ตอนที่ 37 - 1 หนุ่มหน้ามนกับชายฉกรรจ์

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

จิ่งเหิงปัวซวนเซถลาไปข้างหน้า พุ่งเข้าสู่ถนนยาว

 

 

“ช่วยด้วย! โจรเขาชีเฟิงฉุดสาวแล้ว…” นางร้องโหยหวน

 

 

หลังประตูทั้งสองฝั่งถนน ดวงตานับมิถ้วนคู่กลิ้งไปมาจ้องมองนาง

 

 

ได้ยินเสียงแอบกระซิบกระซาบหลังประตูรำไร

 

 

“คนหนีลงเขาอีกคน?”

 

 

“โดนเจ็ดชั่วกลั่นแกล้งจนหวาดกลัวกระมัง?”

 

 

“ไม่ใช่นะ คล้ายเป็นสาวชาวบ้านที่ถูกฉุดขึ้นเขา?”

 

 

“เอ๊ะ แม้เจ็ดชั่วกลั่นแกล้งหลอกลวง ทำร้ายคนนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยทำร้ายคนถึงชีวิตเลยสักครั้ง ซ้ำยังไม่ฉุดสตรีด้วย เหตุใดคราวนี้…”

 

 

“อาจเป็นลูกน้องของเจ็ดชั่วก็ได้? นานวันผ่านไป คงคิดอยากลองของใหม่บ้าง…”

 

 

“แม่นางนี้ดูท่าทางน่าสงสารนัก…”

 

 

“อา ซ้ำยังหน้าตางดงามยิ่งนัก มิน่าล่ะถึงได้โดนฉุด…”

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินขาดๆ หายๆ แอบยินดีในใจ…มีความหวัง!

 

 

หางตาเหลือบเห็นร้านขายธัญญาหารข้างหน้า จึงเร่งความเร็วฝีเท้าทันที พุ่งตรงเข้าไป โซเซครั้งหนึ่งที่ปากประตูร้านนั้น ก่อนพุ่งเข้าไปล้มลงหน้าประตู

 

 

นางพยายามตบประตูสุดชีวิต ร้องว่า “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! นายท่านทําบุญทําทานให้ข้าเข้าไป!” พลางใช้หางตาจ้องเผยซูอย่างโหดเ**้ยม…ช้าลงหน่อย!

 

 

เผยซูได้แต่วิ่งเข้ามาอย่างเชื่องช้า คล้ายลอยเข้ามา

 

 

“นี่! แม่สาวน้อยนางนั้น! ยังไม่รีบออกมาหาข้า! ข้าเอ่ยว่าจะตบแต่งเจ้าเป็นภรรยา จะต้อง…”

 

 

บทละครยังอ่านไม่จบ ลมแรงพลันดังก้อง

 

 

หากเป็นผู้อื่นคงไม่ได้ยินเสียงนี้ด้วยซ้ำ ทว่ายอดฝีมือเช่นเผยซูนี้ พอเสียงเข้าโสต ขนทั่วร่างพลันลุกชัน

 

 

ยอดฝีมือ!

 

 

ยอดฝีมือที่เหนือกว่าพวกอิงไป๋ด้วย!

 

 

เผยซูไม่ทันได้ห่วงเล่นละครอีกแล้ว ลมแรงนี้ดุร้ายเพียงนี้ กระแทกแผ่นหลังย่อมเป็นหลุมใหญ่ เขากระโจนไปข้างหน้าเต็มกำลัง พุ่งไปหาจิ่งเหิงปัวอย่างรุนแรง

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังตบประตู เมื่อหันหน้ากลับมามองเห็นเขาไม่เล่นละครตามบทอีกรอบ พุ่งเข้ามาเร็วขนาดนี้ อดจะโมโหไม่ได้

 

 

กำลังคิดว่าต้องแสดงพลังจิตควบคุมสิ่งของจัดการเจ้าคนไม่เชื่อฟังคนนี้สักหน่อย ทว่าบานประตูตรงหน้าพลันเปิดออก มีมือคู่หนึ่งยื่นออกมาลากนางเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เสียงแก่หง่อมเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “แม่นางรีบเข้ามา!”

