บทที่ 257 แดนล่าตะวัน

บทที่ 257 แดนล่าตะวัน

หินหลอมเหลวปะทุอย่างดุเดือดขณะที่คลื่นเปลวเพลิงพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า

บนผืนแผ่นดินที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หินหลอมเหลวสีทองได้ถาโถมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดราวกับมังกรไฟที่เลื้อยไปมาอยู่บนแผ่นดิน พวกมันต่างส่งเสียงคำรามและเวียนว่ายไปมาพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายดุร้ายที่ดูเหมือนจะเผาผลาญทุกสิ่งให้สิ้นซาก

สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนกับก้นบึงของภูเขาไฟที่มีเพียงหินหลอมเหลวที่ร้อนระอุจนไม่มีที่ให้หยั่งเท้า ในขณะที่ดวงดาวพร่างพราวและเจิดจรัสลอยอยู่ทั่วท้องฟ้าราวกับว่ามันอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทำให้พวกมันดูลึกล้ำและงดงามยิ่งนัก

ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านบนและหินหลอมเหลวที่ปกคลุมทุกสิ่งอยู่ที่ด้านล่าง เฉินซีซึ่งลอยอยู่กลางอากาศที่สีหน้าประหลาดใจและงุนงงสับสน “นี่คือระดับที่สองของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์หรือ?”

ทันใดนั้นแผ่นหินขนาดมหึมาก็ตกลงมาจากท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหน้าของเฉินซี แผ่นหินนี้ครอบคลุมพื้นที่ถึงร้อยยี่สิบจั้ง รูปลักษณ์ของมันเหมือนกับกำแพงมหึมาที่มีพื้นผิวเรียบเนียนเหมือนกับกระจก

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดคือ มีปีกศักดิ์สิทธิ์คู่หนึ่งกำลังกระพืออยู่บนพื้นผิวของแผ่นหิน ขนทุกเส้นบนปีกคู่นี้ดูเหมือนก่อตัวขึ้นจากเส้นใยของแสงดาว และถูกปกคลุมด้วยระลอกคลื่นของแสงดาวที่เย็นยะเยือก

เมื่อมองจากระยะไกล ปีกคู่นี้ราวกับมีดวงดาวมากมายที่กำลังเคลื่อนคล้อยไปตามวิถีโคจรที่ลึกล้ำ การกระพือปีกแต่ละครั้งดูเหมือนกับดวงดาวกำลังส่องแสงระยิบระยับ ทำให้มันดูปราดเปรียวและลึกซึ้ง ราวกับมันสามารถดูดวิญญาณของคนออกไปได้

ครืนนนน!

ทันใดนั้น รอยแยกมากมายก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของแผ่นหิน ก่อนที่มันจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และหายไป อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับมองมันด้วยความตกตะลึง แม้ว่าแผ่นหินจะหายไปแล้ว แต่ฉากที่ปีกคู่หนึ่งกำลังกระพืออยู่นั้น กลับตราตรึงอยู่ในใจของเขาและทุกรายละเอียดของมันก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

“แดนล่าตะวัน! ภายใต้การโจมตีจากปรากฏการณ์อันพิสดารของสวรรค์และโลก มันได้ทะยานออกไปถึงสองหมื่นลี้ห้าพันลี้!” ในทันทีที่แผ่นหินหายไป เสียงที่ชราและไม่ชัดเจนก็ดังก้องอยู่ข้างหูของเขา

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักได้ว่า เขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน เมื่อครั้งที่เขาเข้าสู่บททดสอบแห่งสรวงสรรค์ระดับที่หนึ่ง และด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับฝ่ามือมหาดารามา

