หนึ่งเดือนต่อมา

ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ภายนอกหุบเหวแห่งดาบ บริเวณใกล้กันกับหุบเขา มีต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่

และกู่ฉิงซานก็กำลังนอนตะแคงอยู่บนหนึ่งในกิ่งไม้ต้นนั้น

สองตาของเขาหุบต่ำลง ในมือถือใบหยกเอาไว้

บางครั้งเจ้าตัวก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ยิ้มอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คล้ายกับสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาในใบหยกได้

หลังจากนั้นไม่นาน

เขาก็ถอดจิตสัมผัสเทวะออกจากใบหยก และไม่คิดอ่านมันอีกต่อไป

เหมือนว่าเขาจะเสร็จสิ้นการฝึกยุทธของตนในวันนี้แล้ว และกำลังเตรียมตัวที่จะล้มหงายลงนอน

อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณคิดว่าเขาหลับใหลไปแล้ว จู่ๆ กู่ฉิงซานก็หยิบขวดน้ำเต้าออกมา เปิดจุกออก แล้วเทเหล้าซดอึกๆๆ ลงในปาก

“ในทุกๆ วัน…ก็ยังเป็นช่วงเวลานี้นี่แหละ ที่ผ่อนคลายที่สุด”

กู่ฉิงซานรำพึง

ทันทีที่เขาเก็บขวดน้ำเต้า เจ้าตัวก็เปลี่ยนท่วงท่านอน ให้สะดวกสบายมากขึ้น เอนตัวผล็อยหลับไป

ห่างออกไปจากต้นไม้ใหญ่

ดาบสายลมพัดกระพือไหวไวว่อง การเคลื่อนไหวของมันราวกับหมอกควัน ทว่ายามปะทะหักล้างกลับคมกริบดั่งใบมีด

หวงซานและเฉินหยางทุ่มพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับการโจมตีของดาบสายลม

“เฉินหยาง ระวัง!” หวงซานตะโกนลั่น

พลางชักมีดสั้นมากุมขึ้นในมือ

ทันใดนั้นเอง ผืนดินพลันสาดแสงไสว ทะยานขึ้นมาจากพื้น แปรเปลี่ยนเป็นกำแพงดินหนาทึบขึ้นเบื้องหลังเฉินหยาง

อย่างไรก็ตาม กำแพงดินก็ยังมิอาจต้านทานดาบสายลมได้ เพียงลมหายใจเดียว มันก็ถูกสับป่นเป็นร่วนเหลว

แต่นับว่าโชคยังดี ที่ลมหายใจเดียวนั่นต่อโอกาสให้กับเฉินหยางได้สำเร็จ

พริบตานั้น เขาฉวยจังหวะพุ่งผ่านดาบสายลม ตรงเข้าหากู่ฉิงซานที่นอนอยู่บนต้นไม้ใหญ่!

“โห?”

มุมปากของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นเล็กน้อย  ทว่ามือข้างหนึ่งของเขายังคงเล่นอยู่กับใบหยก

เมื่อเห็นว่าเฉินหยางกำลังใกล้เข้ามามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวก็ยังไม่คิดลืมตาตื่น

วินาทีนั้น คลื่นอัดอากาศจากปราณดาบพลันถูกปลดปล่อยออกมาจากเขา กวาดเป็นคลื่นปราณดาบ กวาดใส่เข้าหาเฉินหยางอย่างรุนแรง

“ช่วยสนับสนุนข้าด้วย!”

เฉินหยางตะโกนลั่น

หวงซานประกบสองมือขึ้นกุมมีดสั้นทันใด และจี้มันไปยังทิศทางเบื้องหน้าเฉินหยางที่ไกลออกไป

โครม!

กำแพงดินขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ขนาดยักษ์ผุดขึ้นมาบังหน้าเฉินหยางเอาไว้ ช่วยปกป้องเขา ให้สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของคลื่นปราณดาบได้อย่างสมบูรณ์

เฉินหยางกัดฟันกรอด ตั้งท่ากระโดดสูง เตรียมใช้ประโยชน์จากศักยภาพร่างกายตนพลิกสถานการณ์ พร้อมระเบิดการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตัวเองออกมา

พริบตานั้นร่างเงามังกรดำพลันผุดขึ้นมาจากตัวเขา

‘เพลงหมัดเทพนักสู้ กำปั้นเงามังกรสุญญากาศ!’