 

 

นางถูกลากเข้าหลังประตู รู้สึกยินดีอยู่ในใจ ชายชราคนนั้นกำลังรีบปิดประตู ขณะวุ่นวายนางทันได้แค่เหลียวหลังมองแวบหนึ่ง เห็นเผยซูกระโจนขึ้นจากพื้นพอดี ท่าทางอัปลักษณ์อย่างยิ่ง คล้ายสุนัขกินอุจจาระ เขาไม่ได้มองนาง แต่หันหน้ากลับไปด้วยสีหน้าเดือดดาล จากนั้นเรือนร่างกะพริบวูบหายไปแล้ว

 

 

เจ้าคนนี้ เกิดบ้าอะไรขึ้นมา?

 

 

จิ่งเหิงปัวสงสัยอยู่ในใจ สังหรณ์ว่าท่าทางที่เผยซูพุ่งเข้ามาเมื่อครู่คล้ายผิดปกติเล็กน้อย แต่ตอนนี้เล่นละครได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ได้แต่เล่นต่อไป พิงบานประตูหอบหายใจไปพลาง ขอบคุณเจ้าของร้านที่ช่วยนางเข้ามาไปพลาง

 

 

เจ้าของร้านนั้นเป็นชายชรา แต่ท่าทางเมตตากรุณา เชิญนางไปนั่งในห้องโถง ซ้ำยังยกน้ำชามาให้นาง เอ่ยปลอบว่า “แม่นางพักเหนื่อยก่อน ทว่าทางผู้ชรานี้ให้เจ้าหลบซ่อนได้เพียงชั่วคราว เจ็ดชั่วกระทำเรื่องราวผิดแผกแตกต่าง คนของพวกเขาอาจบุกเข้ามาอีกครั้ง แม่นางรีบออกทางประตูหลังเปลี่ยนที่ซ่อนอีกรอบดีกว่า ทางข้านี้มีประตูหลังตั้งหลายบาน ออกไปที่ใดก็สะดวก”

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบด่าในใจว่าพวกเฮฮาเจ็ดคนก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่วจริงแท้ น่าสงสารชาวเมืองชีเฟิงต้องระวังไฟไหม้ระวังโจรระวังเจ็ดสังหาร แม้แต่ประตูหลังยังสร้างไว้ตั้งหลายบาน ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ขอบคุณท่านผู้เฒ่า เพียงแต่คนชั่วผู้นั้นก็ไม่อาจนับว่าเป็นคนของเจ็ดสังหารโดยสิ้นเชิง เป็นเพียงคนรับใช้ทั่วไปคนหนึ่งของเขาชีเฟิง ไม่มีวรยุทธ์สูงส่งขนาดนั้น คิดว่าเขาคงไม่กล้าบุกเข้ามาก่อกวนบ้านราษฎร” พลางฉวยโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามชายชราว่าทำงานอะไรเลี้ยงชีพ ชายชราตอบว่าค้าขายธัญญาหารเล็กน้อย ข้างหน้าร้านค้าก็ขายผลไม้แห้งผักสดนิดหน่อย จิ่งเหิงปัวรอคอยคำตอบนี้อยู่พอดี กลอกตากล่าวว่า “เอ่ยถึงธัญญาหาร บ้านน้าชายที่ข้าน้อยอาศัยอยู่เป็นตระกูลใหญ่ ด้วยเพราะข้าวที่ทุ่งนาส่งมาให้ปีนี้คุณภาพไม่ดี กำลังคิดจะขายข้าวเหล่านั้นทิ้งแล้วค่อยซื้อข้าวดีไว้กินเอง ไม่รู้ว่าคุณภาพธัญญาหารของทางท่านผู้เฒ่านี้เป็นอย่างไร?”

