บทที่ 443 ความตื่นตะลึง
บทที่ 443 ความตื่นตะลึง
“ผมไม่ได้ทำจริง ๆ …”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายน้อยจางก็ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว เขาไม่เคยเห็นพ่อตนเองโกรธขนาดนี้ ไม่ทันที่จะได้แก้ตัวก็พลันนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้!
“แกไม่ได้ทำงั้นเหรอ? คนเขาพูดกันไปทั่วว่าแกไปหาเรื่องนายใหญ่ ถ้าแกอยากตายก็อย่าลากฉันไปเกี่ยวด้วย!”
ความเกรี้ยวกราดจากปลายสายดังก้องขึ้นลั่นห้อง
“ไสหัวไปซะ! ไม่ต้องกลับมาอีก! ฉันตัดขาดพ่อลูกกับแกตั้งแต่วันนี้!”
สิ้นเสียงตะคอก เสียงวางหูโทรศัพท์ดังลั่นขึ้น! นายน้อยจางสายตาเบิกกว้าง เขาติดอยู่กับความงุนงง
เขาแค่ไปโรงเรียนอนุบาล ได้ไปหาเรื่องนายใหญ่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ไม่นานจึงหันไปมองชายตรงหน้าด้วยสายตาหวาดกลัว
“แก…แกนี่เอง! แกใช่ไหม!”
เมื่อเห็นอย่างนี้ อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ ลุกขึ้นและก้มมองฝ่ายตรงข้าม
“ใช่ ฉันเอง ฮ่า ๆ ไม่ใช่ผลที่แกคาดเอาไว้ใช่ไหมล่ะ?” เขาขำเย้ยหยัน
“เป็นไปได้ยังไง! แกทำได้ยังไง…”
นายน้อยจางทรุดลงกับพื้น เผยท่าทีสั่นกลัว
“มดยังไงก็เป็นมดวันยังค่ำ แกจะเห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์บนฟ้าได้ยังไง!”
อวี้ฮ่าวหรานว่าเหยียด
มันเป็นคำที่ชายหนุ่มใช้บ่อยในโลกเทวะ หลังกลับคืนสู่โลกมนุษย์ เขาก็ไม่ได้หยิบมาใช้นานแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครคิดว่าประโยคนี้น่าขบขัน
ขณะที่นายน้อยจางทำได้เพียงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนก็มีปฏิกิริยาในเวลานี้!
“หมายถึง…ตอนนี้คุณเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงเรียนเราเหรอครับ?”
น้ำเสียงเหลือเชื่อดังขึ้น ทั้งที่ได้ยินกับหูแต่ยังอดไม่อยากเชื่อไม่ได้!
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
อวี้ฮ่าวหรานท่าทีสงบลง เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“งั้น…ก็ยินดีต้อนรับครับ! เรายินดีให้คุณเยี่ยมชมได้เต็มที่เลย!”
ผู้อำนวยการจ้าวเปลี่ยนท่าที จากดูหมิ่นเป็นเปิดปากต้อนรับขับสู้เต็มที่!
“คุณมาเยี่ยมเป็นเกียรติกับโรงเรียนของเรามาก! เมื่อครู่ผมเสียสติไป ถึงได้ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ!”
ท่าทางสอพลอนั้น หากมีหางเกรงว่าคงจะกระดิกไปตามลม…
สวีรุ่ยรู้สึกงุนงงเหลือเกิน!
เธอเคยเห็นว่าผู้อำนวยการจ้าวเป็นคนสุขุม หากแต่ตอนนี้กลับทำตัวเป็นกิ้งก้าเปลี่ยนสี!
“ผมไม่พอใจผู้ชายคนนี้ พาเขาออกไปทีครับ!”
อวี้ฮ่าวหรานเคยเห็นวัชพืชเหล่านี้มาเยอะ เขาจึงไม่แยแสแม้แต่น้อย และชี้ไปทางนายน้อยจางที่กองอยู่กับพื้น
เห็นที ‘นายน้อยจาง’ คนนี้คงจะได้เปลี่ยนนามสกุลในไม่ช้า!
“ได้ครับ! ผมเองก็ไม่สบายใจกับเขามานานแล้ว ผมจะเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดี๋ยวนี้เลยครับ! ให้พาเขาออกไปข้างถนน!”
ผู้อำนวยการจ้าวท่าทีขึงขังเมื่อได้ยินคำเขา ชายหัวล้านหันไปมองนายน้อยจางด้วยแววตาไร้แววเกรงอกเกรงใจ
ฟังจากสายที่เพิ่งตัดไป ชายหนุ่มข้างเธอคงเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างแน่นอน!
หากฝากเนื้อฝากตัวด้วย แม้ได้รับส่วนแบ่งเล็กน้อย แต่คงเพียงพอให้มีอยู่มีกินไปตลอดชีวิต!
ไม่นานพนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนก็รีบมาพาตัวนายน้อยจางออกไป!
“แล้ว…ที่ผู้อำนวยการไล่ฉันออกเมื่อครู่ล่ะคะ?”
สวีรุ่ยถามขึ้นตะกุกตะกัก
“ไล่ออก? ไล่ออกอะไร? ฉันพูดไปอย่างนั้นแหละ เสี่ยวสวี อย่าเอามาใส่ใจเลย เธอเป็นกำลังสำคัญของโรงเรียนเราเลยนะ!”
