เจ้าตัวประสานกำปั้นเข้าหากัน ปากเอ่ยวาจาลั่น “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย กู่ฉิงซาน ข้าคือสาวกนักสู้อันดับหนึ่งแห่งขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขอเอ่ยท้าประลองกับท่านที่นี่ กล้ายอมรับหรือไม่!”

กู่ฉิงซานมิตอบคำใด เพียงใช้หางตาเหลือบแลอีกฝ่ายวูบหนึ่ง

วินาทีเดียวกันนั้นเอง คล้ายดั่งมีบางสิ่งตัดผ่านอากาศ ม่านตาดำของสาวกนักสู้อันดับหนึ่งพลันกลอกกลิ้ง มันไหลหงายขึ้นไปเบื้องบน ตลอดทั้งดวงตากลายเป็นขาวโพลน ร่วงลงกับพื้น สิ้นสติไป

อาวุโสคนหนึ่งโฉบกายเข้ามา ย่อตัวลงตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด

“ไม่เป็นอะไร แค่เพียงมิอาจคงจิตเทวะเอาไว้ได้ จึงหมดสติไปครู่หนึ่ง” เขาหันไปบอกรอบๆ

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดจึงค่อยคลายใจลง

ในเวลานี้ วิสัยทัศน์ของเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาที่มองมายังกู่ฉิงซานพลันแปรเปลี่ยนไปจากเดิม

นั่นเพราะพวกเขาพรั่งพร้อมไปด้วยความรู้ มากไปด้วยประสบการณ์ ฉะนั้นจึงสามารถจับกระแสเจตดาบล่องหนที่ซ่อนอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่าได้

มีเฉพาะเพียงเหล่าบรรดาสาวกของขุนเขาต่างๆ เท่านั้น ที่ยังคงไม่ทราบเรื่องราว และไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

กู่ฉิงซานหันไปมองเซี่ยกู่หงส์

เซี่ยกู่หงส์เพียงปิดปากเงียบ

กู่ฉิงซานจึงแสร้งไอ และป่าวประกาศด้วยน้ำเสียงสงบและเชื่องช้า “พิธีรับศิษย์ของปรมาจารย์วัง ถือเป็นหนึ่งในหกพิธีศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย ดังนั้นตามกฎของนิกายแล้ว ภายในวันพิธีจึงไม่สมควรเกิดความขัดแย้งใดๆ ทว่าเนื่องจากนี่เป็นเพียงความผิดครั้งแรกของเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุผล ดังนั้นบทลงโทษที่เขาสมควรจะได้รับก็คือ การหันหน้าชนเข้ากับกำแพงเป็นเวลาสามเดือน มีสมาธิอยู่กับตนเอง สำนึกถึงความผิดที่ตนกระทำ…ใครก็ได้ ช่วยมาพาตัวเขาออกไปที!”

สองผู้ฝึกยุทธบังคับกฎก้าวออกมา และอุ้มตัวสาวกนักสู้อันดับหนึ่งจากไป

ในเวลานี้ เหล่าสาวกที่ยังคงเฝ้าชมยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่

สิ่งที่พึ่งจะเกิดขึ้นในเวลานี้ มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เหล่าสาวกไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นกระบวนท่าอะไรแบบนี้ในโลกมาก่อนเลย

แต่นั่นเป็นเพราะขอบเขตของพวกเขายังคงตื้นเขินมากเกินไป ดังนั้นจึงมิอาจทราบได้ว่าเจตดาบล่องหนที่ฟาดฟันไปในอากาศเมื่อครู่ น่าหวาดกลัวเพียงใด

ในสายตาของพวกเขา เห็นแค่เพียงสาวกคนหนึ่งกำลังเตรียมท้าประลอง ร่วงตกลงกับพื้น

จากนั้นกู่ฉิงซานก็ป่าวประกาศมอบบทลงโทษ

นี่อย่าบอกนะ…

เห็นได้ชัดว่า นี่อาจเป็นหนึ่งในวิชายุทธชั้นสูงของอาวุโสคนหนึ่ง ที่ทำให้เขาล้มลงทันทีเมื่อเอ่ยปากท้าประลองใช่หรือไม่?

เพราะมันคงจะเป็นไปไม่ได้ ที่ชายผู้กระโจนออกไปท้าประลอง จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับกู่ฉิงซาน แสร้งทำเป็นถูกกู่ฉิงซานโจมตีกะทันหันเพื่อสร้างชื่อเสียงต่อหน้าธารกำนัล?

