นางยังนึกถึงเวลาอยู่กับเหยียลี่ว์ฉี มักรู้สึกว่าถูกบรรยากาศลึกลับและคลุมเครือโอบล้อมไว้ สายตาของเขา รอยยิ้มของเขา ทุกสองสิ่งคล้ายเต็มไปด้วยความรู้สึกกับความนัยที่เอ่ยไม่ได้ เดินอยู่ข้างกายเขา เปรียบเสมือนถูกความรู้สึกที่ดูคล้ายห่างเหินแต่ใกล้ชิดแบบนั้นโอบล้อม ไม่รู้สึกร้อนลวก แต่กลับเหนียวแน่นทอดยาว จนทำให้นางต้องเตือนตัวเองให้จำไว้เสมอว่าต้องรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นไม่ระวังแค่นิดเดียว จะถูกเส้นไหมที่ประณีตเหนียวแน่นนั้นห่อหุ้มเข้าไปในตาข่ายที่อยู่ทุกหนทุกแห่งของเขา
อิงไป๋คือสายลมร่าเริงแจ่มใส เฉียดผ่านข้างกาย ดูคล้ายไม่สนใจเจ้า เจ้าก็ไม่สนใจเขา แต่ลมนั้นก็พลันพาเจ้าไปด้วย
เจ็ดสังหารทะเลาะโต้เถียง คล้ายเป็นดนตรีที่เปลี่ยนแปลงมากหลายท่อนหนึ่ง เช่นเดียวกับเพลงตกอกตกใจในตำนาน ฟังแล้วรู้สึกแค่ว่าหนวกหู ฟังมากเข้าก็รู้สึกว่าน่าสนใจดี ห่างหายไปนานไม่ได้ฟังแล้วรู้สึกคล้ายขาดอะไรไป
เทียนชี่มีเพศสภาพไม่ชัดเจน คล้ายหมอกกลุ่มหนึ่ง มัวสลัวและมีไอน้ำ แท้จริงแล้วอยู่ใกล้อยู่ไกลก็เหมือนกัน ตัวเขาเองไม่มีแก่นแท้อยู่แล้ว
คนพวกนี้ทุกคนต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ความรู้สึกยากลืมเลือนที่แท้จริงยังคงเป็นของคนนั้น เขามีอ้อมกอดที่เหน็บหนาวเยือกเย็น ท่าทางที่จืดจางห่างเหิน ระยะห่างที่ไกลโพ้นลิบลับ แต่ตอนนั้น ทุกสิ่งกลับมอบความอาวรณ์ที่หนาแน่นท่วมท้น ความสบายใจที่สืบเนื่องยาวนานให้นาง
จนกระทั่งภายหลังถึงได้เข้าใจ แท้จริงแล้วแตกต่างกัน ความรู้สึกที่มีต่อคนอื่นคือความรู้สึกที่คนอื่นมอบให้นาง ความรู้สึกที่มีต่อเขาคือความรู้สึกของตัวนางเอง
ในใจเจ็บแปลบขึ้นมากะทันหัน ลมหายใจปั่นป่วน นางเบนสายตาออก หวังมองทิวทัศน์ภูเขา แวบแรกมองเห็นเผยซูหายใจหนักหน่วง หลับสนิทแล้ว
รถม้าโคลงเคลง เดิมทีเขานั่งพิงผนังรถ ค่อยๆ พิงมาทางไหล่นาง
จิ่งเหิงปัวใช้ฝ่ามือเดียวผลักศีรษะเขาออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ศีรษะของเขาพิงเข้ามาอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวผลักออกอีกครั้ง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาพิงเข้ามาอีกครั้ง ขณะนี้รถม้าโคลงเคลง เรือนร่างเขาสั่นไหว ทั้งร่างใกล้จะพุ่งมาบนเข่านาง
จิ่งเหิงปัวยื่นเท้าออกมาเสียเลย เท้าเดียวยันเขาไว้บนผนังรถอีกฝั่งหนึ่ง
เท้าหนึ่งนี้ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนางแน่ใจว่าเจ้าเผยซูคนนี้แกล้งหลับ ยอดฝีมือยิ่งใหญ่คนหนึ่งจะหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยเหรอ? นี่มันลูกไม้ที่ไอ้บ้ากามบนรถรถประจําทางใช้บ่อยชัดๆ เลย
ท่วงท่านี้ของนางเหยียดหยามอย่างยิ่ง เดิมทีนึกว่าเผยซูที่ทั้งอารมณ์ร้ายทั้งเป็นพวกปิตาธิปไตยต้องอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นโกรธจนเนื้อเต้น หรือว่าลุกขึ้นมาต่อสู้ก็อาจเป็นไปได้ ใครจะรู้ว่าเจ้าคนนั้นเอนเอียงบนผนังรถจริง เรือนร่างครึ่งหนึ่งห้อยอยู่ข้างล่าง ดวงตายังคงไม่ลืมขึ้นมา
ซ้ำยังเปล่งเสียงกรนแผ่วเบาออกมา
จิ่งเหิงปัวกลุ้มใจแล้ว…ไม่เหมือนแกล้งหลับเลยนะ!