เฉินหยางหวดเข้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า

ช่วงเวลานั้น มังกรดำพลันอ้าปากร้องคำราม บินฉวัดเฉวียน แหวกอากาศตรงเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานมิได้เล่นกับใบหยกอีกต่อไป

เขาลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง และกวาดไปทางมังกรดำ

ในม่านตาของเขา เงาดาบนับพันปรากฏขึ้น และหายวับไปอย่างกะทันหัน

นี่นับว่าเป็นฉากที่แปลกประหลาดยิ่งนัก

เพราะมันไม่มีใครเคยซ่อนเทคนิคดาบเอาไว้ในม่านตาดั่งเช่นเขามาก่อน

ตั้งแต่ที่เขาก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตก้าวสู่เทพ เจ้าตัวก็สามารถเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นนักดาบนิรันดร์ได้

และหลังจากที่ได้ยินคำสอนของอาจารย์เมื่อสองปีก่อน เขาก็ละพยายามในเรื่องที่มุ่งเน้นไปกับดาบบิน

แต่เขากำลังตั้งข้อสงสัยขึ้นมาแทน ว่าจะต้องทำอย่างไรกัน จึงจะสามารถเพิ่มพูนอำนาจของนักดาบนิรันดร์ให้ขึ้นสู่ขีดสุด เขากำลังเตรียมตัวสำหรับการบรรจบพลังเข้าด้วยกันหลังจากได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จในนักดาบนิรันดร์

ในช่วงเวลานั้นเอง สุดท้ายเขาก็ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เดิมที่ตนเคยพบเผชิญกับ มังกร , กิเลน และหงส์ ที่ตนเพียงถูกพวกมัน ‘กวาดตามาจ้องมอง’ ก็โดนสังหารตกตายลง

นี่คล้ายกับเป็นตัวปลุกจินตนาการใหม่ๆ ขึ้น จากนั้น เขาจึงริเริ่มที่จะพยายามใช้พลังของนักดาบนิรันดร์ โดยการควบรวมปราณดาบเอาไว้ในดวงตาของตน

ด้วยวิธีนี้ มันไม่เพียงแต่จะทำให้สามารถใช้พลังของนักดาบนิรันดร์ได้ แต่ยังประสบความสำเร็จในการควบรวมพลังของมันให้บรรจบกันอีกด้วย

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าร่างเงาดาบจะมีกี่เล่มก็ตาม มันก็จะมาจากดาบที่บรรจบกันในดวงตาอยู่ดี

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการโจมตีดังกล่าวนี้ มีข้อเสียอย่างใหญ่หลวง เมื่อเทียบกับการใช้ดาบบิน

นั่นคือดาบบินสามารถใช้เทคนิคดาบโจมตีแตกต่างกันออกไป ในขณะที่ดาบจากในดวงตาของเขาไม่สามารถหยิบยืมเทคนิคดาบใดๆ ออกไปโจมตี ดั่งเช่นดาบบินได้

ดังนั้น หลังจากที่กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมัน เขาจึงตัดสินใจเลือกให้การโจมตีโดยดาบจากในดวงตานี้ มุ่งเน้นไปทางด้านจิตเทวะแทน

ด้วยเหตุนี้เอง ส่งผลให้เมื่อเขาฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญ ก็สามารถใช้ดาบล่องหนเหล่านี้ฉวยเข้าโจมตีจิตเทวะของผู้อื่นได้

กู่ฉิงซานเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ว่า ‘หัวใจแห่งดาบ’

กระทั่งเซี่ยกู่หงส์ หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขาก็ชื่นชมในตัวกู่ฉิงซานไม่หยุด และแสดงความยินดีกับกู่ฉิงซานที่สามารถค้นพบหนทางปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์ได้

ฟุบ!

ดาบสายลมอันรุนแรงโถมเข้าใส่มังกรดำ เฉินหยางที่ทะยานตัวสูงขึ้นจำต้องล่าถอยกลับมา สุดท้ายทิ้งห่างไปไกลกว่าหลายสิบเมตร จึงค่อยร่วงตกลงกับพื้นอย่างปลอดภัย

กู่ฉิงซานปรบมือของเขา ลุกขึ้นนั่งบนต้นไม้ “ยอดเยี่ยม พวกเจ้ารู้จักเรียนรู้ที่จะประสานงานกัน ยิ่งไปกว่านั้นกลยุทธ์ในการตอบโต้ก็ดีขึ้นมากนัก”

หวงซานกล่าวด้วยความผิดหวัง “แต่มันก็ยังทำได้เพียงบีบบังคับให้ท่านลืมตาได้เพียงแค่ข้างเดียว”

เฉินหยางได้รับแรงกระเทือนจนด้านชา เขาสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เช่นนี้พวกเราก็มิแตกต่างไปจากเหล่าสาวกที่เคยคิดท้าทายศิษย์พี่เลยน่ะสิ ในเมื่อไม่ว่าจะทำอย่างไร พวกเราก็มิอาจต้านทานการโจมตีด้วยเจตดาบจากดงตาของท่านได้”