 

 

ชายชราได้ยินว่าจะได้ค้าขาย ดีใจจนออกนอกหน้า รีบพานางไปดูยุ้งฉาง จิ่งเหิงปัวไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เช่นกัน เลือกข้าวสารกับเส้นหมี่คุณภาพดีส่วนหนึ่ง ซ้ำยังเลือกผักตากแห้งหนึ่งกองใหญ่ นางช่างพูดช่างเจรจา ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม หลอกจนชายชราคนนั้นจิตใจเบิกบาน ขายราคาถูกสุดให้นางอย่างที่คิดไว้ เสร็จแล้วจิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มกล่าวว่า “ข้าเองไม่มีไม่มีเงินติดกายหรอก เพียงจองของเหล่านี้ไว้แทนน้าชายผู้นั้นของข้า ท่านผู้เฒ่าเก็บไว้ให้ข้าก่อน พรุ่งนี้ข้าจะส่งข่าวให้น้าชาย ให้เขาพาคนเอาเงินมาซื้อ”

 

 

ชายชราขานรับเต็มปาก จิ่งเหิงปัวกล่าวต่อไปว่า “รบกวนท่านผู้เฒ่า หมู่นี้ทางบ้านน้าชายข้าต้องการสร้างสวน กำลังหาช่างฝีมือดีที่อยู่บริเวณนี้ เมืองนี้ของเรามีคนเก่งเช่นนี้หรือไม่”

 

 

“ช่างฝีมือดีที่สุดในเมืองนี้คือโจวต้า กำลังยกขื่อให้บ้านใหม่ของตระกูลเศรษฐีหลิว” ชายชราเอ่ยว่า “ทางตะวันตกของเมืองนั่นเอง”

 

 

จิ่งเหิงปัวกล่าวทันทีว่า “เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อย” หันหลังเดินไป

 

 

ตอนนี้เพราะว่าเผยซูจากไปแล้ว ประตูตามถนนจึงทยอยเปิด ตอนจิ่งเหิงปัวออกจากร้าน เหลียวมองรอบด้านเล็กน้อย พบว่าไม่มีเงาของเผยซู ก็อดจะประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้

 

 

เจ้าคนนี้ เล่นละครได้ครึ่งเดียวก็หายไปเลย เล่นใหญ่อะไรเบอร์นี้!

 

 

ตอนนี้ก็ไม่ทันได้ห่วงเผยซู ไม่มีเขาก่อกวนยิ่งดีเลย นางเดินไปทางตะวันตกของเมือง เตรียมจับเสือมือเปล่า

 

 

 

 

ตรงทางแยก รถม้าคันนั้นจอดนิ่งเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

เหล่าผู้ติดตามพร้อมออกเดินทาง พวกเขาต้องรีบเดินทาง เวลากระชั้นชิดแล้ว ตามกำหนดการเดิม แม้แต่เมืองนี้ยังจะไม่เข้ามา

 

 

ทว่าคนในรถม้าชักช้าไม่เอ่ยว่าไป

 

 

เขากำลังเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือขาวราวหิมะเช็ดนิ้วมือครั้งแล้วครั้งเล่า ผ้าเช็ดมือกําจายกลิ่นสมุนไพรเจือจาง นิ้วมือดุจผลึกน้ำแข็งที่เช็ดผ่านค่อยๆ อุ่นแล้ว

 

 

รอให้เช็ดมือเสร็จ เขาได้ตัดสินใจแล้วเช่นกัน

 

 

“พักหนึ่งคืน”

 

 

“นายท่าน…” องครักษ์อยากเตือนว่าการหยุดพักเช่นนี้ไม่เหมาะสม ต่อให้ไม่สนใจว่าเวลากระชั้นชิด ทว่าเขาชีเฟิงอยู่ใกล้บึงโคลนเฮยสุ่ยมากเกินไป ตัวเมืองนี้เองเป็นแหล่งชุมนุมหูตาของทุกกลุ่มอำนาจใหญ่ที่มาจากไต้เม่าเฮยสุ่ย เจ้านายยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ ซ้ำยังต้องปกปิดฐานะ หยุดพักที่นี่เสี่ยงอันตรายเกินไป

