แม้ว่าเซี่ยกู่หงส์จะบอกให้กู่ฉิงซานใช้ระยะเวลากว่าสามปี เก็บตัวฝึกฝนทักษะดาบ แต่เรื่องราวต่างๆ บ่อยครั้งมักจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ
สองปีได้ผ่านพ้นไป
ในวันนี้
กู่ฉิงซานยังคงนั่งอยู่ท่ามกลางกองภูเขาใบหยกเช่นเดิม
โดยมีดาบยาววางอยู่ข้างกายเขา
นี่เป็นดาบยาวทั่วๆ ไปของนิกาย แต่เซี่ยกู่หงส์มอบมันให้แก่เขาเพื่ออำนวยความสะดวกในการฝึกฝน
แม้ในมือกุมใบหยก ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะฝึกฝนทักษะดาบชั่วคราว
ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้นับว่าพานพบได้ยากเย็นนัก แต่ในเวลานี้กู่ฉิงซานกลับกำลังเกิดความสับสน
เพราะในอดีตที่ผ่านมา เต่ายักษ์ได้ส่งเขามาที่นี่
สถานที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กู่ฉิงซานค่อยๆ ตระหนักถึงคำพูดของเต่าที่บอกว่า
“นี่เป็นเพียงภาพทับซ้อนในสมัยโบราณ แต่กฎเกณฑ์แห่งโลกย่อมเชื่อมโยงถึงกัน”
วันเดือนปีที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่กู่ฉิงซานกำลังจะตัดผ่านฐานวรยุทธ์ ฟ้าดินจะรับรู้ ทัณฑ์สวรรค์จักมาเยือน
และสิ่งมีชีวิตในยุคโบราณเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ปีศาจ หรือราชาภูต ก็ล้วนไม่ง่ายที่จะพูดคุย
อีกอย่าง เพราะต่างฝ่าย ต่างก็ไม่รู้จักกัน
จนในที่สุด กู่ฉิงซานก็มิอาจปั้นหน้ายิ้มที่ดูน่ารักและเป็นมิตรได้อีกต่อไป
เขาระเบิดการโจมตีอย่างฉับพลัน ฆ่าสังหารอย่างโหดเหี้ยม
อืม…
และคิดว่ามันน่าจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย
ผลลัพธ์ที่ได้ก็เลยเป็น -เหล่ากษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผี ต่างแสดงท่าทีพลิกตลบ กลายเป็นเชื่อฟังและว่าง่าย
ในเวลานั้น ทัณฑ์สวรรค์เกือบจะสิ้นสุดลงแล้ว แถมกู่ฉิงซานยังเหน็ดเหนื่อยกับการฆ่า ประจวบกับมอนสเตอร์เหล่านี้ไม่เคยพูดคุยติดต่อกับผู้คนมาก่อนเลยในช่วงนานปี เขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายสนทนากับพวกมันอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็กลายเป็นสหายกัน!