“เอาล่ะ เจ้าจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกสักทีเดียว” กู่ฉิงซานไม่เห็นด้วย “เพราะท้ายที่สุดนี้ พลังที่ข้าใช้ในวันนั้น กับที่ใช้กับพวกเจ้าในวันนี้ แม้จักเป็นการใช้เจตดาบจากตาข้างเดียวเช่นกัน แต่วันนี้ข้าใช้พลังของมันมากกว่าเดิมถึงสองเท่า”

เฉินหยางถาม “หากพวกเขาได้รับโอกาสเปิดการโจมตีร่วมกันเล่า? เหมือนดั่งข้ากับหวงซาน ท่านจะต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดกันจึงจะสามารถรับมือกับพวกเขาได้?”

“ก็คงต้องเร่งพลังใช้งานเป็นสามเท่า แต่พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ในฐานะที่พวกเราเป็นศิษย์ขุนเขาหลัก ไม่สมควรเอ่ยเทียบเปรียบศิษย์รุ่นเดียวกันเช่นนี้ วิสัยทัศน์ของเจ้าสมควรจะมองการณ์ไกลออกไปยิ่งกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว

เฉินหยางรับคำ ถอนหายใจ “ไม่แปลกใจเลยที่ปรมาจารย์ขุนเขาหลายคนในที่แห่งนั้น มิกล้าเอ่ยคำใดออกมา”

หวงซาน “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทำได้อย่างไร จึงสามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงเช่นนี้ได้?”

ได้ยินถึงคำถามนี้ กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าเขาคล้ายจะย้อนนึกไปถึงอดีตที่แสนน่าหวาดกลัว จึงสั่นศีรษะ “เอาไว้เมื่อเจ้าพบเจอกับความตายหลายๆครั้งเข้า เจ้าก็จะล่วงรู้เอง”

หวงซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฮ่า! ศิษย์พี่ใหญ่พูดราวกับว่าท่านตกตายมาแล้วหลายครั้งเลย มันช่างฟังดูเป็นเรื่องที่น่าขบขันจริงๆ”

กู่ฉิงซานปรบมือของเขา สลายความคิดนี้ทิ้งไป และกระโดดลงจากต้นไม้

เมื่อการฝึกฝนของสองศิษย์น้องมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ได้เวลาที่เขาจะต้องทำเรื่องอื่นเสียที

เพราะเมื่อครู่นี้

ที่เขานอนอยู่บนกิ่งไม้ อ่านใบหยก และสอนสั่งศิษย์น้องไปพร้อมๆ กัน

นั่นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายมากที่สุดแล้ว

การสนทนาในวันนี้ได้จบสิ้นลง

ต่อไป เขายังมีสิ่งอื่นที่ต้องกระทำ

เนื่องจากร่างกายของศิษย์น้องทั้งสองยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากการฝึกฝนอย่างหนักของพวกเขา ดังนั้นจำเป็นต้องมี ‘โภชนา’ ที่ดี

กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “วัตถุดิบอาหารของข้าหมดเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นข้าจะไปยังขุนเขากระเรียนเทา เพื่อเลือกวัตถุดิบบางอย่างมาปรุงอาหารวิญญาณให้พวกเจ้ากินในตอนเย็น”

“โอ้ว!”

แววตาของหวงซานและเฉินหยางเปล่งประกายขึ้นทันใด

เพราะฝีมืออาหารวิญญาณของศิษย์พี่ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมนัก ชนิดที่ว่าหากได้จับตะเกียบแล้ว จะวางไม่ลงเลย

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากจะกินกระดูกหมูหม้อไฟเป็นมื้อเย็น” หวงซานกล่าวจริงจัง

“ส่วนข้าอยากจะกินบะหมี่คั่วปรุงน้ำจิ้มเผ็ด และต้องไม่ลืมใส่ไข่เพิ่มเข้าไปอีกฟอง” เฉินหยางขอบ้าง

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่เหลียวหันกลับมามอง “พวกเจ้าจงตั้งใจฝึกฝนไป หากข้ากลับมา แล้วพบว่ามีผู้ใดขี้เกียจ วันนี้จักไม่มีมื้ออาหารเย็นให้พวกเจ้ากิน”

ว่าจบ เขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บินไปในทิศทางที่ตั้งของขุนเขากระเรียนเทา

ณ ขุนเขากระเรียนเทา

“คำนับศิษย์พี่ใหญ่!”

