บทที่ 444 รนหาที่ตาย

บทที่ 444 รนหาที่ตาย

เมื่อถวนถวนบรรเลงเพลงจบ คณะกรรมการต่างตกอยู่ในอาการอึ้ง ก่อนก้มหน้าให้คะแนน

ผลคะแนนจะถูกประกาศพร้อมกันในช่วงท้าย แต่แม้ว่ามันจะไม่ประกาศตอนนี้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป…

ผู้ปกครองทุกคนต่างรู้ว่าใครจะได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้

บางคนพลันนึกบางอย่างขึ้นได้

“ฉันว่าฉันจำเด็กคนนี้ได้นะ เห็นว่าชนะการแข่งขันรอบที่แล้วด้วย”

ยิ่งทำให้คนที่อยู่ข้างเธอยิ่งตกตะลึง

“ถูกเลี้ยงมายังไงกัน สุดยอดเลย”

“เทียบไม่ได้เลย เทียบไม่ได้เลย”

“…”

หลังถวนถวนก้าวลงจากเวที ไม่เหลือสิ่งที่น่าสนใจให้ชมอีก

ผู้ปกครองหลายคนพากันพูดถึงเรื่องนี้ กระทั่งเมื่อลูกหลานขึ้นมาแสดงบนเวที พวกเขาจึงหันไปตะโกนเชียร์กัน

ความแตกต่างเห็นได้ชัดเจน

ไม่นานเวลาล่วงเลยมาถึงสิบเอ็ดโมงเช้า การแข่งขันก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

“ผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ได้แก่…อวี้ซินถวน!”

ถวนถวนคว้าชัยชนะมาครองครองได้อย่างไม่น่าแปลกใจ

“ประธานอวี้ ลูกของคุณเก่งมากเลยครับ! ไม่มีใครเทียบได้สักนิด!”

คุณครูหัวล้านคนหนึ่งของโรงเรียนอนุบาลเข้ามากล่าวแสดงความยินดีกับเขา

เป็นเรื่องจริง…เขาเคยเห็นเด็กมาหลายคน ยากนักที่จะเจออัจฉริยะแบบนี้

“ใช่แล้ว ประธานอวี้ ต่อไปลูกสาวคุณต้องอนาคตไกลแน่เลยค่ะ”

“ครับ”

ผู้อำนวยการเอ่ยชมสำทับ อวี้ฮ่าวหรานขานรับนิ่งเฉย ลูกสาวของมหาเทพอย่างอวี้ฮ่าวหรานย่อมเก่งกาจเช่นนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว!

หลังการแข่งขันสิ้นสุดลง อวี้ฮ่าวหรานก็เตรียมตัวเดินทางกลับ

“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อนค่ะ”

สวีรุ่ยวิ่งไปรั้งเขาไว้หลังจากจัดการงานของตนเองเสร็จ

“ขอบคุณสำหรับเรื่องวันนี้นะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันคงถูกไล่ออกแน่”

เธอมองหน้าชายตรงหน้าขณะบอก พร้อมหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

ไม่ว่าเรื่องราวจะใหญ่โตและสิ้นหวังเพียงไหน เมื่อถึงมือเขาคนนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเสียหมด

เพียงแค่เขาขยับมือ ก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้ตามต้องการ

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ารับน้อย ๆ

“ครับ ไม่เป็นไรเลย ถ้าต่อไปคุณเจอเรื่องแบบนี้อีกก็มาหาผมได้ทุกเมื่อนะครับ”

“คงจะไม่มีอีกแล้วล่ะค่ะ เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอคนแบบนี้เลย”

สวีรุ่ยยิ้มบอก ถวนถวนรับรางวัลเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน บนอกเสื้อมีเข็มกลัดดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ติดไว้

“พ่อจ๋า ดูสิ ๆ ดอกไม้ดอกใหญ่สีแดง! คุณครูชมว่าหนูเก่งด้วย!”

เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของถวนถวน อวี้ฮ่าวหรานกับสวีรุ่ยก็สบตากัน พวกเขาอดยกยิ้มไม่ได้

การที่เจ้าตัวน้อยมีความสุขเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งใด

โรงเรียนอนุบาลหยุดเรียนครึ่งวันในช่วงบ่าย อวี้ฮ่าวหรานจึงรับลูกสาวกลับมาที่บริษัท

ทว่าเมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากโรงเรียน พลันพบกลุ่มคนเป็นสิบแอบซุ่มดักล้อมไว้

“แก! แกฉีกหน้าฉันไม่มีชิ้นดี! ตายซะเถอะ!”

คนที่เดินนำกลุ่มมาคือผู้ที่ตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชก่อนหน้านี้ เป็นนายน้อยจางนั่นเอง…

“ไอ้นี่กล้าแตะต้องนายน้อยจางของเราเหรอ? รนหาที่ตายชัด ๆ!”

“ใช่ ผอมเป็นลิงแบบนี้ เดี๋ยวฉันจะหักซี่โครงให้ดู!”

“…”

ลูกน้องนายน้อยจางเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายร่างผอม พวกเขามองเหยียดทันที

อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วกวาดสายตามอง รู้สึกขบขันในใจ

คนพวกนี้ไม่มีแม้แต่กำลังภายนอกด้วยซ้ำ กล้าดียังไงมาขวางทางเขา!