หรือว่าจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง อย่างเช่นอาจมีศิษย์พี่ในนิกายคนใดแอบช่วยลอบโจมตีอย่างลับๆ ใช่หรือไม่?

พอคิดถึงจุดนี้ ความโกรธเกรี้ยว และความไม่พอใจของสาวกก็ยิ่งทวีมากขึ้น

เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย แต่กลับได้ขอความช่วยเหลือจากระดับอาวุโสอย่างกะทันหัน!

หากเป็นเช่นนี้แล้ว ในอนาคตยังมีผู้ใดอีกที่ยินยอมจะฟังคำของเขา?

เหล่าสาวกจากขุนเขาเมฆาพยศเหลือบมองกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพยักหน้าอย่างเงียบๆ

แล้วทั้งหมดก็ถลันกาย บินไปยังเกาะกลางน้ำ

หลายสิบผู้ฝึกยุทธนักสู้จากขุนเขารุ่งอรุณโบราณเองก็ไม่น้อยหน้า กวาดผ่านผืนฟ้า ร่อนลงมายังเกาะกลางเช่นกัน

ร่างของเหล่าสาวกขุนเขาสดับวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นหมอกหนา เคลื่อนไปปรากฏกายขึ้นพร้อมกันอีกครั้งใจกลางเกาะ

สาวกจากขุนเขาวารีกระจ่างโต้คลื่นผ่านธารน้ำ ถึงฝั่งพลางดีดตัวขึ้นมาหยั่งเท้าบนเกาะ

สาวกที่มีจำนวนน้อยนิดยิ่งจากขุนเขาทำนองเสนาะก็ไม่มีละเว้น แม้ทางฝั่งนี้จะไม่มีท่วงท่าหวือหวาเช่นสาวกจากขุนเขาอื่นๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งหมดต่างพากันยกเครื่องดนตรีประจำตนออกมา คล้ายเตรียมพร้อมบรรเลงสนับสนุนสาวกจากขุนเขาที่เหลือ

กล่าวได้ว่าสาวกจากทั้งหกขุนเขา บัดนี้สามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน หมายโค่นล้มความอยุติธรรมเบื้องหน้าเพียงหนึ่งเดียวลง!

ทั้งหมดล้วนเพิกเฉยต่อสีหน้าของเหล่าปรมาจารย์ประจำขุนเขาตน ปากอ้าตะโกนลั่น “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย กู่ฉิงซาน ข้าและผองเพื่อนร้องขอท้าประลองกับท่าน!”

กู่ฉิงซานมองผู้คนทั้งหมด อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

เจ้าพวกนี้มันยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย เลือดร้อนกันจริงๆ แต่ถ้าให้เขาจัดการทีละคน แบบนี้มันก็เสียเวลาอันมีค่ากันพอดี

คิดจบ เจ้าตัวก็กวาดสายตามองฝูงชนทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นสาวกจากขุนเขาใด จะใกล้จะไกลเพียงใด ขอเพียงวิสัยทัศน์ของเขากวาดมองผ่านไป เจตดาบที่มองไม่เห็นก็ฟันฉับ! ทำร้ายจิตเทวะของเหล่าวัยรุ่นทั้งหมดได้อย่างง่าย

เหล่าสาวกพลันรู้สึกคล้ายสมองกลายเป็นว่างเปล่า วิสัยทัศน์เริ่มขาวโพลน ทรุดลงกับพื้น และไม่รับรู้อะไรอีกเลย

เพียงลมหายใจเดียว

บรรยากาศเดือดพล่านเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบสุข

ฝูงชนที่เหลือต่างมองดูกู่ฉิงซานราวกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาด

กู่ฉิงซานก้มลงมองเหล่าสาวกที่สิ้นสติลงกับพื้น ส่ายศีรษะและกล่าว “พวกเขาทั้งหมดถูกลงโทษหันหน้าชนเข้ากับกำแพง นั่งสำนึกตนเป็นเวลาสามเดือน และหากมีใครกล้าสร้างความวุ่นวายอีกครั้ง คนผู้นั้นจะถูกทำลายฐานวรยุทธ์ และขับไล่ออกจากนิกายทันที…ท่านอาจารย์มีข้อโต้แย้งใดๆ หรือไม่?”