 

 

และด้วยเพราะรู้ซึ้งเรื่องนี้ ฉะนั้นยามเจ้านายเดินทางผ่านข้างล่างเชิงเขาชีเฟิง ทั้งที่แววตาหยุดอยู่ตรงยอดเขาตลอดเวลา ทว่าไม่ได้เรียกร้องให้หยุดพักเลย เตรียมพร้อมหักใจเฉียดผ่านข้างกายแล้ว

 

 

องครักษ์ลอบถอนใจ…คิดแล้วว่าไม่เจอกัน นึกไม่ถึงว่ายังได้เจอกันตรงปากทางเมืองนี้ เช่นนี้นับเป็นเวรกรรมหรือไม่?

 

 

เขาไม่เอ่ยวาจา ม่านค่อยๆ สยายลง

 

 

องครักษ์ไม่กล้าเอ่ยวาจาอีกแล้ว หันหลังออกคำสั่งว่า “เข้าพัก!”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ทางตะวันตกของเมือง มองจวนตระกูลเศรษฐีหลิวนั้นกำลังยกขื่อ

 

 

พิธียกขื่อเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อนบ้านมากมายล้อมมองและช่วยเหลืออยู่รอบด้าน เหล่าญาติพี่น้องส่งประทัดดอกไม้เงินดอกไม้ทองมาให้เจ้าภาพ ระเบิดดังเปรี้ยงปร้าง ผู้ชายเหงื่อท่วมหน้าที่พาดผ้าเช็ดมือไว้บนไหล่คนหนึ่งสั่งให้ชายหลายคนหามขื่อใหญ่ขึ้นห้อง

 

 

น่าจะเป็นต้าโจวช่างฝีมือดีคนนั้นแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวเบียดเสียดไปข้างหน้าฝูงชน สายตาเหลือบมองทางนั้นห้อยแพรต่วนหลายสีสันบนขื่อกลางเรียบร้อยแล้ว ช่างฝีมือหลายคนปีนอยู่บนกำแพงเปลือย ค่อยๆ โยงขื่อกลางขึ้นไป ต้าโจวตะโกนสั่งอยู่ข้างล่างว่า “ขึ้น…ลง…”

 

 

“ลง” ครู่ที่เสียงนี้ดังขึ้น จิ่งเหิงปัวขยับนิ้วมือเพียงครั้ง

 

 

หินน้อยก้อนหนึ่งกลิ้งเข้าลิ้นไม้บนเสาขื่อ

 

 

“ลง!”

 

 

ขื่อกลางร่วงลง จากนั้นช่างคนนั้นจึงร้อง “เอ๊ะ” หลายคนหน้าเปลี่ยนสี

 

 

คนล้อมมองข้างล่างพบความผิดปกติเช่นกัน ไม้ขื่อคล้ายไม่ได้เข้าไปในลิ้นไม้ ปลายด้านหนึ่งเชิดขึ้นเล็กน้อย

 

 

ครู่เดียวเสียงเอะอะดังสนั่น

 

 

การยกขื่อเป็นเรื่องใหญ่ ต้องยกขื่อให้เหมาะเจาะแม่นยำ มิฉะนั้นจะทำให้ฮวงจุ้ยทรัพย์สินเป็นภัย เรื่องนี้เป็นประเพณีที่ซึมลึกเข้าไปในใจผู้คนเป็นร้อยเป็นพันปี เล่ากันว่าขื่อบนไม่ตรงขื่อล่างเอียงด้วย[1] ไม่ว่าอย่างไรนับเป็นเรื่องไม่เป็นมงคล

 

 

หน้าผากของต้าโจวมีเหงื่อซึมออกมา เขาเป็นช่างฝีมือมายี่สิบปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเจอไม้ขื่อที่เข้าลิ้นไม้ไม่ได้ นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้น?

