บทที่ 258 โลกแห่งดารา

บทที่ 258 โลกแห่งดารา

ภายใต้ท้องฟ้าของแดนล่าตะวัน มีทั้งคมมีดน้ำแข็ง ฝนเพลิง ต้นไม้ยักษ์ พายุสายฟ้า… การโจมตีมากมายปกคลุมโลกทั้งใบประหนึ่งพายุฝนที่กระหน่ำลงมา

พื้นดินถูกปกคลุมด้วยหินหลอมเหลวที่ไหลเคลื่อนดุจกระแสน้ำ คลื่นไฟที่แผดเผาราวกับเป็นมังกรไฟที่คำรามด้วยความโกรธที่สามารถหลอมละลายได้ทุกสิ่งบนโลก

แดนล่าตะวันทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของสวรรค์และโลก แรงกดดันของพวกมันช่างน่าตกตะลึงและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทว่า ในสถานการณ์ที่อันตรายและสิ้นหวังอย่างยิ่งยวดนี้ ได้มีเงาร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ในขณะที่ผ่านช่องว่างระหว่างการโจมตีที่หนาแน่นราวกับภูตผี ด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย

และเงาร่างนั้นก็คือเฉินซี

ที่หลังของเขามีปีกคู่หนึ่งเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างเข้มข้น ในขณะที่แสงดาวเอ้อล้นออกมา พาร่างของเขาบินไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หากมองจากที่ไกล ๆ เขาก็เป็นเหมือนลำแสงที่พาดผ่านท้องฟ้า มันกะพริบชั่วครู่ก่อนจะหายวับไป ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถติดตามร่องรอยของเขาได้

ภายใต้ความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้นี้ เฉินซีกลับยังเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เผชิญกับการโจมตีต่าง ๆ ที่ยู่ทั่วทุกพื้นที่ มันก็ไม่อาจขัดขวางเขาได้แม้แต่น้อย และก่อนที่การโจมตีเหล่านั้นจะมาถึงตัวเขา ชายหนุ่มก็หายตัวไปและปรากฏตัวห่างออกไปหลายพันจั้งแล้ว

‘ยอดเยี่ยม! สมแล้วที่เป็นทักษะการเคลื่อนไหวด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ ปีกแสงดาราคู่นี้ไม่เพียงแต่จะเร็วมากเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีร่องรอยการเชื่อมต่อและผสานกับดวงดารานับไม่ถ้วนจากฟากฟ้าด้วยวิธีนี้ อีกทั้งมันยังทำให้การใช้ปราณจ้าววิญญาณของข้าลดลงเกือบสี่ในสิบส่วน นี่นับเป็นเครื่องมือการหลบหนีชั้นยอดจริง ๆ!’

เฉินซีลอบชื่นชมอยู่ในใจ เมื่อเทียบกับเคล็ดวาตะเหินทะยานแล้ว ปีกแสงดาราไม่เพียงเร็วกว่าเกือบสองเท่า แต่มันยังใช้พลังน้อยกว่ามากอีกด้วย ด้วยความบริสุทธิ์และความหนาแน่นของปราณจ้าววิญญาณของเขาในยามนี้ เขาสามารถบินไปได้ไกลกว่าแสนลี้ได้อย่างง่ายดาย ขณะที่เขายังเหลือปราณจ้าววิญญาณอยู่ประมาณสองในสิบส่วน

ด้วยวิธีนี้ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในอนาคต ตราบใดที่เขาไม่พบกับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่เข้าใจทักษะการเคลื่อนย้ายทางไกลหรือผ่านมิติ เขาย่อมสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย!

ชายหนุ่มครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ตลอดทาง ก่อนที่เขาจะรู้ตัวหนึ่งวันก็ได้ผ่านไป เฉินซีบินมาไกลกว่าเก้าหมื่นลี้แล้ว มันไกลจนเขาสามารถเห็นดวงอาทิตย์กลมโตส่องแสงเจิดจ้าพร่างพราวอยู่เหนือขอบฟ้าและงดงามมากยิ่งได้จากไกล ๆ

เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ที่ลุกโชนนี้ เขาดูไม่ต่างอะไรกับมดตัวเล็กจ้อยเลย

ปัง!

เมื่อเฉินซีอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เจิดจ้านี้ไปได้อีกหลายพันลี้ เปลวเพลิงสีทองนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์ที่ลุกโชน เปลวเพลิงสีทองพราวทุกสายมีนกสามขาที่ดุร้ายและมีดวงตาเย่อหยิ่งเย็นชากำลังกระพือปีกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เปลวไฟที่ไร้ขอบเขตหมุนเวียนอยู่โดยรอบราวกับว่าพวกมันเป็นเทพแห่งไฟ

อีกาทองคำ!

เฉินซีจำได้อย่างรวดเร็วว่านกสามขาตัวใหญ่ที่อาบด้วยเปลวไฟนี้ คือสัตว์ร้ายในตำนานโบราณชนิดหนึ่ง ที่เฉิดฉายอยู่ในตำนานของยุคแรกเริ่ม!

ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาลอยอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่มีอีกาสีทองนับไม่ถ้วนกระพือปีกอยู่เต็มท้องฟ้า ทำให้โลกแทบจะกลายเป็นเตาเผาที่ลุกโชน ทำให้ฉากเบื้องหลังนี้ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

เมื่อเผชิญกับฉากที่น่าหวาดหวั่นนี้ เฉินซีก็หยุดลงทันที และไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก

ในตอนนี้ ดวงดาวหลายร้อยล้านดวงบนท้องฟ้าได้หายไปนานแล้ว และการโจมตีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

สถานที่นี้อยู่ห่างจากจุดที่เฉินซีจะเข้าสู่แดนล่าตะวันเพียงหนึ่งแสนลี้!