เซี่ยกู่หงส์ “เอาตามเจ้าว่าเลย”

“ขอรับ” กู่ฉิงซานรับคำ

“ฉิงซาน ในเมื่อจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็จงพาศิษย์น้องทั้งสองกลับไปยังขุนเขาหลักก่อนเถิด แล้วข้าจะตามไปในภายหลัง”

กู่ฉิงซานจึงค่อยพาหวงซานกับเฉินหยาง เดินทางกลับไปยังขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ในเวลานี้ บนเกาะเหลือแค่เพียงปรมาจารย์วัง ปรมาจารย์จากขุนเขาต่างๆ และบรรดาเหล่าอาวุโส

ทว่าไม่มีใครเอ่ยคำใด

เซี่ยกู่หงส์หันไปมองรอบๆ เริ่มกระแอมไอ “อะแฮ่ม ข้าได้ยินมาว่าปรมาจารย์ขุนเขาบางท่าน มีข้อตำหนิเกี่ยวกับวิธีการสอนสั่งศิษย์ของข้าใช่หรือไม่?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธยังคงเงียบ

เซี่ยกู่หงส์กล่าวเสียงอบอุ่น “ในฐานะปรมาจารย์ขุนเขา และผู้อาวุโส หากเมื่อใดที่มีเวลาว่างเว้น ขอจงอาศัยช่วงเวลานั้นสอนสั่งลูกศิษย์ของพวกเจ้าให้จงดี ย้ำเตือนให้พวกเขาอย่าได้ประมาท และไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน ที่สำคัญจงอย่าละเมิดกฎของนิกาย ให้สังเกตความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน อย่าห้าวก้าวออกมาข้างหน้าโดยไม่ยั้งคิด มิฉะนั้นจะสิ้นสติ ได้รับบทสรุปลงเช่นนี้”

ทว่ากลับยังไม่มีใครตอบรับคำเขา

เซี่ยกู่หงส์ถอนหายใจ “หลายร้อยปีมาแล้วที่การฝึกยุทธของพวกเจ้าล้าหลังข้า ฉะนั้นในอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้ ก็ขออย่าให้ศิษย์ของเจ้าเป็นเช่นเดียวกันอีกเลย ไปสอนสั่งพวกเขาให้ดี เรื่องราวในครั้งนี้ข้าจะไม่ใส่ใจ ลาล่ะ!”

ว่าจบเขาก็วาดแขนออก ทั้งคนทั้งร่างทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า หายวับไปในเมฆหมอกสีขาวอย่างรวดเร็ว

ทว่าบนเกาะ ก็ยังไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด แต่บรรยากาศคล้ายหดหู่ลงไปมาก

ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ศิษย์ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องโถงหลักของขุนเขา แยกกันนั่งลง และเริ่มสนทนา

พวกเขาต้องรอให้ท่านปรมาจารย์วังกลับมาเสียก่อน จึงจะสามารถจัดการกับปัญหาแบบเฉพาะเจาะจงได้

หวงซานมองตรงมายังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทรงพลังถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”

กู่ฉิงซานกล่าว “ตราบใดที่พวกเจ้าฝึกยุทธกันอย่างจริงจัง ไม่ช้าก็เร็วย่อมสามารถแข็งแกร่งเช่นเดียวกันกับข้าได้”

หวงซาน “แต่เพียงปัจจุบันนี้ข้าก็ฝึกยุทธอย่างจริงจังมากแล้ว หากไม่นับรวมงานเทศกาล หรืองานเลี้ยงประจำขุนเขา นอกเหนือไปจากนั้นข้าก็แทบฝึกยุทธตลอดเวลาเลย”

กู่ฉิงซาน “อย่างงั้นหรือ ส่วนข้า ข้าฝึกฝนอยู่ในหุบเหวแห่งดาบมาตลอดทั้งเจ็ดปี นอกเหนือไปจากช่วงเวลาออกไปตามหาใบหยกหรือวัตถุดิบจากขุนเขาอื่นๆ ข้าก็ไม่เคยออกไปที่ใดอีกเลย”

หวงซานกับเฉินหยางเดิมกำลังยิ้มแย้ม ทว่าเมื่อได้รับฟังพวกเขาก็ต้องสูดหายใจลึก

นั่นเพราะการฝึกยุทธอย่างหนักหน่วงเช่นนั้น มันเกินกว่าจินตนาการ และความรู้ความเข้าใจของพวกเขา

ในโลกนี้มีชายที่สามารถบังคับตัวเองให้ทำแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเดียว โดยไม่สนใจอย่างอื่นได้จริงๆ น่ะหรือ?