นางเข้าไปมองเผยซูใกล้ๆ เจ้าคนนี้ขนตาปิดสนิท ท่าทางง่วงนอนเหลือเกิน พอเข้าไปมองใกล้ๆ เห็นได้ว่าขนตาของเขาโค้งงอน แน่นขนัดคล้ายพัดจริงแท้ จิ่งเหิงปัวเคยเห็นขนตาที่น่ารักและสวยงามขนาดนี้แค่ในอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบัน
ผิวกายของเขาละเอียดเกลี้ยงเกลา พอเข้าไปมองใกล้ๆ เพิ่งรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบเหลือเกิน ไม่มีจุดกระดำกระด่างเลยแม้แต่น้อยจริงแท้ นมแพะไม่ได้นวลเนียนงดงามเพียงนี้ หยกงามไม่ได้ขาวราวหิมะไร้มลทินเพียงนี้ ใต้ผิวกายผุดเผยสีแดงอ่อนปานแสงอาทิตย์ ประณีตดุจมนุษย์เครื่องกระเบื้องที่เปล่งปลั่งด้วยแป้งชาด
เงื่อนไขตั้งแต่กำเนิดของบางคนดีจนทำให้คนอื่นริษยา แม้ทนทุกข์ทรมานหลายปียังเปลี่ยนแปลงสีสันของเขาไม่ได้
ข้อด้อยเล็กน้อยเพียงหนึ่งเดียวในความงดงามคือใต้ตาของเผยซูดำคล้ำเป็นวงกว้าง เมื่อก่อนหน้าตาออกเทาไม่สังเกต ตอนนี้มองอีกครั้งเห็นได้ชัดเจนมาก
ท่าทางที่นอนเบียดอยู่มุมรถยังหลับคร่อกฟี้ได้ของเจ้าคนนี้ คล้ายไม่เคยได้หลับสนิทมานานหลายปี
จิ่งเหิงปัวจ้องเขาเขม็ง ในใจเกิดความสงสารอยู่บ้าง สำหรับเผยซู นางรู้เรื่องราวที่เขาต้องประสบพบเจอจึงมีความรู้สึกหัวอกเดียวกันส่วนหนึ่ง แม้ว่าไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ก้นบึ้งของหัวใจ นางมีความรู้สึกที่ต้องปฏิบัติต่อเขาเหมือนน้องชาย
เผยซูน่าจะอายุมากกว่านาง โด่งดังตั้งนานแล้ว แต่ความบริสุทธิ์ตรงไปตรงมาที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้พบเจออุปสรรคของเขา ทำให้นางคิดไปเองว่าเขายังต้องการคนดูแล บางทีขุนพลน้อยที่สมญาสะเทือนโลกหล้าท่านนี้ ตอนนั้นคงแค่อยากศึกษาค้นคว้ายุทธวิธี ทำได้แค่รบราฆ่าฟัน สำหรับเรื่องราวทางโลก ไม่เคยเข้าใจตั้งแต่ต้นจนจบ ซ้ำยังไม่คิดอยากเข้าใจ
แม้แต่ป่าเถื่อนอารมณ์ร้าย เขายังตรงไปตรงมาจนน่ารัก
นางคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายแล้วยังประคองเขานั่งตัวตรง ล้วงผ้าห่มจากกล่องสัมภาระในรถห่มบนร่างเขา ผ้าห่มเพิ่งจะร่วงหล่น เจ้าคนนั้นพลันกอดไว้แล้วพลิกตัว สองขาขนาบผ้าห่มแน่น ฉวยโอกาสวางท่อนขายาวของตนเองไว้บนขาจิ่งเหิงปัวอย่างสบายตัวอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวอยากผลักออกไปอีกครั้ง แต่ได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของเขาสบายใจขนาดนี้ เจ้าคนนี้คล้ายผ่อนคลายนอนหลับได้ยากจริงๆ จิ่งเหิงปัวนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้คล้ายได้ยินเทียนชี่บ่นบางครั้ง เอ่ยว่าดึกดื่นเที่ยงคืนเผยซูชอบเดินไปเดินมาไม่ยอมนอนหลับ บางครั้งออกไปปัสสาวะตอนกลางคืนเห็นเขากะทันหัน ต้องตกอกตกใจเป็นประจำ
ช่างเถอะ รอให้เขาตื่นนอนแล้วค่อยคิดบัญชีเขาก็ได้
เผยซูกอดผ้าห่มไว้พลิกตัวอีกครั้ง ท่าทางพึงพอใจ จิ่งเหิงปัวคิดด้วยเจตนาร้ายว่าจะเรียกจื่อหรุ่ยมาเป็นหมอนให้เขานอนกอดเล่นดีไหม? ท่าอะไรดีล่ะ แตงกวา? ดอกเบญจมาศ?
ครั้งนี้เผยซูไม่ได้หลับนานเท่าไร ผ่านไปไม่ทันครู่หนึ่งเขาพลันลืมตา แววตาสดใสคล้ายไม่เคยได้หลับสนิท ทำให้จิ่งเหิงปัวตกใจ
เขาจ้องมองเพดานรถสักพัก พลันเอ่ยว่า “สบายเหลือเกิน…ไม่เคยได้นอนหลับขนาดนี้นานแล้ว”
“เจ้านอนไม่หลับ?”
“ไม่ใช่” เผยซูนิ่งเงียบครู่ใหญ่ถึงค่อยๆ เอ่ยว่า “ภายในหุบเขามีบึงโคลนทุกหนทุกแห่ง บนเขากับก้นบึงโคลนอาจมีสัตว์ร้ายโผล่มาได้ทุกเวลา ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวไร้เสียง รวดเร็วดุจสายลม พวกมันอาจปรากฏตัวอยู่ทุกซอกมุม ฉะนั้นต่อให้เปลี่ยนกะเฝ้ายาม จะนอนหลับสนิทเกินไปไม่ได้ โดยเฉพาะข้าผู้ที่เป็นหัวหน้า ยิ่งมีหน้าที่ปกป้องลูกน้องให้ดี อยู่ในหุบเขานานหลายปีขนาดนั้น ข้าไม่เคยนอนหลับสนิทสักครั้ง”
จิ่งเหิงปัวคิดว่าสภาพแวดล้อมหุบเขาเทียนฮุยนั้นเลวร้ายอย่างแท้จริง นางเข้าไปไม่ได้เจอสัตว์ป่าตลอดทางเพราะว่าเข้าไปไม่นาน ซ้ำยังโชคดีหลายส่วนด้วย
“หลังออกมาแล้วตลอดเส้นทางนี้น่าจะหลับสนิทได้แล้วไม่ใช่หรือ”
เผยซูแค่นเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “คนที่ไม่รู้ว่ามิตรหรือศัตรูมากขนาดนั้น จะหลับได้อย่างไร”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเห็นด้วย คนที่เคยประสบอันตรายครั้งใหญ่ เคยถูกทำลายความศรัทธากับความเชื่อใจที่มีอยู่แบบเขานี้ ยากจะเชื่อใจคนอื่นได้อีกครั้ง เจ็ดสังหารอิงไป๋เทียนชี่ที่อยู่กับนางไม่นับว่าเป็นเพื่อนของเขา แต่เป็นยอดฝีมือที่มีภัยคุกคามต่อเขา นายกองบรรดาศักดิ์ยิ่งเป็นศัตรูเก่า เขาจะหลับสนิทได้อย่างไร?
ในใจนางกระตุกวูบ…เผยซูไม่เคยได้หลับสนิท แต่ตอนนี้เข้ามานอนหลับเต็มอิ่มในรถม้านาง หมายความว่าเขาเชื่อใจนางแค่คนเดียวใช่หรือไม่?