“ฮ่า ๆ นายน้อยจาง ใช่! ดูเหมือนผมจะเข้าใจผิดไปตอนที่บอกว่าคุณเป็นมด”

เขาหลุดขำ สายตาเย้ยหยันฉายแววขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายน้อยจางสะบัดกระบองเหล็กในมือพลางส่งสีหน้าย่ามใจ

“รู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้วเหรอ? น่าเสียดายที่กระบองเหล็กของฉันมันโหดเหี้ยมมาก! มาดูกันว่าพอกระดูกแกหักแล้วจะร้องขอความเมตตาขนาดไหน!”

ถ้อยคำถากถางรุนแรงกลับกลายเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับอวี้ฮ่าวหราน

“ผมยังพูดไม่จบเลย ที่บอกว่าไม่ใช่มดเพราะอย่างน้อยมดมันก็รู้จักเอาตัวรอด แต่สัตว์เลื้อยคลานตาบอดอย่างแกกลับรนหาที่ตายยังไงล่ะ!”

เขาไม่คิดจะวิวาทกับใคร โดยเฉพาะในที่สาธารณะอย่างนี้

“โจวเฟยหู่? คุณอยู่แถวนี้ไหม?”

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ น้องอวี้ ฉันกำลังรอให้นายโทรมาอยู่เลย!”

“ครับ พาคนมาที่นี่หน่อยแล้วกันครับ”

อวี้ฮ่าวหรานบอกเสียงเรียบก่อนวางสาย เมื่อเห็นเช่นนี้ นายน้อยจางหน้าซีดเผือด!

“ดีแต่โทรหาคนอื่น! แกพึ่งพาคนอื่นได้อย่างเดียวสินะ?”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

เพียงแค่คุยโทรศัพท์สองประโยคก็ทำให้เขาอีกฝ่ายหวาดหวั่น

“แกกล้ามาสู้กับตัวตัวแบบลูกผู้ชายไหมล่ะ?”

นายน้อยจางตาแดง เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่แยแสแต่อย่างใด และยิ่งเผยท่าทีเหยียดหยามมากกว่า

“ฮ่า ๆ! แกก็พึ่งบารมีของพ่อไม่ใช่เหรอ? แล้ว…ถ้าให้ฉันลงมือเอง เดี๋ยวแกได้เสียใจแน่”

“ไอ้เวรนี่! อวดดี! คอยดู ฉันจะเอากระบองนี้ฟาดแกให้หมอบ!”

หนึ่งในลูกน้องของนายน้อยจางคนหนึ่งทนไม่ได้ ตะคอกลั่นขึ้น

สิ้นเสียงก้าวร้าว รถเบนซ์หลายสิบคันแล่นมาจอดข้างถนน!

ไม่ทันทุกคนได้ตั้งตัว เสียงเบรกเงียบลง ทางเข้าออกทั้งหมดถูกปิดกั้น!

“ปัง!”

โจวเฟยหู่ลงมาจากรถคนแรก หลังปิดประตู เขามองชายหนุ่มนับสิบที่มีกระบองเหล็กในมือ

“ไอ้เวร! กล้ายกพวกมาล้อมน้องฉันเหรอ? ให้ตาย! หาเรื่องตายหรือไง?!”

เขาว่าพลางชักมีดออกมาจากข้างเอว เงามีดส่องประกาย พร้อมความเยือกเย็นที่พลันแผ่ไปทั่ว!

ขณะเดียวกัน ลูกน้องของเขาทั้งหมดก็กรูลงมาจากรถ!

ครั้งนี้พาคนมาไม่มาก หากแต่ทั้งหมดคือสมาชิกอาวุโสของพยัคฆ์เวหา

พวกเขาท่าทีเฉยชาก่อนกระจายตัวตีวงล้อมรอบนอกเอาไว้ สายตาจับจ้องกลุ่มคนที่ไม่รู้ชะตากรรมของตนเองราวกับกำลังมองคนไร้ทางสู้!

นายน้อยจางผงะเมื่อถูกรถเบนซ์หลายคันล้อมเอาไว้ เขาเป็นเพียงทายาทรุ่นสองของเศรษฐีที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ จะเคยประสบพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?!

เขามองกลุ่มชายร่างบึกบึนหน้าตาไม่เป็นมิตรด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงในใจ

“ฉัน… ฉัน…”

เขาหันมองชายหนุ่มตรงกันข้ามอีกครั้ง รู้ตัวเองว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานตาบอดจริง ๆ!

หาเรื่องผู้มีอิทธิพลใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า คงไม่พ้นตายในไม่ช้า!

โจวเฟยหู่ไม่พูดให้มากความ หลังก้างลงจากรถ เขาจ้องมองทายาทเศรษฐีตาเขม็ง ก่อนสาวเท้าก้าวหา!

“ไอ้หนู! แกมันดวงซวยจริง ๆ กล้ามามีเรื่องกับน้องฉัน!”

“ฉ…ฉัน!”

“กร็อบ!”

นายน้อยจางกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่างเมื่อได้ฟังคำเขา กลับถูกเขาเตะเขาที่ขาเต็มแรง!

เสียงร้องโหยหวนและเสียงกระดูกหักที่ดังขึ้นทำให้ลูกน้องของนายน้อยจางตกอยู่ในความสะพรึงกลัว!

พวกเขาทิ้งกระบองในมือไปตาม ๆ กัน