ตอนที่ 402 หวังเจียเหยาแพศยาจริงๆ!
ซูหมิงเจ๋อลอบกล่าวเสียงต่ำกับซูเจิ้นหาง“คุณพ่อครับ ดูแล้วพี่ชายของเย่เฉินคนนี้น่าจะรักเขามากทีเดียว”
ซูเจิ้นหางยิ้มพลางผงกศีรษะ แล้วพอใจขึ้นเป็นเท่าตัว
ตั้งแต่โบราณมาลูกหลานตระกูลใหญ่ต่างก็ชอบแย่งชิงตำแหน่งเป็นคนสำคัญของตระกูล จึงมักเกิดการฆ่าฟันกันระหว่างพี่น้อง
ยกตัวอย่างเช่นซูมู่หลินและซูมู่ชิวสองพี่น้อง ปกติจะทักทายกันก็แค่เวลาเจอหน้ากันเท่านั้นเอง อีกทั้งยังพยายามสุดความสามารถเพื่อจะได้สิทธิ์ในการสืบทอดมรดกของตระกูลด้วย
แต่เย่เฉินกับเย่เทียนกลับไม่เป็นอย่างนั้น
เย่เทียนเป็นลูกชายคนโต แต่คิดไม่ถึงว่าจะจะเป็นฝ่ายส่งต่อธุรกิจให้น้องชายคนที่สามเอง เพียงเพื่อให้เย่เฉินได้มีหน้ามีตาในตระกูลซูจะได้ไม่โดนรังแก
เย่เทียนมองซูมู่ชิงแล้วกล่าว “คุณหนูซู คุณเซ็นชื่อเถอะ”
ซูมู่ชิงไม่ใช่ผู้หญิงที่ลุ่มหลงในเงินทอง ย่อมไม่อยากจะเซ็นชื่อ แต่เย่เฉินเป็นฝ่ายกล่าวกับซูมู่ชิง
“มู่ชิง ในเมื่อนี่เป็นเจตนาดีที่พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มีให้เรา คุณรับไว้เถอะ”
ซูมู่ชิงเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเล่นตัวอะไรนักหนา หญิงสาวหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเซ็นชื่อตนเองลงไปกระดาษ
จากนั้นก็ส่งสัญญาให้คนตระกูลซูเอาไปเก็บรักษา
แล้วในงานก็เกิดเสียงปรบมือเสียงดังเกรียวกราว!
“ท่านซู ยินดีด้วยๆ! บาร์ทั้งอังกฤษเป็นของหลานสาวคุณแล้ว!”
“ฮ่าๆ ฉันจะบินไปอังกฤษพอดีวันมะรืน ท่านซู ถ้าผมเกิดซื้อวิสกี้เยอะสักขวดสองขวด คุณห้ามเก็บเงินผมเพิ่มนะ!”
ซูเจิ้นหางเองก็ประสานฝ่ามือขอบคุณแขกเหรื่อไม่หยุดหย่อน “ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมางาน ยินดีต้อนรับ!”
รอยยิ้มภูมิอกภูมิใจฉายชัดบนใบหน้าซูเจิ้นหาง
หลายปีดีดักมาแล้วทำไมเขาถึงได้อยากจะดองกับตระกูลเย่ขนาดนี้น่ะหรือ?
ก็เพราะเจ้านี่!
ตระกูลเย่ยิ่งใหญ่อย่างเหลือกเกินในเมืองหลวง คนในประเทศที่ว่ารวยๆ ในตอนนี้ ใครไม่ไปต่างประเทศบ่อยๆ บ้าง?
ดังนั้นมีอิทธิพลในต่างประเทศก็ถือเป็นสมบัติที่สำคัญ!
ตอนนี้ตระกูลซูและตระกูลเย่เป็นวงศ์วานญาติเครือกันแล้ว จะทำให้ตระกูลอื่นๆ ในประเทศนี้จะต้องนับถือตระกูลซูมากกว่าเดิม!