จิ่งเหิงปัวเกาหน้า ในใจคิดว่าตัวเองควรเป็นคนแรกที่เขารู้สึกว่าไม่น่าเชื่อใจที่สุดไม่ใช่เหรอ?
ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เผยซูหลับตานอนอีกครั้งแล้ว คล้ายตั้งใจจะงีบหลับข้างกายนาง จิ่งเหิงปัวเห็นเขานอนหลับสนิทขนาดนั้น ก็เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย อยากร้องเพลงตกอกตกใจเหลือเกิน แต่สุดท้ายช่วยห่มผ้าห่มให้เขา
เผยซูอยู่ในฝันยังคล้ายรับรู้ถึงการกระทำของนาง เผยให้เห็นรอยยิ้มเล้กน้อย จิ่งเหิงปัวจ้องมองเขาอย่างเหลือเชื่อ…ขุนพลน้อยยิ้มแล้วมีลักยิ้มด้วยแฮะ!
ทว่าคราวนี้เผยซูหลับตาลงได้เพียงชั่วครู่ เสียงดัง ครืน รถม้าสั่นสะท้าน จอดสนิท
“เกิดเรื่องใดขึ้น” จิ่งเหิงปัวเลิกม่านรถออก ทหารคนสนิทที่ขับรถหันหน้ามา เอ่ยว่า “มีคนเตะหินก้อนใหญ่เข้ามากะทันหัน ขวางล้อรถของพวกเราไว้”
พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้ามอง หินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งขวางไว้ใต้ล้อหน้า ตลับลูกปืนถูกทำลายแล้ว
หินก้อนนี้ใหญ่เท่ากะละมัง ถ้าอยากเตะเข้ามาขวางล้อรถไว้ ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทำได้
“อยู่ดีๆ ทำอะไรของเขา…” ไม่ทันสิ้นเสียงของจิ่งเหิงปัว บนถนนข้างหน้ามีคนร้องตะโกนแล้วว่า “รถม้าของเจ็ดชั่ว!”
“ครั้งก่อนพวกเราเคยเห็น!”
“เจ็ดชั่วมาอีกแล้ว!”
“ปิดประตู!”
เสียงตะโกนยังไม่ทันสิ้น บนถนนเกิดภาพเหตุการณ์ขณะเดินทางผ่านเมืองครั้งก่อนอีกครั้ง…ผู้คนมุดเข้าบ้านตนเองประหนึ่งสายลม ประตูแต่ละบ้านปิดดังพลั่กๆๆ เหล่าสาวใหญ่สาวน้อยกรีดร้องวิ่งห้อ รองเท้าหุ้มข้อหลากหลายร่วงหล่นทั่วพื้น
เหตุการณ์สับสนอลหม่านที่ซ้อมไว้ก่อนแล้ว หลังกะพริบตาเพียงครั้ง กลายเป็นทั่วพื้นระเกะระกะ ทั่วถนนปิดประตู
จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ตรงทางแยก มองข้างหน้าด้วยความตื่นตะลึง เจ็ดสังหารทำเรื่องชั่วร้ายที่ผู้คนเคียดแค้นสวรรค์ลงทัณฑ์อะไรไว้กันแน่? รถม้าที่แล่นผ่านแค่ครั้งเดียวยังทำให้ชาวเมืองจำได้ พลังทำลายล้างเช่นนี้ไร้สิ่งเทียบเทียม
ตอนนี้ลำบากแล้ว ประตูปิดหมดแล้ว จะซื้อข้าวปลาอาหารได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องต่อราคาให้ต่ำสุด
จิ่งเหิงปัวมึนงงไปสามวินาที พลันได้ยินเสียงตะโกนร้องปานสายฟ้าฟาดจากข้างหลังว่า “นี่มันทำอะไรกัน!”
เผยซูที่ถูกปลุกให้ตื่นเริ่มโมโห
เขาท่วมท้นด้วยไอสังหารแต่กำเนิด เสียงคำรามนี้ทำให้ทั้งถนนยาวยิ่งเงียบสงัด จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงเขา ในใจกระตุกวูบ ขวางเผยซูที่เตรียมจะกระโดดลงไปไว้ในครั้งเดียว กระซิบว่า “เผยเผย เล่นละครหน่อย!”