‘แดนล่าตะวัน? หรือว่ามันต้องการให้ข้าไล่ตามดวงอาทิตย์ที่ไปไกลถึงสองหมื่นห้าพันลี้?’ เฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่าหนังศีรษะของเขาด้านชาในขณะที่เขาหัวเราะอย่างขมขื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เพื่อที่จะหลบหนีหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ที่ไล่ล่าเขาในวันนั้น เขาได้เหินบินตลอดทางจากห้วงลึกทะเลทรายมรณะไปถึงเมืองหมอกสน ซึ่งมีระยะทางน้อยกว่าสองหมื่นห้าพันลี้ แต่ถึงกระนั้น เขายังต้องเหินบินเป็นเวลาสามวันสามคืน ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างทาง เขายังต้องเสี่ยงชีวิตกลืนโอสถเหลวหยกนภาก่อนจะไปถึงเมืองหมอกสน

เป็นเพราะเหตุนี้และโอสถเหลวหยกนภาเม็ดที่สองที่เขากินมันเข้าไปเพื่อสร้างค่ายกลกระบี่มหาปราณ ทำให้ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เขาต้องนอนหมดสติอยู่บนเตียงเป็นเวลาเกือบสามเดือน

‘ข้าเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นานนัก หรือว่าข้าต้องบาดเจ็บอีกครั้ง?’ เฉินซีรู้สึกถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่งในใจของเขา และเขารู้สึกเสียใจที่ผลีผลามพุ่งเข้าสู่ระดับที่สองของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์อย่างเร่งรีบ

ทว่าก่อนที่เขาจะเสียใจ จู่ ๆ ก็มีหิมะตกหนักลงมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และเกล็ดหิมะนั้นก็ใหญ่เหมือนขนห่าน แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องประหลาดใจก็คือ ชิ้นส่วนของหิมะเหล่านี้เกิดจากใบมีดน้ำแข็งจำนวนมาก!

ชึ้บ! ชึ้บ! ชึ้บ!

ใบมีดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมลงมา ใบมีดที่คมและรวดเร็วของพวกมันผ่าท้องฟ้าออกจากกันจนเกิดเสียงหวีดหวิดที่คมชัด พลังที่แฝงอยู่ในใบมีดน้ำแข็งทุกใบเทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล

สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นนั้น ดูเหมือนผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจำนวนนับไม่ถ้วนได้โจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน และแรงกดดันของมันก็น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

เฉินซีอยู่ภายใต้ใบมีดน้ำแข็ง ในขณะที่หินหลอมเหลวที่พวยพุ่งและหลั่งไหลอยู่ข้างใต้เขาแทน ดังนั้นหากเขาต้องการหลีกเลี่ยงพวกมัน เขาก็ทำได้แต่ต้องวิ่งหนีต่อไป!

เฉินซีจึงใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาดูเหมือนสายฟ้าฟาดที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ปัง!

เมื่อเฉินซีกำลังจะพุ่งออกจากพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยใบมีดน้ำแข็ง เขาก็ถูกใบมีดน้ำแข็งเฉือนอย่างรุนแรง ทำให้เกิดรอยแผลบนหลังของเขาและมีเลือดไหลออกมาทันที

แต่การบ่มเพาะทักษะแปรสภาพร่างกายของเขานั้น มีความสามารถในการงอกแขนขา ดังนั้น ทันทีที่บาดแผลเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น มันก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แต่พลังกระแทกจากใบมีดน้ำแข็งนั้น ทำให้เขาเสียการทรงตัวและเกือบจะชนเข้ากับใบมีดน้ำแข็งอีกนับสิบ

‘แต่ แม้ว่าใบมีดน้ำแข็งเหล่านี้จะไม่อาจทำอันตรายใด ๆ แต่มันก็ทำให้ความเร็วของข้าลดลง ข้าเกรงว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะทำให้ข้าไม่สามารถหลบหนีได้…’ เฉินซีตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ของเขาอันตรายเพียงใด ดังนั้นจึงไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป และเขาก็เป็นดั่งภูตผีที่ทะยานไปข้างหน้าราวกับว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมัน

ในระหว่างที่เขาเหินบิน มีดวงอาทิตย์ที่แผดเผาอย่างร้อนแรงลอยเด่นอยู่ไกลออกไป และดูเหมือนว่ามันจะอยู่ใกล้มากในสายตาของเขา ถึงกระนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลดระยะห่างระหว่างพวกเขาในระยะเวลาอันสั้น บางที ดวงอาทิตย์ดวงนี้อาจเป็นเป้าหมายที่เขาต้องไล่ล่าในแดนล่าตะวัน

ฟุ่บ!