 

 

ทุกคนได้แต่รอให้ยกไม้ขื่อขึ้นแล้วร่วงลงอีกครั้ง ขณะร่วงลงจิ่งเหิงปัวสะบัดมืออีกรอบ ยัดหินอีกก้อนหนึ่งเข้าไป ไม้ขื่อย่อมเข้าลิ้นไม้ไม่ได้อีกแล้ว

 

 

หลายต่อหลายครั้ง ยกขื่อไม่สำเร็จ รอบด้านส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์หวึ่งๆ ไม่หยุดหย่อน เจ้าภาพหน้าซีด ช่างฝีมือเหงื่อท่วมราวฝนตก บรรยากาศน่ายินดีสูญสลาย ผู้คนเริ่มค่อยๆ ถอยหลัง สีหน้าหลีกเลี่ยง

 

 

จิ่งเหิงปัวจึงยิ้มแย้มเดินขึ้นไปในเวลานี้

 

 

“ไอ้หยา” นางมองบ้านนี้แวบหนึ่ง กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ที่แห่งนี้ฮวงจุ้ยไม่ธรรมดา!”

 

 

เจ้าภาพกำลังหงอยเหงาเศร้าซึม ได้ยินวาจานี้จึงดุจพบเจอฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย รีบก้าวเข้ามาถามว่า “เรียนถามแม่นางเหตุใดถึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ ขื่อนี้ของข้ากำลังยกขึ้นไปไม่ได้ หรือว่าฮวงจุ้ยที่ใดไม่เหมาะสม?”

 

 

“ไม่เหมาะสม? ไม่เหมาะสมที่ใดกัน” จิ่งเหิงปัวเขย่านิ้วมือ กล่าวว่า “เหมาะสมยิ่งนัก เหมาะสมเกินไปแล้ว เหมาะสมจนบ้านท่านทนรับไม่ไหว ขื่อนี้ถึงยกขึ้นไปไม่ได้”

 

 

“เชิญแม่นางชี้แนะหนทาง!”

 

 

“ใต้ชัยภูมินี้ของเจ้ามีมังกรทองตัวหนึ่ง สร้างบ้านที่นี่ ต่อไปลูกหลานการงานก้าวหน้า เงินทองเต็มบ้าน” วาจาเดียวของจิ่งเหิงปัวทำให้เจ้าภาพยิ้มแย้มเบิกบาน จากนั้นนางขมวดคิ้วทันที กล่าวว่า “เพียงแต่ยามบ้านเจ้าวางฐานรากทำได้ไม่ถูกต้อง รบกวนชีพจรมังกร ยามนี้ไม่เพียงแต่ไม่ร่ำรวย เกรงว่าจะต้องกังวลเรื่องบ้านแตกสาแหรกขาดด้วย!”

 

 

“อา! แม่นางได้โปรดช่วยตระกูลข้า! เสร็จเรื่องแล้วย่อมมีค่าตอบแทน!”

 

 

“มังกรตัวนี้เป็นมังกรทอง แน่นอนว่าชื่นชอบเงินทองที่สุดแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวไปเรื่อยเปื่อยว่า “ในเมื่อพวกเจ้ารบกวนมัน ย่อมต้องถวายสิ่งที่มันแสนโปรดปราดเพื่อขออภัยมัน ตระกูลเจ้าเตรียมเงินทองของมีค่าไว้บ้าง หลังจากฟ้ามืด เดินไปทางตะวันตก เดินออกนอกเมืองสามลี้ ฝังสิ่งของเหล่านี้ไว้ในสถานที่ที่ไม่มีแสงจันทร์ เช่นนี้ก็พอแล้ว”

 

 

“เช่นนี้ก็ได้แล้ว? เช่นนั้น ต้องใช้เงินเท่าใดกันแน่”

 

 

จิ่งเหิงปัวคำนวณเงินที่ต้องใช้ซื้อธัญญาหารพืชผัก กล่าวว่า “ไม่น้อยกว่าห้าสิบตำลึงก็พอแล้วล่ะ”