แต่พวกเขาไม่ทราบเลย ว่าแท้จริงแล้วกู่ฉิงซานใช้เวลาหลายปีนัก กว่าที่เขาจะกลับมาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าดังเดิม กล่าวได้ว่ามันเป็นไปอย่างเชื่องช้ามากๆ

ทว่าในครั้งนี้ ที่มันเชื่องช้านั่นเพราะกู่ฉิงซานจงใจ

อย่างแรก เป็นเพราะเขามีเวลาเหลือเฟือ

อีกอย่างก็คือ หากสำแดงพรสวรรค์มากเกินไป มันอาจได้รับผลกระทบตามมา

เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะในยุคอดีตหรือปัจจุบัน กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลกก็เหมือนๆ กัน หากตัวเขาฝึกยุทธได้รวดเร็วเกินไป ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยกู่หงส์ มันอาจจะไปสะกิดความสงสัยของฝ่ายตรงข้ามเอาก็ได้

ดังนั้น กู่ฉิงซานที่อยู่ในสถานะก้าวล้ำไปไกล จึงพยายามทำตนให้แลดูธรรมดา ชนิดที่ว่าหากตนกำลังพิจารณาตัวเองอยู่ในขณะนี้ จักสัมผัสได้เลยว่าการแสดงนี้ช่างไร้ที่ติ!

ในเวลานั้นเอง เซี่ยกู่หงส์ที่กำลังมีสีหน้าดูสบายใจสบายใจก็ย้อนกลับมายังขุนเขาหลัก

แล้วเขาก็เริ่มสั่งการทันที

“ฉิงซาน นับตั้งแต่วันนี้ เมื่อเจ้าได้เปิดเผยฐานวรยุทธ์แล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องคอยปกปิดมันอีกต่อไป”

“ฉิงซาน ขอบเขตของเจ้าได้ทะลุเกินกว่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันไปกว่าสี่ถึงห้าขั้นแล้ว ดังนั้น หากเจ้าคิดจะชี้แนะการฝึกยุทธ สั่งสอนศิษย์น้องทั้งสอง เพียงเท่านี้ก็นับว่ามากพอ”

ว่าจบ ใบหยกก็ถูกโยนมาให้เขา

กู่ฉิงซานรับมันไว้

“นี่คือใบหยกผู้นำนิกาย ในช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ เจ้าสามารถใช้ใบหยกของข้า เพื่อไปยังแต่ละขุนเขา สามารถร้องขอเทคนิคฝึกยุทธ และวัสดุต่างๆ ที่จำเป็นแก่สองศิษย์น้องได้ตามต้องการ”

“ขอรับอาจารย์ ว่าแต่ท่านจะไปที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เซี่ยกู่หงส์ “ข้าจะต้องไปแนวหน้า เจ้าก็รู้ว่าที่นั่นมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น ฉะนั้นข้าจำต้องไปสำรวจด้วยตัวเอง จึงจะสามารถเข้าใจข้อมูลเท็จจริงได้”

สุดท้าย เขากระตุ้นเตือนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “จงสอนสั่งศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าให้ดี”

“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์!” กู่ฉิงซานปรับทัศนคติเป็นจริงจัง ประสานมือคารวะ

เซี่ยกู่หงส์พยักหน้าด้วยความพอใจ

เขาเอ่ยลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กับหวงซานและเฉินหยาง

เมื่อทุกอย่างได้รับการบอกต่ออย่างเหมาะสม เซี่ยกู่หวงก็หายวับไปจากห้องโถงใหญ่

หลังจากที่อาจารย์ได้ออกไป กู่ฉิงซานก็นำทางหวงซานกับเฉินหยางมายังหุบเหวแห่งดาบด้วยกัน

หุบเหวแห่งดาบแท้จริงแล้วอยู่ในหุบเขา แต่หากต้องการเดินลึกไปกว่านี้ จำเป็นต้องผ่านม่านค่ายกล ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ กว่าหลายร้อยจั่ง ลึกเข้าไปภายในภูเขา จากนั้นก็จะมาถึงหุบเหวแห่งดาบในที่สุด

กู่ฉิงซานยืนอยู่ข้างนอกหุบเหว และชี้ไปยังห้องฝึกยุทธสองห้องที่อยู่ใกล้ๆ

“ท่านอาจารย์กับข้าได้ร่วมกันคิด และจัดวางสถานที่ฝึกยุทธสองแห่งไว้นอกหุบเหวแห่งดาบ หนึ่งเหมาะสมกับการฝึกฝนเทคนิคมนตรา อีกหนึ่งเหมาะสมสำหรับฝึกยุทธนักสู้ นี่คือสถานที่ให้พวกเราสามศิษย์ฝึกยุทธร่วมกัน”