ทัณฑ์สวรรค์ยุติลงในที่สุด
ทุกคนเริ่มบอกลา
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงช่วยให้ทัณฑ์สวรรค์ในครั้งต่อๆ มาของกู่ฉิงซานง่ายดายยิ่งขึ้น
ภูตผีปีศาจโบราณเหล่านี้ ล้วนครอบครองไปด้วยพรสวรรค์ เพียงได้รับฟังคำพูด ข่าวลือ และการบอกเล่าเรื่องราวจากในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ทั้งหมดก็ส่งเสียงดังเฮฮาด้วยความสนุกสนาน
กู่ฉิงซานเองก็ได้รับผลประโยชน์จากหัวข้อสนทนาเหล่านี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อาจารย์เขาก็มิใช่ใจจืดใจจำอะไร ครั้งหนึ่งเซี่ยกู่หงส์เคยออกมาดูทัณฑ์สายฟ้าของเขาด้วยความเป็นห่วงเหมือนกัน
แต่หลังจากเห็นว่ามันผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เซี่ยกู่หงส์ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ภายหลังเมื่อตนจำต้องทานรับหายนะโทษทัณฑ์ในขอบเขตพันวิบัติ กู่ฉิงซานก็เก็บตัวเงียบไปสองสามวัน
หลังจากข้ามผ่านหายนะโทษทัณฑ์มาได้ ในที่สุด เขาก็สามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าดังเดิมอีกครั้ง
ช่วงเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่ง
เขาสัมผัสได้ว่ากายที่แท้จริงของเขา กำลังเข้ามาแทนที่ร่างวัยรุ่น ร่างนี้
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ นับจากช่วงเวลาที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ตัวตนที่อยู่ในโลกใบนี้ก็ได้กลับกลายมาเป็นตัวเขาเองอย่างแท้จริง
ในขณะที่ความรู้ ความสามารถ และพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับมันมาจากการฝึกฝนที่นี่ ทั้งหมดสามารถนำมันกลับไปได้
ช่างเป็นอะไรที่ลึกลับเกินไปจริงๆ
มันต้องเป็นผู้ฝึกยุทธที่ยิ่งใหญ่เพียงใดกันหนอ ที่ถึงขั้นสามารถสร้างชิ้นส่วนของยุคสมัยแบบนี้ขึ้นมาได้?
กู่ฉิงซานไม่อาจจินตนาการได้เลย
ในช่วงเวลานั้นเอง ก้อนเปลวไฟก็ได้ลอยมา
เป็นยันต์สื่อสาร
กู่ฉิงซานรับมัน กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป แล้วก็ได้ยินเสียงของเซี่ยกู่หงส์ดังขึ้นมาจากยันต์สื่อสารทันที
“พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว เจ้ามัวไปอยู่ที่ใดกัน?”
กู่ฉิงซานจึงค่อยวางใบหยกลง
เขายืนขึ้น เดินออกไปภายนอก
เจ็ดปี…
เขาอาศัยอยู่ในหุบเหวแห่งดาบเป็นเวลาทั้งสิ้นเจ็ดปี
ในช่วงเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมานี้ กู่ฉิงซานมิได้ใช้แต้มพลังวิญญาณเลย
ด้วยความรู้ ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับดาบ ดังนั้นขอแค่เพียงศึกษาโดยการตีความมัน เขาก็สามารถเรียนรู้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแต้มพลังวิญญาณ
เขาเพียงแค่ต้องอ่านมัน จากนั้นก็ขบคิดทำความเข้าใจถึงเนื้อหาของดาบในแต่ละเล่ม
หลังจากผ่านพ้นวันเดือนปีเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็ค้นพบว่าผู้ฝึกดาบในสมัยโบราณ กับผู้ฝึกดาบในรุ่นต่อๆ มามันมีข้อแตกต่างกัน
ผู้ฝึกดาบในสมัยโบราณ จะเน้นให้ตนพัฒนาทักษะดาบ ผสานทั้งคนทั้งดาบเป็นหนึ่งเดียวกันไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจไปกับสกิลดาบมากนัก ดังนั้นมันจึงไม่มีสิ่งที่เรียกกันว่า เทคนิคลับแห่งดาบ
สำหรับผู้ฝึกดาบยุคโบราณแล้ว หนึ่งดาบสามารถตัดผ่านได้ทั้งขุนเขาและห้วงทะเล ยามเมื่อผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งต่อสู้กัน ทุกดาบต่างล้วนทรงพลัง ระเบิดฤทธิ์เดชได้เหนือคณา จึงไม่จำเป็นต้องมีเทคนิคลับแห่งดาบใดๆ