เย่เทียนกล่าวกับซูมู่ชิง “ไม่ใช่แค่ธุรกิจบาร์เหล้า ตระกูลเย่ของเราล้วนแต่ลงทุนในธุรกิจสาขาต่างๆ ทั่วโลก คุณหาเวลาว่างๆ ไปเที่ยวประเทศอังกฤษกับน้องสามนะไปเยี่ยมคุณปู่ จะได้ไปดูธุรกิจของตระกูลเรา พอถึงตอนนั้นคุณชอบธุรกิจอะไรก็ทำเอาธุรกิจนั้นไปได้เลยไม่ต้อถามความเห็นฉันกับพี่สะใภ้หรอกนะ”
คงยูมิเองก็มีเอกลักษณ์ของสาวชาวอาทิตย์อุทัย “ใช่แล้วล่ะ ฉันกับพี่ใหญ่ของพวกเธอก็ไม่ได้รูสึกอะไรกับเงินทองหรอกนะ ชอบอะไรก็เอาไปกันเลย”
เย่เฉินพยักหน้ารับอย่างเท่ๆ “อืม ส่วนฝั่งพี่รองไม่น่าต้องกังวลอะไร พีเขาชอบเที่ยวไปทั่ว ต่อให้ที่บ้านเราแบ่งมรดกกัน เขาก็ไม่กลับมาหรอก”
พอได้ยินแบบนี้แขกในงานก็นิ่งไป โดยเฉพาะพวกแขกผู้หญิงที่สวยๆ พวกนั้นต่างก็ริษยาจนเหมือนจะเป็นบ้า!
“สวรรค์ พี่ใหญ่ พี่รองไม่เอาสมบัติ งั้นสมบัติของตระกูลเย่ก็เป็นของเย่เฉินกับซูมู่ชิงน่ะสิ!”
“ว่ากันว่าสมบัติตระกูลเย่ก็มีตั้งหายหมื่นหลายแสนล้าน! พวกเขาน่าจะเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในโลก!”
“อะไรนะ? จริงเหรอ? งั้นซูมู่ชิงก็เป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดในโลกใบนี้น่ะสิ!”
“ฮะ! รีบเกาะซูมู่ชิงให้แน่นๆ เลย นี่อาจจะเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดในแตั้งแต่เคยมีมาเลยนะ!”
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ที่ทุกคนมีต่อซูมู่ชิง ผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง แววตาเหม่อลอย ร่างกายสั่นเทิ้ม!
หล่อนก็คือหวังเจียเหยา!
และในเวลานี้เองจู่ๆ หวังเจียเหยาก็จงใจเบียดซูมู่ชิง โดยกระแทกหญิงสาวเล็กน้อยจากนั้นก็โถมเข้าหาอ้อมกอดของเย่เทียน!
“พี่ใหญ่!”
ทันใดนั้นเองหวังเจียเหยาก็น้ำตาไหลพรั่งพรูแล้วกอดเย่เทียนเอาไว้แน่น
ในฤดูกาลนี้ถึงแม้ว่าเมืองหลวงจะยังไม่เข้าหน้าร้อนแต่เรือนร่างของหวังเจียเหยาก็กลับมาเป็นเหมือนที่ผ่านมา หญิงสาวสวมเสื้อตัวเดียวและยังเปลือยไหล่อีกด้วย
เย่เทียนสับสนทันทีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่เย่เฉินเห็นหวังเจียเหยาโผเข้ามาหาพี่ใหญ่ของตนเองก็รีบยื่นมือคว้าเรียวแขนนวลเนียนนั้นแต่กลับไม่ได้รู้สึกยินดีหรือลุ่มหลงเหมือนที่ผ่านมา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เย่เฉินกระชากหวังเจียเหยาออกจากอ้อมแขนพี่ชายเขาแล้วย้อนถาม
“หวังเจียเหยาคุณทำอะไร! อย่าแตะต้องพี่ชายผมนะ!”
เย่เฉินรู้ดีว่าหวังเจียเหยาเป็นผู้หญิงใจง่าย ไม่แน่ว่าที่หล่อนจงใจทำแบบนี้ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากพี่ชายเขา แล้วจะได้ครองคู่กับเขา!
เย่เทียนนิ่งไปเขาชี้ไปที่หวังเจียเหยาแล้วกล่าวถาม “น้องสาม ผู้หญิงคนนี้คือ…”
เย่เฉินแนะนำอย่างละอาย “หล่อนคือเมียเก่าผมครับพี่ ชื่อหวังเจียเหยา”
เย่เทียนถึงได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขามองประเมินหวังเจียเหยา ช่างเป็นคนหน้าตาสะสวยมากจริงๆ ด้วย
แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นผู้หญิงที่น้องรองเลือก
หวังเจียเหยามองเย่เทียนด้วยหน้าใสซื่อ แล้วดล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่ใหญ่ พี่กับคุณน้าลำเอียงจังเลย เมื่อสามปีก่อนฉันแต่งกับเย่เฉิน พวกคุณไม่มีใครมาเลย ไม่มีของขวัญให้กันสักชิ้น วันนี้เย่เฉินแต่งงานกับซูมู่ชิง พวกคุณนอกจากจะให้สร้อยคอราคาแพงยังยกกิจการร้านเหล้าให้ด้วย ทำไมเป็นแบบนี้”
หวังเจียเหยารู้สึกเสียหน้า ริษยาและโมโหอย่างยิ่ง!