หวงซานกับเฉินหยางพยักหน้ารับคำ

กู่ฉิงซานปรบมือ “เอาล่ะ อันดับแรกพวกเจ้าก็ไปฝึกยุทธกันได้แล้ว หากมีอะไรที่ต้องการหรืออะไรที่ไม่เข้าใจ ก็ขอให้มาหาข้า ตอนนี้ข้าขอตัวไปฝึกยุทธต่อละ”

หวงซานกับเฉินหยางมองหน้ากันและกันด้วยความสับสน

ก็พวกเขาพึ่งจะได้ขึ้นมายังขุนเขาหลัก จะไม่ให้ทำอะไรอย่างอื่น แล้วเริ่มฝึกยุทธเลยหรือ?

กู่ฉิงซานกล่าวเสริม “ในวันต่อไป ข้าจะเริ่มทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเจ้า แล้วช่วยคิดหาวิธีการช่วยฝึกยุทธที่ดียิ่งขึ้นให้”

หวงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดจึงต้องเป็นวันพรุ่งด้วยเล่า?”

กู่ฉิงซานกล่าวขออภัย “นั่นเป็นเพราะพิธีในวันนี้ ทำให้ข้าอ่านตำราดาบไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น หัวใจข้าคล้ายรู้สึกแขวนอยู่กลางอากาศ มันหนักอึ้งไม่สบายใจหากไม่อ่านให้จบลงภายในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงจำต้องขอใช้เวลาสักหนึ่งวัน ค่อยคิดหาทางช่วยเหลือพวกเจ้า”

คราวนี้เป็นเฉินหยางบ้างที่ต้องถาม “แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่พาพวกเราไปหาที่พักเลยนะ หากไม่ทราบที่พัก พวกเราก็มิอาจมองหาที่ซุกหัวนอนได้น่ะสิ”

กู่ฉิงซานตกใจเล็กน้อย สุดท้ายกล่าว “หากเจ้าเหนื่อย เจ้าสามารถนอนพักในห้องฝึกยุทธได้เลย”

เฉินหยางหุบปากลงทันที พยายามย่อยความหมายของประโยคนี้

หวงซานคิดอย่างรอบคอบ เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แล้วที่พักของศิษย์พี่ใหญ่เล่า ท่านอาจารย์ไม่เคยจัดที่พักให้ท่านเลยหรือ?”

กู่ฉิงซานกล่าว “อ้อ นั่นมันลำบากมากเกินไปน่ะสิ ข้าเลยเลือกที่จะอาศัยอยู่ในหุบเหวแห่งดาบ เพราะสามารถฝึกยุทธเวลาใดก็ได้ เหนื่อนักก็นั่งพักทำสมาธิในจุดนั้น กำลังวังชากลับมาก็ค่อยดำเนินการฝึกยุทธต่อ กระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการประหยัดเวลาเป็นอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์เองภายหลังก็คิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เฉินหยางพอได้ฟังก็ร้องอุทาน “ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าบอกนะว่าท่านหมกตัวในหุบเหวแห่งดาบมาตลอดทั้งเจ็ดปีเลย?”

“อันที่จริง เจ็ดปีกับอีกแปดวัน” กู่ฉิงซานกล่าว

หวงซานกับเฉินหยางหันหน้าของพวกเขา มองไปยังทิศทางหุบเหว

ลึกเข้าไปในหุบเหว มันไม่มีสิ่งใด นอกเหนือไปจากทะเลดาบอันกว้างใหญ่ และใบหยกกองรวมกันเป็นภูเขาแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดอีกเลย

ศิษย์พี่ใหญ่ต้องอยู่ภายในนั้นตลอดเวลาเจ็ดปี นอกเหนือไปจากฝึกยุทธ ก็ไม่ทำสิ่งใดอีกเลย …

กู่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ พวกเจ้าไปฝึกยุทธกันได้แล้ว ส่วนข้าจะขอไปตริตรอง ถอดใจความตำราดาบนี้ อีกหนึ่งวันให้หลังค่อยว่ากันใหม่”

จากนั้น เขาก็เดินไปยังทิศทางหุบเหว

“ศิษย์พี่ใหญ่ ช้าก่อน!” เฉินหยางตะโกน

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า หันกลับมาถาม “ยังมีสิ่งใดอีก?”