“ด้วยเหตุใด?” เผยซูอารมณ์เสีย
“พวกเราจะลงเขาด้วยฐานะสหายของเจ็ดสังหารไม่ได้ พวกเขามีชื่อเสียงฉาวโฉ่เกินไปแล้ว เช่นนั้น เจ้ายังไม่เคยโผล่หน้าออกไป เจ้าแสดงเป็นคนของเจ็ดสังหารได้พอดี ส่วนข้านั้นเล่า แสดงเป็นสาวชาวบ้านที่ถูกพวกเจ้าฉุดขึ้นเขากำลังจะวิ่งหนี เจ้าไล่ตามข้ามา ข้าพุ่งเข้ากลางเมือง เหล่าราษฎรโกรธเกลียดเคียดแค้นเจ็ดสังหาร ศัตรูของศัตรูเท่ากับสหาย พวกเขาจะยอมรับข้า”
“ไม่เอา!” เผยซูปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เอ่ยว่า “ข้าเป็นวีรบุรุษผงาดฟ้าเพียงนี้ จะแสดงเป็นชายชั่วที่ฉุดสาวชาวบ้านได้อย่างไร!”
จิ่งเหิงปัวเตรียมจะเขกกบาลเตือนสติเขาสักครั้ง พลันได้ยินเขาเอ่ยอย่างฮึกเหิมว่า “…ไล่ตามภรรยาที่หนีไปยังดีเสียกว่า!”
“ได้ๆๆ ไล่ตามภรรยาที่หนีไป” จิ่งเหิงปัวคร้านจะโต้เถียงกับเขา อย่างไรเสียแค่แสดงละคร
“เฮ้ย! เจ้าจะหนีไปที่ใดกัน!” ไม่ทันสิ้นเสียง จิ่งเหิงปัวยังไม่ได้ก้าวเท้า เผยซูยื่นมือคว้าหัวไหล่ของนางไว้ ลากนางมาข้างหลัง เข้าสู่อ้อมแขนของเขา เขากางแขนสองข้างออก โอบนางไว้แน่นด้วยความพอใจนัก
“อยากตายเหรอ!” จิ่งเหิงปัวโมโห พลิกมือตบเขา ร้องว่า “ผู้กำกับยังไม่ได้บอกแอ็คชั่น เจ้าก็เริ่มแสดงแล้ว! คว้าข้าไว้ตั้งแต่ยามนี้ พวกเราจะเล่นละครได้อย่างไร? ปล่อยข้านะ!”
“โอ้ เช่นนี้เอง” เผยซูปล่อยนางอย่างอาลัยอาวรณ์ แววตาวนเวียนตรงเอวนางหลายรอบ เอ่ยว่า “เอวเจ้าเพรียวบางนัก เทียบกับเอวที่ข้าเคยโอบ…”
“หุบปาก!” จิ่งเหิงปัวรีบขัดจังหวะการเปรียบเทียบน่ารังเกียจของเขา สะบัดผมตะโกนว่า “แอ็คชั่น!”
พอเปล่งเสียงนางก็เริ่มวิ่งไปข้างนอก วิ่งไปพลางร้องไปพลางว่า “ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”
เผยซูแสดงสมบทบาทยิ่งนัก ไล่ตามมาโดยพลัน ตะโกนลั่นว่า “ไม่นึกว่านังสารเลวเช่นเจ้าจะกล้าทรยศข้า กระทำเรื่องชั่วช้ากับไอ้ไป๋อิงผู้นั้น ข้าล่ะโมโหยิ่งนัก! คืนนี้ข้าต้องจับเจ้ากลับมาให้ได้ ต่อสู้กับเจ้าสักสามร้อยรอบ…”
เจ้าหมาโง่บินลงมาจากหลังคารถด้วย ตะโกนด้วยความสนุกสนานว่า “แสงวสันต์ทั่วสวนขวางไม่ไหว ต้าปัวได้แทรกกิ่งพ้นกำแพง!”
จิ่งเหิงปัวอยากกระอักเลือด
อะไรของเขาวะเนี่ย?
ไป๋อิงเป็นใคร อิงไป๋หรือ? แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน?
อีกทั้ง อะไรคือต่อสู้สักสามร้อยรอบ?
พาให้เข้าใจผิดได้ง่ายมากเลยนะ!