ผู้อำนวยการจางเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน สวีรุ่ยถึงกับพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าคนเราสามารถทำตัวหน้าไม่อายได้เพียงนี้…
“เพราะอย่างนี้ฉันเลยยังเป็นแค่ครูเล็ก ๆ สินะ”
เมื่อเห็นแบบนี้ เธอก็อดถอนหายใจไม่ได้
…
หลังเรื่องราวคลี่คลาย ผู้อำนวยการจ้าวก็เดินนำอวี้ฮ่าวหรานชมกิจกรรมด้วยตนเอง
เวลานี้มีผู้ชมมากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ปกครอง ยากจะหาที่นั่งว่างได้
“ทางนี้ค่ะ! ประธานอวี้ นั่งที่ผมได้เลย ที่นั่งด้านหน้าวิวดีมากครับ!”
ผู้อำนวยการหัวล้านรีบดูแลเขาเป็นอย่างดี
“ครับ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ปฏิเสธ หากแต่เมื่อเขานั่งลง กลับพลันสัมผัสได้ถึงสายตาของคนที่นั่งข้างตนเอง
พวกเขาเป็นฝ่ายบริหารของโรงเรียน เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการสละที่นั่งให้ผู้ปกครองอย่างเขานั่ง จึงอดจะแปลกใจไม่ได้
“ใครกัน? ทำไมผู้อำนวยการถึงให้เกียรติเขาขนาดนี้?”
“ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน ทำไมผู้อำนวยการถึงได้ดูแลเขา…อย่างกับ…”
“คนสอพลอ!”
“คุณพูดเองนะคะ…”
ผู้บริหารหลายคนกระซิบกระซาบกัน อวี้ฮ่าวหรานไม่คิดใส่ใจคนเหล่านี้
วันนี้เป็นวันแสดงความสามารถของเด็ก ๆ ซึ่งฝึกซ้อมกับในช่วงปิดเทอม
ตอนนี้เด็ก ๆ กำลังเป่าฟลุ๊ตกันบนเวที เสียงดังพอให้ได้ยินราง ๆ
ด้วยผู้ชมหลายคนต่างตะโกนให้กำลังใจลูกหลาน
คนที่เหลือมีท่าทีเบื่อหน่าย ใครจะสนุกกับการแสดงความสามารถของเด็ก หากไม่ได้เป็นลูกหลานของตนเอง
“นี่…ลูกชายฉันแสดงอยู่ยังจะพูดแทรกอยู่ได้”
“หึ แล้วลูกสาวฉันเล่นกู่เจิงไม่เก่งหรือยังไง?”
“ก็ไม่ต่างกันหรอกน่า อย่าเถียงกันเลย ลูกชายฉันก็เพิ่งเริ่มเรียนเปียโนช่วงปิดเทอมเอง”
“…”
ผู้คนต่างพูดคุยกันสัพเพเหระ
ทันใดนั้นถวนถวนก็ก้าวขึ้นมาบนเวที!
โรงเรียนอนุบาลแอปเปิ้ลแดงถือเป็นโรงเรียนเอกชนชั้นนำ เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับการแสดงความสามารถ
เมื่อถวนถวนเดินบนเวที เธอโค้งให้คณะกรรมการ ก่อนก้าวไปทางเปียโน
“เล่นเปียโนอีกแล้วเหรอ เดี๋ยวนี้พ่อแม่ไม่มีสติเหรอ ให้เด็กตัวเท่านี้เล่นเปียโนได้ยังไง?”
“ใช่แล้ว เด็กเกินไปที่จะเริ่มเรียนด้วยซ้ำ!”
“…”
เพียงแค่ถวนถวนเดินไปนั่งที่เปียโน คณะกรรมการก็อดจะออกความเห็นไม่ได้
เห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ลูกสาวของเขาเล่นเปียโนได้เก่งมาก!
มือเล็กจรดลงบนแป้นเปียโนพร้อมทำนองไพเราะที่ดังขึ้น! “แค่ก!”
หนึ่งในคณะกรรมการท่าทีเบื่อหน่ายและยกชาขึ้นจิบ แต่เมื่อได้ยินเสียงดนตรี เขาถึงกับต้องสำลัก!
“ให้ตายเถอะ!”
เขาฟังท่วงทำนองเพลงด้วยความตกตะลึง เมื่อหันมองกรรมการคนอื่น ก็พบว่าต่างตกอยู่ในอาการเดียวกัน
“เด็ก…เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่กันเนี่ย?”
“ฝีมือขนาดนี้! ชนะการแข่งขันมืออาชีพรุ่นเยาวชนได้เลย!”
“…”
คณะกรรมการบางคนถึงขั้นพูดไม่ออก
ทว่าเทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้ปกครองในที่นั่งผู้ชมซึ่งรู้สึกเบื่ออยู่ยิ่งประหลาดใจกว่า!
“ลูกเต้าเหล่าใครกันเนี่ย?”
“ดูสิ! ลูกใครกัน?! สุดยอดเลย ต่อไปต้องเก่งมากแน่ ๆ!”
“เก่งเกินใครจริง ๆ! ใครจะเทียบได้กันล่ะ?”
ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจ รู้สึกเหลือเชื่อ
เปียโนไม้ไม่ได้เชื่อมต่อกับเครื่องเสียง เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางคดโกงได้ ท่วงทำนองที่ได้ฟังไพเราะ ทำเอาผู้ชมนิ่งอึ้ง!
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเด็กที่ฝีมือเก่งกาจเช่นนี้!