เฉินหยางสูดลมหายใจลึก เอ่ยอย่างมิอาจทำความเข้าใจได้ “ในเมื่อฐานวรยุทธ์ของศิษย์พี่ใหญ่เหนือล้ำกว่ารุ่นเดียวกันไปมากโขแล้ว เรียกได้เลยว่าเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเดียวกัน เหตุใดจึงยังต้องทุ่มเทฝึกยุทธอย่างหนักถึงเพียงนี้?”

พอได้ยินคำถามนี้ กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมา

“เอาเถอะ ข้าจะสอนบทเรียนแรกของเจ้าในฐานะอาจารย์ชั่วคราวก็แล้วกัน” เขากล่าว

หวงซานกับเฉินหยางประสานกำปั้นพร้อมกัน คารวะเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก “ศิษย์พี่ใหญ่โปรดให้ความกระจ่างด้วย”

กู่ฉิงซานยืนอยู่ที่นั่น นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง

เขาเอ่ยปากถามขึ้นอย่างฉับพลัน “เจ้าทราบอะไรเกี่ยวกับแนวหน้าหรือไม่?”

ดวงตาของหวงซานแสดงออกถึงร่องรอยของความหวาดกลัว เขาลดเสียงลง “ข้าได้ยินมาว่า สงครามร้ายแรงนัก เทพวิญญาณเองก็หายตัวไป จากการสรุปเบื้องต้น คาดว่าอาจถูกมอนสเตอร์จากบรรพกาลสังหารลงไปแล้ว”

เฉินหยางกล่าวด้วย “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เทพวิญญาณตกตายลงอย่างเปิดเผย และตอนนี้ดูเหมือนว่านิกายสำคัญๆ ก็กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกยิ่ง มันเกือบจะทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความกังวล ดังนั้น ท่านอาจารย์จึงจำต้องออกไปยังแนวหน้า เพื่อตรวจสอบหาความจริง”

“และไม่ว่าจุดจบของเรื่องราวนี้ ที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกเกี่ยวกับพวกเจ้าก็คือ”

เขาก้าวออกมาข้างหน้า ตบไหลของสองศิษย์น้องและกล่าว “หากเป็นไปได้ เจ้าจงลองจินตนาการดูว่าในอีกสิบปีของหน้า เทพวิญญาณจะพ่ายแพ้ให้กับโลกบรรพกาลอย่างกะทันหัน ขณะเดียวกันเทพวิญญาณองค์อื่นๆ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้เลย สมาชิกในครอบครัวของเจ้าถูกสังหารจนสิ้นโดยมอนสเตอร์ ขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่ดีของเจ้าก็ล้วนถูกสังหารสิ้น หญิงที่ชอบก็ถูกมอนสเตอร์จับกินเป็นอาหาร ยามนั้นเจ้าต้องการคิดแก้แค้น ทว่ากลับไม่อาจค้นพบหนใด เนื่องเพราะฐานวรยุทธ์ของเจ้าต่ำเตี้ยเกินไป ความแข็งแกร่งที่ไม่มากพอ ไม่นับเป็นสิ่งใด เจ้าจึงทำได้เพียงวิ่งเข้าปะทะหักสู้ หัวเราะต่อหน้าความตาย สุดท้ายโชคชะตาก็จบสิ้น ถูกมอนสเตอร์สักตนใดตนหนึ่งสังหารลงในที่สุด”

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ กล่าวต่อ “และในช่วงเวลาที่เจ้าสิ้นใจ จู่ๆ ก็มีบางคนกล่าวว่าเจ้าจักสามารถฟื้นคืนกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง โดยการถูกส่งข้ามกาลเวลา ย้อนกลับไปจุติเมื่อช่วงเวลา สิบปีที่ผ่านมา โอกาสที่ว่านี้อยู่เบื้องหน้า ขณะที่เจ้าค้นพบว่าตนเองพึ่งคารวะอาจารย์ และกำลังยืนฟังข้าพูดอยู่”

“เจ้าได้รับโอกาสที่จะทำมันอีกครั้ง”

“ได้ยินแบบนี้แล้ว ไหนลองบอกข้าสิ ว่าเจ้าตั้งใจจะใช้ช่วงเวลาชีวิตที่ได้มาใหม่นี่อย่างไร?”

………………………