ตอนนี้นางหันหน้ากลับไปแก้ไขบทละครที่ไม่สอดคล้องกันของบางคนไม่ได้แล้ว ได้แต่แอบสาบานว่าคราวหลังถ้าได้เล่นละครกับเผยซู จะต้องเขียนบทละครให้เขาก่อน การด้นสดของเขานี้แย่กว่านักแสดงระดับสามเสียด้วยซ้ำ
ถ้าเล่นละครก็หายตัวไม่ได้ นางปล่อยผมกระเซิง ล้มลุกคลุกคลานพุ่งไปข้างหน้า ข้างหลังแว่วเสียงลมฟิ้วๆ ไอ้ระยำคนนั้นไม่ยอมลดความเร็วเลยแม้แต่น้อย ขึ้นลงไม่กี่ครั้งพลันกระโจนถึงข้างหลังนาง ฟาดมือคว้าหัวไหล่นางไว้ในครั้งเดียวอีกรอบ ลูบคลำเล็กน้อย เอ่ยอย่างสมบทบาทยิ่งนักว่า “เฮ้ย! ไหล่ของแม่สาวน้อยเพรียวบางนัก!”
จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบ “…”
บทละครเปลี่ยนไปอีกแล้ว?
พฤติกรรมแบบนี้ เป็นตัวประกอบยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ!
ช่างเถอะ เล่นละครกับคนแบบนี้ ได้แต่ยิ่งเล่นยิ่งแย่ รีบทำให้มันจบๆ ไปดีกว่า
นางใช้เท้าเตะหน้าแข้งของเผยซู กระซิบว่า “หลีกไป!” เผยซูมองแววตาโหดร้ายของนาง ส่งเสียงฮึดฮัด กลิ้งถอยไปด้วยท่วงท่านั้น จิ่งเหิงปัวลุกขึ้น รีบกล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าวิ่งไปตรงที่มีคนเปิดประตูเจ้าค่อยไล่ตามให้ทัน! อย่าให้พลาดอีกนะ!” พลางหันหลังวิ่งหนี
สองคนกำลังตั้งใจเล่นละคร ทำให้ไม่ได้สังเกตว่าตรงปากทางกำลังมีรถม้าขบวนหนึ่งแล่นผ่าน รถม้าคันนั้นเรียบง่าย มองไม่เห็นเครื่องหมายสักอย่าง คนที่อยู่บนรถม้าแลคล้ายพ่อค้าเร่ธรรมดา สิ่งประหลาดเพียงหนึ่งเดียวคือทิศทางที่คนฝูงนี้เดินทางผ่าน ไม่คิดจะแล่นผ่านกลางเมือง
ไม่แวะพักผ่อนที่เมืองเล็กๆ ย่อมเท่ากับว่าอีกฝ่ายรีบเดินทาง เห็นได้จากละอองฝุ่นบนไหล่ทหารม้าบนหลังม้าของอีกฝ่าย คล้ายรีบเดินทางยิ่งนักจริงแท้
รถม้าแล่นดังกึกกัก กำลังผ่านทางแยก ผู้คนบนหลังม้าถูกสองคนที่ไล่ตามกันนั้นดึงดูดสายตา พากันทอดสายตามองไป
องครักษ์ที่อยู่ข้างหน้ามองเห็นใบหน้าของสองคนชัดเจน เผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจ…เช่นนี้ยังได้บังเอิญพบกัน เช่นนั้นเจ้านาย…
เป็นอย่างที่คิดไว้ ข้างในรถม้าที่มีม่านหนาห้อยสยายนั้นพลันแว่วเสียงเสียงหนึ่งออกมา
“หยุด”
รถม้าจอดสนิท ม่านขยับเขยื้อนเล็กน้อย เปิดเผยดวงตาคู่หนึ่ง
นัยน์ตาดำเข้ม เย็นชาดุจหิมะบนยอดเขาดวงจันทร์บนท้องฟ้า สายตาดั่งสายลมที่พัดผ่านทะเลสาบน้ำแข็ง
เขามองเงาด้านหลังที่โซเซพุ่งไปข้างหน้าของจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง จากนั้นมองเผยซูที่ไล่ตามด้วยท่าทางดุร้าย
ในแววตาค่อยๆ ปรากฏอารมณ์แปลกประหลาด
นิ้วมือดีดเพียงครั้ง ลมแรงหอบหนึ่งพุ่งออกมา