หล่อนเป็นภรรยาของเย่เฉิน แถมเป็นมาตั้งสามปี
หล่อนต่างหากที่ควรจะได้รับมรดกทั้งหมดของตระกูลเย่ ได้กลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก!
เย่เทียนมีมารยาทกับหล่อนอย่างยิ่ง “คุณหนูหวัง ที่เย่เฉินแต่งงานกับคุณเป็นเพียงแค่ภารกิจของที่บ้าน ถ้าเราให้เงินคุณ เรื่องที่ว่าเย่เฉินเป็นใครก็จะไม่ใช่ความลับอีก เราไม่ได้รังเกียจคุณเลย ได้โปรดเข้าใจเราด้วย ถ้าคุณผ่านการทดสอบของตระกูลเรา ธุรกิจทั้งหลายพวกนี้ของตระกูลเย่ก็จะเป็นของคุณแน่ไม่ใช่ของซูมู่ชิง”
เย่เฉินกล่าวกับหวังเจียเหยาว่า “พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว หวังเจียเหยา คุณทำตัวเองอย่าโทษคนอื่นเลย!”
ที่ผ่านมาเย่เฉินเคยรักหวังเจียเหยาตรงหน้านี้เหมือนที่เขารักฉินหงเหยียน!
แต่ว่าหญิงสาวทำอะไรไว้บ้าง?
หล่อนทรยศเย่เฉินครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจะมีสิทธิ์ได้มรดกจากกตระกูลเย่ได้อย่างไร!
หวังเจียเหยาไม่ลดละ “ใครจะทนการทดสอบสามปีได้ล่ะ? พวกคุณทำไมไม่ให้เย่เฉินปกปิดว่าเขาเป็นใครเพื่อทดสอบแม่คุณหนูซูคนนี้บ้างล่ะ? ฉันกล้าพนันเลยว่าถ้าพวกคุณทดสอบหล่อนแบบฉัน หล่อนก็ต้องไม่ผ่านเหมือนกัน!”
ซูมู่ชิงโกรธจัดหล่อนคอยจับตาดูคนตรงหน้านี้มานานมากแล้ว
ตลอดเวลาสมปีที่ผ่านมาเพราะทั้งสองคนหน้าตาค่อนข้างเหมือนกัน ถึงขนาดที่ว่าหล่อนเคยเห็นอีกฝ่ายเป็นตนเองด้วยซ้ำไป!
เพราะแบบนี้หล่อนจะได้หลอกตัวเองว่าหล่อนและเย่เฉินคบหากัน
ในตอนที่หล่อนรู้ว่าหวังเจียเหยาทรยศเย่เฉิน หล่อนโกรธเสียยิ่งกว่าเย่เฉินอีก!
ผู้ชายที่ฉันทำอย่างไรก็ไม่ได้เขามาครอง คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่เห็นค่าแล้วปั่นหัวเขาแบบนี้?
ดังนั้นในตอนที่หวังเจียเหยาเหยียดหยามตนเอง หญิงสาวก็สวนอีกฝ่ายทันที
“หวังเจียเหยา คุณอย่าพูดเหลวไหล! ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะลุ่มหลงในเงินตราเหมือนคุณ! ฉันไม่มีทางดูถูกเขาเพราะเรื่องเงินทอง แล้วฉันยิ่งไม่มีวันจะทรยศเขา ทำผิดต่อเขาเพียงเพราะเรื่องแบบนี้!”
เมื่อซูมู่ชิงกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนในงานก็ค่อยๆ เข้าใจว่าที่แท้อดีตภรรยาของเจ้าบ่าวเคยนอกใจเขา มิน่าถึงได้หย่ากัน
ที่นี่เป็นงานของซูมู่ชิง หวังเจียเหยาย่อมไม่มีทางเถียงชนะหญิงสาว
ดังนั้นหวังเจียเหยาจึงไม่สนใจหล่อนอีก แต่หันมองเย่เทียน
คิดไม่ถึงว่าหวังเจียเหยาจะเป็นฝ่ายยื่นมือเรียวยาวคว้าหมับที่มือเย่เทียน แล้วเรียกเขาอย่างสนิทสนม
“พี่ใหญ่ มานี่ค่ะ”