันให้ได้

หลิวป้าเฉียวไม่ได้รั้งอยู่ต่อ อันที่จริงหลังจากที่เขาฝ่าทะลุขอบเขต เขาก็ถูกหวงเหอเจ้าสวนลมฟ้าคนใหม่บังคับยัดเยียดภารกิจอย่างหนึ่งของสำนักมาให้ จึงมีเรื่องอีกมากที่รอให้เขาไปจัดการ แม้คำว่าจัดการนี้ก็คือการสั่งให้พวกผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ไปทำก็ตาม หลิวป้าเฉียวลุกขึ้น ถามยิ้มๆ ว่า “ออกมาอยู่ข้างนอก ขาดเงินหรือไม่? ที่ตัวข้าพกเงินร้อนน้อยมาหลายสิบเหรียญ เจ้าจะยืมไปก่อนไหม?”

พกเงินร้อนน้อยมาหลายสิบเหรียญ…พูดอย่างกับพกเงินมาหลายตำลึงอย่างนั้นแหละ พ่อเศรษฐี!

เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกรอบหน้าต่าง ส่ายหน้าให้ “ไม่ล่ะ”

หลิวป้าเฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อน จำไว้ว่า คราวหน้าที่กลับถ้ำสวรรค์หลีจู เจ้าต้องไปหาข้าที่สวนลมฟ้า ไม่อย่างนั้นข้า…”

แล้วหลิวป้าเฉียวก็จีบมือเป็นท่าดัชนีกล้วยไม้อีกครั้ง “จะต้องถูกบุรุษทรยศอย่างเจ้าทำร้ายจิตใจจนขาดใจตายแน่”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเจ้ายังพูดแบบนี้อีก ให้ตายข้าก็ไม่ยอมไปสวนลมฟ้า”

หลิวป้าเฉียวหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ แม้ว่ายังมีความทุกข์ใจที่บอกไม่ถูกเสี้ยวหนึ่งหลงเหลือตรงหว่างคิ้วก็ตาม เขาบอกลาจากไป ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง จึงหันหน้ากลับมา “ข้ามีเพื่อนที่สนิทมากอยู่ที่นครมังกรเฒ่าคนหนึ่ง เป็นคนที่เชื่อใจได้ หากเจ้ามีเรื่อง ส่งจดหมายกระบี่บินไปยังสวนลมฟ้าก็คงไม่ทันกาล ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปหาเขาได้อย่างสบายใจ เขาชื่อซุนเจียซู่ คือคนรวยอันดับสองของนครมังกรเฒ่า ข้าเคยพูดถึงเจ้ากับเขาในจดหมาย ดังนั้นขอแค่เจ้าบอกชื่อ เขาต้องยอมพบเจ้าอย่างแน่นอน อีกอย่างคนผู้นี้ต้องเข้ากับเจ้าได้ดีแน่!”

เฉินผิงอันตกปากรับคำอย่างว่องไว “ตกลง!”

“ไม่ต้องมาส่งข้า เกรงใจกันเกินไปแล้ว แถมยังดูห่างเหินด้วย วันหน้าพวกเราสองคนยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกมาก” หลิวป้าเฉียวเดินออกไปจากห้อง เห็นว่าไอ้หมอนั่นไม่มาส่งจริงๆ ก็ด่ากลั้วหัวเราะไปหนึ่งที หลังจากปิดประตู เขาไม่ได้ขี่กระบี่พุ่งจากไปในทันที ผู้ฝึกลมปราณเฒ่าที่รับผิดชอบดูแลเรือข้ามฟากหยางจือถังลำนี้ยืนอยู่ตรงปลายทางอีกฝั่งหนึ่งของระเบียงทางเดิน หลิวป้าเฉียวจึงวิ่งเหยาะๆ ไปหาเขา พูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่พักหนึ่งถึงได้พุ่งเข้าไปในทะเลเมฆ ขี่กระบี่กลับไปทางทิศเหนือ