 

 

เงินก้อนนี้ไม่นับว่าน้อย ทว่าเจ้าภาพผู้นี้ก็นับว่าเป็นเศรษฐีท้องถิ่น จึงรับปากโดยไม่ได้ลำบากใจมากเพียงใด ทว่ามีคนกระซิบเตือนเจ้าภาพว่า “สตรีนี้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่แน่ว่าอาจโพล่งปากปั้นเรื่องราว ระวังอย่าให้โดนหลอกเชียว…”

 

 

จิ่งเหิงปัวแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ชี้ไปที่ขื่อใหญ่ บอกเจ้าภาพที่มีสีหน้าสงสัยว่า “การยกขื่อของเจ้านี้มีฤกษ์งามยามดี จะล่าช้าไม่ได้ ช่างเถิด ในเมื่อข้าลงมือแล้วย่อมช่วยเจ้าจนถึงที่สุด ประเดี๋ยวข้าจะจุดธูปไหว้เทพมังกรใต้ดินนี้ ทักทายมันสักหน่อย ให้ขื่อของเจ้านี้ขึ้นไปได้ก่อน จากนั้นเจ้าอย่าลืมไปทำตามที่ข้าเอ่ยไว้ มิฉะนั้นเทพมังกรช่วยเหลือแล้ว ทว่าเจ้าเล่นลูกไม้ ระวังบ้านแตกสาแหรกขาดได้ทุกเวลา”

 

 

เจ้าภาพเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สั่งให้เหล่าช่างฝีมือปีนกำแพงโยงขื่อใหญ่ขึ้นไปอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวจัดโต๊ะบูชาอยู่ฝั่งหนึ่ง จุดธูปโค้งคำนับ เสแสร้งแกล้งอธิษฐานไม่กี่ประโยค มือสะบัดเพียงครั้งกล่าวว่า “ขึ้นเถิด!”

 

 

ทุกคนเคร่งเครียด ตัวสั่นงันงกโยงขื่อขึ้นไป ร้องว่า “ขึ้น…ลง…”

 

 

ก๊อกแก๊ก ขื่อเข้าลิ้นไม้อย่างมั่นคง

 

 

เจ้าภาพเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างดีใจ รีบเข้ามาขอบคุณ จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มคล้ายผู้วิเศษเลิศล้ำพัดพาลมเคลื่อนเมฆคลาย กล่าวว่า “อา เทพมังกรฟังคำอธิษฐานของข้า ไว้หน้าข้าเล้กน้อยเท่านั้น พวกเจ้าอย่าลืมทำตามสัญญานะ มิฉะนั้นเกิดเรื่องขึ้นมาอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

 

 

เจ้าภาพขานรับไม่ขาดปาก ซ้ำยังเชิญจิ่งเหิงปัวเข้าไปกินข้าว พวกช่างฝีมือโปรยลูกกวาดเหรียญเงินหมั่นโถวขนมอบลงมาจากบนขื่อ จิ่งเหิงปัวเบียดเสียดกับพวกเด็กๆ อย่างหน้าไม่อาย หลังจากแย่งเหรียญเงินกับลูกกวาดได้กองหนึ่ง อีกทั้งกินอาหารเย็นที่เจ้าภาพต้อนรับด้วยน้ำใจไมตรีอย่างเต็มอิ่ม นางรับเงินค่าตอบแทน ฉวยโอกาสใช้เงินค่าตอบแทนนี้เข้าพักโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวในเมืองนี้

 

 

ตอนนี้ รอไปเอาเงินกลางดึก จากนั้นกลับไปซื้อข้าว นับว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว

 

 

 

 

 

 

[1] ขื่อบนไม่ตรงขื่อล่างเอียงด้วย เปรียบเทียบว่าผู้อาวุโสทำเรื่องไม่ดี ผู้น้อยจะลอกเลียนแบบ