แต่ผู้ฝึกยุทธในรุ่นหลัง แตกต่างออกไป
ทุกคนมีความแข็งแกร่งที่จำกัด มิได้มีสภาพแวดล้อมหรือทรัพยากรที่ดีดั่งเช่นในสมัยโบราณ พวกเขาจึงเริ่มคิดแก้ไขปัญหาในส่วนที่มิอาจระเบิดพลังได้อย่างในประโยคก่อนหน้า สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาเป็นการถือกำเนิดของกระบวนท่าดาบในรูปแบบต่างๆ ที่สอดรับกันกับกฎเกณฑ์แห่งโลก ช่วยให้สามารถระเบิดพลังอันทรงพลานุภาพเกินกว่าทักษะดาบของตนเองออกมา
นี่คือที่มาของ เทคนิคลับแห่งดาบ
แต่กู่ฉิงซานเอง ก็ไม่ชัดเจนเหมือนกันว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าเทคนิคลับแห่งดาบมันเริ่มปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ในปัจจุบัน เขาไม่มีเวลาที่จะมามัวคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไรพวกนี้
เพราะทักษะดาบในยุคสมัยนี้ มีเอกลักษณ์อันน่าทึ่งของมันเอง กู่ฉิงซานจึงปล่อยตัวปล่อยใจ ล่องลอยไปมากับการฝึกฝนจิตแห่งดาบทุกวี่ทุกวัน
แต่ในวันนี้ การฝึกยุทธของตนกลับดันมาถูกขัดจังหวะ
เพราะวันนี้ ปรมาจารย์วังเซี่ยกู่หงส์ จะทำการรับลูกศิษย์สองคน ต่อหน้าธารกำนัลอีกครั้ง
และกู่ฉิงซาน ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เขาจำเป็นต้องมาเข้าร่วมสังเกตการณ์ และรวมไปถึงเอ่ยคำสอนสั่งศิษย์น้องทั้งสองอีกด้วย
ย้อนระลึกไปถึงฉากเมื่อเจ็ดปีก่อน ที่ตนคารวะอาจารย์ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจเล็กน้อย
เขาบิดขี้เกียจ ก่อนจะทะยานตรงไปยังทิศทางของเกาะเล็กๆ ท่ามกลางขุนเขาทั้งเจ็ด
…
ณ ใจกลางเกาะเล็กๆ
ปรมาจารย์ขุนเขาทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่นี่
รายล้อมไปด้วยเหล่าสาวกวังสวรรค์ที่อยู่รอบด้าน
โดยมีเซี่ยกู่หงส์ยืนอยู่ตรงใจกลางสถานที่จัดงาน
ตรงข้ามกับเขา เป็นสองผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่กำลังคุกเข่า
เนื่องจากการฝึกยุทธอันยอดเยี่ยมของพวกเขานับตั้งแต่ได้เข้าสู่นิกายมา ประกอบกับความสามารถอันโดดเด่น ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการประลองเทียบเปรียบประจำปี ที่ได้เผยฝีมืออันยอดเยี่ยมของตนเองออกมา ทั้งยังได้รับการยอมรับ ยกย่องเป็นวงกว้าง ดังนั้น รุ่นเยาว์ทั้งสองคนนี้จึงได้รับคุณสมบัติที่จะกลายเป็นศิษย์ของปรมาจารย์วัง
ตอนนี้ พิธีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
กู่ฉิงซานอาศัยการบิน ทิ้งตัวลงบนเกาะ มาหยุดยืนต่อหน้าเซี่ยกู่หงส์พร้อมประสานกำปั้นเข้าหากัน
เซี่ยกู่หงส์กล่าว “เหตุใดจึงเชื่องช้านัก?”
กู่ฉิงซานอธิบาย “เมื่อครู่ศิษย์กำลังศึกษาพื้นฐานแห่งดาบอยู่ แต่ดูเวลาแล้วถูกต้อง มิได้ล่าช้าใดๆ”
เซี่ยกู่หงส์พยักหน้าและไม่ถามอีกต่อไป
เพราะเขาทราบดีว่าจิตใจของกู่ฉิงซานหลงใหลในการเรียนรู้ดาบถึงเพียงไหน
บางครั้งบางคราวที่เขาแวะไปเยี่ยมเยือน กู่ฉิงซานก็จมอยู่ในห้วงสมาธิ มิอาจรับรู้ได้ถึงตัวเขาเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซี่ยกู่หงส์ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าเขาก็ยังมิวายถูกจับจ้องด้วยสายตาของปรมาจารย์ขุนเขาและเหล่าสาวกทั้งหมด
ทุกคนล้วนบังเกิดความรู้สึกอันลึกล้ำยากจะอธิบาย ข้างในหัวใจ
เนื่องจากกู่ฉิงซานเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้นตามกฎของนิกาย เขาจึงต้องเป็นผู้นำในพิธีรับศิษย์น้องในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม เขาเกือบจะมาสาย
เกือบจะสายเพราะนั่งอ่านตำราดาบอยู่!