หนึ่งวันก่อนจะไปถึงนครมังกรเฒ่าเจอกับภาพเหตุการณ์ที่ปลาบินกระโดดพ้นเหนือทะเลมาบินกลางอากาศซึ่งหาได้ยากยิ่ง ปลาบินหลายล้านตัวที่มีปีกห้าสีบินกลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆอย่างยิ่งใหญ่ เรือข้ามฟากหยางจือถังยังหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศเพื่อเหตุนี้โดยเฉพาะ แจ้งกับผู้โดยสารว่าจะหยุดพักครึ่งชั่วยามเพื่อสะดวกให้ทุกคนได้ชื่นชมภาพเหตุการณ์นี้ อีกทั้งยังอธิบายว่าสาเหตุที่เกิดภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็เพราะ ปลาบินทะเลใต้ที่มีชื่อว่า ‘ไฉ่หลวน’ (นกหลวนหลากสี) พวกนี้กำลังเฉลิมฉลองที่ในเผ่าพันธุ์ของตัวเองมีปลาบินบางตัวมีปีกคู่หนึ่งที่สมกับคำว่าไฉ่หลวนอย่างแท้จริงงอกขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้ง

แต่หยางจือถังก็เตือนทุกคนว่าอย่าได้พยายามตามหาปลาบินที่พิเศษตัวนั้นเป็นอันขาด เพราะหากทำให้กลุ่มปลาบินโกรธเคือง เรือข้ามฟากต้องประสบหายนะอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่ามีเทพเซียนขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดช่วยคุ้มกันเรือ ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้น ขณะเดียวกันหยางจือถังก็เอ่ยปลอบทุกคนว่า ปลาบินไฉ่หลวนมีนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย แถมยังไม่เป็นภัยต่อผู้คน หากบินออกจากมหาสมุทรเข้ามาในชั้นเมฆยังเต็มใจที่จะใกล้ชิดกับผู้คนอีกด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นเรือข้ามฟากก็อาจถูกฝูงปลาบินมาบินล้อมวน ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ต่อให้ฉวยโอกาสนี้จับปลาบินมาไว้เลี้ยงดูสักสองสามตัวก็ยังไม่มีปัญหา ถือซะว่าเป็นกำไรเล็กๆ น้อยๆ ก้อนหนึ่งที่หยางจือถังมอบให้กับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านก็แล้วกัน

แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังเดินออกจากห้อง มาที่ท้ายเรือ มองปลาบินไฉ่หลวนที่แหวกว่ายอย่างอิสระเสรี เมื่อเจอกับแสงอาทิตย์สาดส่อง ประกายแสงห้าสีบนร่างของพวกมันก็ไหลเวียนวน งดงามจนไม่อยากละสายตา

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้า ฟุบตัวลงบนราวระเบียงพลางดื่มเหล้าไปด้วย

แล้วก็จริงดังคาด ฝูงปลาบินไฉ่หลวนค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้เรือข้ามฟาก พวกมันชะลอความเร็วในการบินลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มีปลาบินที่ซุกซนขี้สงสัยบางส่วนบินเดี่ยวแยกออกจากฝูงมาอยู่ข้างกายผู้โดยสารบนเรืออยู่เป็นระยะ หากมีคนเอื้อมมือไปคว้า พวกมันจะเผ่นหนีไปไกลในเสี้ยววินาที แต่ก็มีบางส่วนที่ขยับเข้ามาใกล้มือคน หรือไม่ก็ถึงขั้นหยุดอยู่บนฝ่ามือนิ่งๆ ด้วย

อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน เพราะว่าอาภรณ์เซียนไฉ่อีสมบัติอาคมที่สืบทอดต่อกันมาของพรรคหลิงซีตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นไฉ่อีก็ถักทอมาจากขนของปลาบินไฉ่อี เมื่อเอามาสวมบนร่าง หมื่นอาคมก็ไม่อาจกล้ำกราย ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือคนที่สวมอาภรณ์ไฉ่อียังสามารถทำให้กระบี่บินของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ขยับเข้ามาใกล้ตัวถอยกลับออกไปได้เอง

เฉินผิงอันเองก็ทำตามทุกคนโดยยื่นมือออกไปนอกราวรั้ว

แต่กลับไม่มีปลาบินยอมเข้ามาใกล้เขาแม้แต่ตัวเดียว

จึงได้แต่หดมือกลับอย่างกระอักกระอ่วน นอกจากดื่มเหล้าดับทุกข์แล้วยังจะทำอะไรได้อีก

เรือข้ามฟากเคลื่อนหน้าลงใต้ไปอีกครั้ง

สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือของนครมังกรเฒ่า

โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เดินทางจากทิศเหนือสุดมาจนถึงทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว

สะพายกระบี่มาตลอดทาง

—–