“อืม สวัสดี”

“คำนับศิษย์พี่ใหญ่!!”

“อืม สวัสดีๆ”

“คำนับศิษย์พี่ใหญ่!!!”

“…เออ รู้แล้ว”

ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะเดินไปที่ใด สาวกที่พบปะเขาระหว่างทาง ก็ล้วนยกมือขึ้นก้มหัวคำนับ

ด้วยการตักเตือนและคำอธิบายของผู้ฝึกยุทธระดับสูงจากยอดเขาต่างๆ ทุกคนจึงค่อยเข้าใจว่า สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่สำแดงออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ มันเป็นความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวมากขนาดไหน

ผู้คนมักจะเคารพในความแข็งแกร่ง และสิ่งนี้ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยใดๆ

ดังนั้น เมื่อเหล่าสาวกได้รับรู้ถึงพลังของกู่ฉิงซาน ทัศนคติที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนไป

เมื่อได้ยินข่าวว่ากู่ฉิงซานมาที่นี่เพื่อตามหาวัตถุดิบ และเครื่องปรุงต่างๆ สาวกจำนวนมากจึงต่างอาสาเป็นคนออกไปค้นหา พวกเขาวิ่งกลับไปกลับมา คาดว่าไม่นานก็ได้ทุกชนิดของวัตถุดิบที่ต้องการ

ตรงกันข้าม เป็นกู่ฉิงซานที่เฝ้ารออยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย

เขาจึงเลือกออกไปเดินเล่นบนภูเขา กวาดสายตามองวิวทิวทัศน์ เพื่อเตรียมรอรับของ

แต่ในเวลานั้นเอง สาวกหญิงคนหนึ่งก็ได้เดินสวนเข้ามา

“ศิษย์พี่…กู่” หญิงสาวกล่าวด้วยความเขินอาย

“ว่าไง มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

หญิงสาวคนนั้นมิได้เอ่ยคำใด เธอเพียงยัดยันต์สื่อสารให้เขา และหันหลังวิ่งหนีไป

กู่ฉิงซานก้มลงมองยันต์สื่อสารในมือ ค่อนข้างนานมิรู้ว่าควรจะเอ่ยคำใดดี

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ

 สาวกหญิงอีกคนก็ ร่อนลงมาจากมวลเมฆ บรรจงวางใบหยกลงในมือของเขาและ-

ฟิ้ว!

 สาวกหญิงทะยานตัวสูงขึ้น และบินหนีหายไป

กู่ฉิงซานมองใบหยกในมือ สลับกับมองรูปร่างอันงดงามที่บินหนีหายไปบนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาดี

มันเป็นความจริงที่ว่าตนมิได้มีความตั้งใจคิดจะเฟ้นหาสหายเต๋าคู่ฝึกยุทธที่นี่

อย่างไรก็ตาม จากมุมมองการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และวิธีการสื่อสารของผู้ฝึกยุทธโบราณ กระทำกันแบบนี้มันก็แปลกเกินไป

สำหรับ สาวกหญิงคนแรก อย่างน้อยเธอยังเรียกชื่อของเขา ก่อนจะวิ่งหนีไป ในขณะที่คนที่สองมิได้เอ่ยคำใด เพียงหย่อนใบหยกลง แล้วหนีหายไปเลยนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

หากเป็นในกรณีที่ต้องเลือก ยังคงเป็น สาวกหญิงคนแรกที่สุภาพมากกว่า

กู่ฉิงซานก้มลงมองยันต์สื่อสาร

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็เข้าใจถึงเจตนาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

นั่นเพราะด้วยยันต์สื่อสาร มันสามารถใช้บอกเล่าคำที่ต้องการมากมายออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยจากปากด้วยตนเอง อย่างน้อยวิธีการนี้ก็สามารถใช้หลีกเลี่ยงความเขินอาย ในช่วงแรกที่แต่ละฝ่ายพึ่งรู้จักกันและกันได้

อืม…ช่างเป็นวิธีที่ชาญฉลาดและแยบคายจริงๆ

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความชื่นชม และอดไม่ได้ต้องมองใบหยกในมือของเขาอีกครั้ง

ส่วนเจ้าของใบหยกนี่ จากไปโดยไม่พูดอะไรเลย

เช่นนั้นมีสิ่งใดอยู่ภายในนี้กันแน่หนอ?

ว่าแล้วก็ไม่รอช้า เขากวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป

ในใบหยก แท้จริงแล้วปรากฏแสงสว่างวาบเป็นฉากภาพ

อืม…

อู้ว …

ท่วงท่าแบบนี้มัน …

เสียงแบบนี้มัน …

อืม…ของโคตรดี

………………..