ปรมาจารย์ขุนเขาต่างพากันลอบขมวดคิ้ว ขณะเดียวกันสาวกระดับสูงต่างก็บังเกิดความไม่พอใจขึ้น
“เอาล่ะ งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลย”
เซี่ยกู่หงส์กล่าว
กู่ฉิงซานก้าวออกมา และเริ่มอ่านประวัติความเป็นมาของสาวกทั้งสองนับจากในอดีต จวบจนมาถึงความสำเร็จของพวกเขาที่ผ่านมา
ระหว่างอ่านประโยคเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็เหลือบมองไปยังสาวกสองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น
เป็นหวงซาน
กับเฉินหยาง
แต่ไม่มีจ้าวควน
ดูเหมือนว่าตัวเขาจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของจ้าวควน
พิธีดำเนินไปทีละขั้น ทีละตอน
หลังจากการร่ายประวัติของกู่ฉิงซาน สาวกที่โดดเด่นที่สุดทั้งสองคนก็มาหยุดยืนเบื้องหน้าปรมาจารย์ขุนเขา และเริ่มเอ่ยแนะนำตัวต่อพวกเขา
หลังจากได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์ขุนเขาทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งสองก็โค้งกายคำนับ และมาแนะนำตนเองแก่ปรมาจารย์วังเมฆาวิเวก
หลังจากรับฟังการแนะนำตนแล้ว ปรมาจารย์วังก็เอ่ยสนทนากับหวงซานและเฉินหยางเป็นการส่วนตัว
พวกเขาแสดงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะคารวะอาจารย์ ในที่สุดปรมาจารย์วังก็ตกลงที่จะยอมรับทั้งสองเป็นศิษย์ โดยกู่ฉิงซานซึ่งเป็นศิษย์เอกผู้รับผิดชอบในพิธีได้นำใบหยกที่ได้รับการสืบทอดของนิกายออกมา และเริ่มบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวการรับศิษย์ของปรมาจารย์วัง
ในช่วงเวลานี้เอง เซี่ยกู่หงศ์ได้อยู่ต่อหน้าทุกคน ประคองทั้งสองขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กล่าวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ว่าอะไรควรใส่ใจ อะไรคือแบบอย่างที่ดีต่อสาวกทั้งหลาย…
กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็บังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในจิตใจ
ปรากฏว่ากว่าจักสามารถก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์ของปรมาจารย์วังนั้นช่างยากเย็นนัก – แต่เขากลับสามารถทำมันได้ตั้งแต่ในช่วงเจ็ดปีก่อนหน้านี้
ดูเหมือนว่าด้วยแรงกระตุ้นอันแรงกล้า ที่คิดหมายจะแก้ปัญหาของเขา ช่วยให้ตนประสบคว้าโชคลาภ สามารถประหยัดเวลาได้เยอะเลยทีเดียว
ระหว่างลอบขบคิด ก็บังเกิดแค่เพียงความเงียบงันขึ้นรอบตัวเขา
“ถึงตาเจ้าแล้ว” เซี่ยกู่หงส์ส่งเสียงมาทางความคิด
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน
เอาเถอะ ตัวเองเป็นศิษย์พี่ใหญ่นี่นะ ดังนั้นตอนนี้สมควรกล่าวให้กำลังใจศิษย์น้องทั้งสองคนเล็กๆ น้อยๆ
เขาก้าวออกมาเบื้องหน้า มองดูหวงซานกับเฉินหยาง
ในเวลานี้ ทั้งสองคนยังคงเป็นเพียงวัยรุ่น พวกเขาดูตื่นเต้นและเป็นกังวล เห็นได้ชัดจากขาทั้งสองข้างของหวงซานที่กำลังสั่นเทา
กู่ฉิงซานพยักหน้า กล่าวกับทั้งสองคน “นับจากนี้ไป จงตั้งใจฝึกยุทธให้ดี”
หวงซานกับเฉินหยางเฝ้ารออยู่ชั่วขณะ แต่นับจากคำนั้น เขาก็มิได้ยินคำใดจากกู่ฉิงซานอีกเลย
หรือว่านี่…จะพูดจบแล้ว?