ภายใต้ท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน ร่างที่รวดเร็วราวกับหมอกควันกำลังพุ่งไปข้างหน้า

ใบหน้าของเฉินซีเต็มไปด้วยความตึงเครียด ในระหว่างที่เขาบินได้เพียงครึ่งชั่วยาม เขาก็ได้ประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ นานา เช่น ใบมีดน้ำแข็งมากมาย ท่อนไม้ขนาดมหึมานับไม่ถ้วน เศษหินมหาศาล…

การโจมตีเพียงหนึ่งเดียวของพวกมันเทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลและเมื่อพวกมันโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าอย่างหนาแน่น ทำให้มันปกคลุมท้องฟ้าจนไม่มีแม้แต่ช่องว่างเลยสักนิดเดียว

แม้ว่าเคล็ดวาตะเหินทะยานของเขาจะได้หลอมรวมเข้ากับมหาเต๋าวายุได้อย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งยังแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาในเวลาเดียวกัน แต่ภายใต้การโจมตีที่หนาแน่นถึงระดับนี้ เขาก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากถูกการโจมตีอยู่นับสิบครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าหากไม่ใช่เพราะการบ่มเพาะทักษะการแปรสภาพร่างกายของเขาแข็งแกร่งเพียงพอ การโจมตีนับสิบครั้งเหล่านี้ก็สามารถระเบิดหน้าอกของเขาและทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้

แต่สิ่งที่น่าสลดใจที่สุดก็คือ ยิ่งเข้ามุ่งหน้าไปมากเท่าไร การโจมตีที่ถาโถมลงมาจากท้องฟ้านั้นกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หากการคาดการณ์ของเขาไม่ผิดพลาด ในไม่ช้า เขาก็จะได้การต้อนรับจากการโจมตีที่เทียบได้กับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ และไม่ใช่การโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการโจมตีที่หนาแน่นเสมือนกับเม็ดฝน!

‘ไม่ได้การแล้ว…’

‘นี่มันคือปัญหาชัด ๆ!’

กลยุทธ์การต่อสู้มากมายแวบผ่านในใจของเฉินซีราวกับสายฟ้าฟาด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ตอนนี้ของเขาได้ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอันตรายอย่างที่สุดก็คือ หากการโจมตีเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปไม่หยุด ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เขาจะสามารถเหินบินได้ถึงสองหมื่นห้าพันลี้

ถึงแม้เขาจะกินโอสถเหลวหยกนภาเข้าไป มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี อานุภาพของการโจมตีบนท้องฟ้านั้นค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ว่าฤทธิ์ของโอสถเหลวหยกนภาจะน่าสะพรึงกลัว แต่มันก็ไม่สามารถช่วยให้เขาไปถึงสองหมื่นห้าพันลี้ได้

เหตุผลนั้นง่ายมาก ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายในตอนนี้ เขาสามารถกลืนโอสถเหลวหยกนภาได้เพียงสองเม็ดเท่านั้น และไม่สามารถทนต่อฤทธิ์ยาได้มากกว่านั้น

ครืนนนน! ครืนนนน!

สายฟ้าที่สาดแสงประกายวิบวับเหมือนอสรพิษสีเงินนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ราวกับฝนห่าใหญ่ที่ถาโถมลงมา ทำให้ท้องฟ้าทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าในทันที

โดยไม่ทันตั้งตัว เฉินซีถูกสายฟ้าฟาดในทันที ซึ่งมันได้เจาะทะลุไหล่ของเขาจนเกิดเป็นรูไหม้เกรียมที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือด การโจมตีเช่นนี้อย่างน้อยก็เทียบได้กับการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ

“บัดซบ!” เฉินซีทำหน้าบูดบึ้งด้วยความเจ็บปวดและไม่กล้าปล่อยให้จิตใจของเขาล่องลอยไป เขาจึงรวบรวมสมาธิก่อนจะบินผ่านสายฟ้า

แต่นับว่าโชคดีที่พลังของสายฟ้าเหล่านี้อ่อนแอกว่ามาก และถ้ามันเป็นพลังของสายฟ้าจากทัณฑ์สวรรค์ การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างของเขาถูกแยกออกจากกันและสลายจนไม่เหลือซาก

เฉินซีเหินบินไปได้อีกห้าพันลี้ และปราณแท้ที่เขาเพิ่งบ่มเพาะและเติมเต็มมาก็เกือบจะเหือดแห้งอีกครั้ง ซึ่งปราณแท้ส่วนใหญ่ได้ถูกใช้ไปกับการเหินบิน ในขณะที่ปราณแท้ส่วนน้อยถูกใช้เพื่อต้านทานการโจมตีที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอยู่เสมอ

‘การโจมตีของพายุที่นี่สามารถเทียบเคียงกับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์…’ เฉินซีเหินทะยานไปท่ามกลางกระแสวังวนจำนวนมากที่หนาแน่นเสมือนเสาน้ำ แต่หัวใจของเขาจมดิ่งลงทีละนิด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องกล่าวถึงการเหินบนให้ถึงสองหมื่นห้าพันลี้ แม้แต่หนึ่งหมื่นห้าพันลี้เขาก็คงจะทำไม่ได้

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”

‘การทดสอบระดับที่สองของบททดสอบแห่งสรวงสรรค์ถูกกำหนดขึ้นสำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น แต่เหตุใดมันถึงน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้?’

‘มันต้องมีบางอย่างผิดปกติ! และมีความลับซ่อนอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน!’

เฉินซีครุ่นคิดอย่างสิ้นหวังเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เขาเห็นตั้งแต่เข้าสู่ระดับที่สองของบททดสอบแห่งสรวงสรรค์อยู่ในใจ

‘หินหลอมเหลวปกคลุมทั่วทั้งผืนดิน… ดวงดาวนับไม่ถ้วนลอยอยู่ด้านบน… แดนล่าตะวันที่มีระยะทางสองหมื่นห้าพันลี้… การโจมตีของปรากฏการณ์จากสวรรค์และโลก… เดี๋ยวก่อน! ข้าดูเหมือนจะมองข้ามสิ่งใดไปหรือเปล่า? มันคือแผ่นหิน! ใช่แล้ว มันคือแผ่นหินนั่นแน่นอน!’ ดวงตาของเฉินซีเป็นประกายขณะที่เขานึกถึงแผ่นหินที่มีขนาดครอบคลุมถึงร้อยยี่สิบจั้ง ซึ่งเขาได้พบเมื่อเขาเข้าสู่แดนล่าตะวัน แผ่นหินนั้นต้องเป็นกุญแจสำคัญ!

“เหตุใดที่พื้นผิวของแผ่นหินจึงปรากฏปีกคู่หนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยดวงดาวมากมายโดยปราศจากเหตุผลกัน”

เมื่อเขาคิดเช่นนี้ ภาพของปีกสวรรค์ที่ลึกซึ้งและเต็มไปด้วยแสงดาวก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้งในจิตใจของเขา ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า ทุกครั้งที่ปีกเหล่านี้กระพือไปมา ดูเหมือนว่าพวกมันจะชักนำพลังของดวงดาวเหล่านั้นมาด้วย และเมื่อแสงดาวสาดส่องลงมา ดูเหมือนว่ามันจะข้ามผ่านมิติและหายไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขต

ยิ่งเฉินซีมองมันมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าปีกคู่นี้ไม่ธรรมดา และดูเหมือนว่าปีกคู่นี้กำลังส่งผ่านอะไรบางอย่างอยู่ ทำให้จิตใจของเขาจมดิ่งลงไปโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาได้พวยพุ่งออกมาจากพื้นผิวของร่างกายของเขาอย่างรุนแรง และก่อตัวเป็นรูปร่างของปีกคู่หนึ่ง ปีกแต่ละข้างกว้างสิบสองจั้ง มีแสงดาวอันเย็นยะเยือกกระเพื่อมอยู่บนพื้นผิวของมัน และดาวดวงเล็กที่มีมากมายมหาศาลได้มาบรรจบกับพวกมันและหมุนเวียนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้มันเหมือนกับปีกในห้วงความคิดของเขาทุกประการ

ฟิ้ว!

พลังงานมหาศาลพุ่งออกมาจากด้านหลังเขา ในขณะที่ร่างกายของเฉินซีเหมือนกับถูกผลักไปข้างหน้า ทำให้เขารวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และความเร็วของเขาก็เกือบจะถึงขั้นเคลื่อนย้ายมิติ เพียงชั่วพริบตา เฉินซีก็ได้พุ่งออกจากพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยสายฟ้าในอึดใจเดียว

‘ทรงพลังยิ่งนัก! ดังนั้นการทดสอบในระดับนี้คือ การหยั่งถึงแก่นแท้ของปีกคู่นี้ เพื่อผ่านการทดสอบการไล่ตามดวงอาทิตย์เป็นระยะทางสองหมื่นห้าพันลี้…’ เฉินซีรู้แจ้งได้ในทันที และรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่เขาเพิ่งเข้าใจสิ่งนี้ในตอนนี้ แต่เมื่อเขาเห็นปีกคู่หนึ่งที่กำลังกระพืออยู่เคียงข้างเขา ความรู้สึกในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจทันที

พื้นผิวของปีกเหล่านี้ปกคลุมไปด้วยประกายแสงของดวงดาว รูปร่างของมันปราดเปรียว ว่องไวและจับต้องไม่ได้ อีกทั้งยังเผยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์และลึกซึ้งออกมา เสมือนกับเป็นผลงานชิ้นเอกที่สมบูรณ์แบบที่สุดของสวรรค์ ซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกมนุษย์

ฟึ่บ!

เฉินซีไม่ได้คิดไตร่ตรองอีกต่อไปและเริ่มทดสอบความเร็วของปีกคู่นี้อย่างเร่งรีบ ด้วยคำสั่งในใจของเขา เขาหยุดใช้ปราณแท้และถ่ายเทปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาไปที่ปีกคู่นี้ ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็เหมือนกับลูกศรที่พุ่งออกจากคันธนูและอยู่ห่างออกไปหลายลี้ภายในช่วงพริบตา

มันรวดเร็วยิ่งกว่าเคล็ดวาตะเหินทะยานของเฉินซีเป็นอย่างมาก และก็ใกล้เคียงกับความเร็วของการเคลื่อนย้ายผ่านมิติเสียด้วยซ้ำ!

‘หากวันนั้นข้ามีปีกคู่นี้ ข้าคงสลัดหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่นทิ้งได้อย่างง่ายดาย ข้าจะไม่มีทางตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เช่นนั้นแน่นอน’ เฉินซีกล่าวด้วยความชื่นชมในใจ เนื่องจากเขาเคยเห็นความเร็วเช่นนี้ตอนที่อยู่กับบรรพจารย์เหวินเสวี่ยนมาก่อน นั่นเพราะบรรพจารย์เหวินเสวี่ยนนั้นเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายผ่ามิติ!

ความเร็วของปีกคู่นี้เทียบได้กับการเคลื่อนย้ายผ่านมิติ! มันจะไม่ทำให้คนอื่นตกใจได้อย่างไร?