ทั้งสองเร่งประสานกำปั้นอย่างรวดเร็ว ขานรับเสียงดัง “น้อมรับคำสั่งสอนของศิษย์พี่ใหญ่”
“อืม”
กู่ฉิงซานรับคำ และเดินกลับไปทางเซี่ยกู่หงส์
คนอื่นๆ ต่างเฝ้ารอสุนทรพจน์ของกู่ฉิงซาน ทว่ากลับได้ยินแค่เพียงประโยคเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูกล่าวส่งๆ และเร่งรีบ
ในหัวใจของทุกคนยิ่งนาน ก็ยิ่งเกิดอารมณ์คุกรุ่น
จากนั้น พิธีก็สิ้นสุดลง
“เอาล่ะ ขุนเขาต่างๆ แยกย้ายกันไปได้”
เซี่ยกู่หงส์ประกาศ จากนั้นเริ่มหันมาจัดการกับศิษย์ทั้งสามของเขา
“ส่วนพวกเจ้า หวงซาน เฉินหยาง จงกลับไปยังขุนเขาหลักเมฆาวิเวกกับศิษย์พี่ใหญ่เสีย ข้ามีเรื่องจำต้องออกไปภายนอก ดังนั้นอีกสามเดือนข้างหน้านับจากนี้ จะเป็นหน้าที่ของศิษย์พี่ใหญ่ที่คอยสั่งสอนพวกเจ้า”
“ขอรับ!”
สองศิษย์ตอบพร้อมกัน
ฝูงชนทั้งหมดกำลังจะแยกย้าย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชะงักฝีเท้าลง
‘นี่ท่านปรมาจารย์วัง กำลังคิดจะให้กู่ฉิงซานสอนทั้งสองคนจริงๆ น่ะหรือ?’
‘อาศัยเพียงเขาเนี่ยนะ?’
เขาที่ไม่เคยโผล่หัวมาร่วมกิจกรรมใดๆ เลยในตลอดเจ็ดปี
เขาในฐานะผู้ฝึกดาบที่ไม่เคยยอมรับการท้าประลองใดๆ
เขาที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะลงรายชื่อเข้าร่วมการประลองเทียบเปรียบประจำปีของนิกาย
แล้วจะให้เขาสอนหวงซานกับเฉินหยางจริงๆ น่ะหรือ?
หากสอนสั่งได้ไม่ดี นี่มิใช่หมายความว่าเมล็ดพันธุ์แสนล้ำค่าทั้งสองนี้จะพังทลายลงเลยหรอกหรือ?
ทุกคนต่างบังเกิดความสับสนเล็กน้อย
ในช่วงเวลานั้นเอง ร่างสีแดงอันร้อนแรงก็บินออกมาจากทางฝั่งขุนเขารุ่งอรุณโบราณ และตกลงใจกลางเกาะ
เขาคือวัยรุ่นที่ดูแข็งแรงและบึกบึน
เจ้าตัวประสานกำปั้นเข้าหากัน ปากเอ่ยวาจาลั่น “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย กู่ฉิงซาน ข้าคือสาวกนักสู้อันดับหนึ่งแห่งขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขอเอ่ยท้าประลองกับท่านที่นี่ กล้ายอมรับหรือไม่!”
…………………..