ฮึ่ม!

เวลานั้นเอง ร่างขนาดมหึมาที่มีความสูงเกือบหมื่นจั้งก็โผล่ออกมาจากภายในดวงอาทิตย์ที่ลุกโชน มันเดินเท้าเปล่าและสวมเสื้อกระสอบ พร้อมผมยาวปรกไหล่ ราวกับเทพเจ้าที่อยู่เหนือทะเลเพลิง ขณะที่เขาเดินออกมาจากดวงอาทิตย์ที่ลุกโชน ร่างกายของเขาก็ปล่อยบรรยากาศอันอ้างว้างของกลิ่นอายโบราณที่ทรงพลังออกมา

ก้อนเมฆที่เต็มไปด้วยดวงดาวมาบรรจบกันบนท้องฟ้าเหนือหัว และปกคลุมไปด้วยดวงดาวที่เปล่งแสงเล็ก ๆ มากมาย เมื่อมองจากระยะไกล มันดูราวกับเป็นยันต์ขนาดใหญ่กำลังหมุนเวียนอย่างช้า ๆ ขณะเปล่งกลิ่นอายลึกลับและความลึกล้ำอย่างไร้ขอบเขต

เมื่อเขาได้เห็นร่างสูงใหญ่ไร้เทียมทานนี้ เฉินซีก็ไม่รู้สึกถึงความไม่คุ้นเคยเลยสักนิด เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นร่างนี้ในขอบเขตปฐพีที่ห้าของด่านแรกในบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์มาแล้ว และหากเขาเดาไม่ผิด ร่างนี้ก็คือเจ้าของเคหาบ่มเพาะนี้ หรือก็คือนายท่านของจี้อวี๋ ฝูซี!

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร่างนี้จะไม่ใช่คนไม่คุ้นเคยสำหรับเขา ทว่าความตกใจที่อธิบายไม่ได้ยังคงปรากฏขึ้นในหัวใจของเฉินซีอยู่ดี เมื่อเขาเห็นร่างปล่อยบรรยากาศอันอ้างว้างของกลิ่นอายโบราณที่ทรงพลังออกมานี้อีกครั้ง เขาก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของเขาได้อยู่พักใหญ่

ตลอดหลายปีก่อนเขาที่อยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิล ยังมีความเข้าใจต่อมหาเต๋าไม่ลึกซึ้งพอ ดังนั้นยามนั้นเขาจึงรู้สึกได้เพียงแค่ความเคารพและความชื่นชมอยู่ในใจของเขา แต่ตอนนี้เขาบรรลุเจตจำนงเต๋ามากกว่าสิบชนิดแล้ว ความรู้และประสบการณ์ของเขาก็ไม่ตื้นเขินเหมือนอย่างเคยเป็นอีกต่อไป เขาเห็นแล้วว่าร่างใหญ่นี้มีเจตจำนงเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่ามันโอบกอดมหาเต๋าและเต๋ารองทั้งหมดในโลกหล้าเอาไว้ ถ้าเขาไม่เห็นด้วยสองตาของตนเอง เฉินซีก็คงไม่กล้าเชื่ออย่างแน่นอนว่าในโลกนี้จะยังมีคนที่สามารถบรรลุเจตจำนงเต๋าได้มากมายเช่นนี้อยู่ด้วย!

ปัง!

ตามที่เฉินซีคาดไว้ เมื่อร่างนั้นปรากฏขึ้นจากภายในดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ทันใดนั้นรูปลักษณ์ของฝูซีก็ปรากฏขึ้นในห้วงจิตสำนึกของเขา ร่างทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะเฝ้ามองกันและกันจากระยะไกล

ทันใดนั้น จิตวิญญาณทั้งหมดของเฉินซีก็เริ่มสั่นสะเทือน เนื่องจากความคิดโบราณและห่างไกลจำนวนมากได้ไหลเข้าสู่จิตวิญญาณของเขาอย่างรุนแรง ประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ที่เชี่ยวกรากและหลอมรวมเข้ากับความทรงจำของเขา

ในระหว่างกระบวนการนี้ เฉินซีดูสงบนิ่งอย่างมาก เขานั่งลงขัดสมาธิอยู่บนพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน และเปิดใจให้กว้างเพื่อรับมรดกจากความคิดโบราณเหล่านี้

“ตามที่คาดไว้ รางวัลสำหรับการทดสอบชั้นที่สองของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ คือทักษะการเคลื่อนที่ขั้นเทวะที่ถูกเรียกว่าปีกนภาดารกะ มันไม่เพียงแต่ใช้บินได้เท่านั้น ทว่าเมื่ออยู่ในสนามรบมันยังให้ผลกระทบที่คาดไม่ถึงกับศัตรูอีกด้วย” หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ เฉินซีก็ลืมตาและอุทานขึ้นด้วยความชื่นชมอย่างไม่รู้จบ ขณะที่เขานึกถึงทักษะที่ถูกส่งต่อมาอยู่ในใจ

ปีกนภาดารกะนั้นทรงพลังอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นการบินหรือในการต่อสู้ ทักษะเคลื่อนย้ายนี้แฝงไปด้วยความลึกลับของการโคจรของดวงดาวในจักรวาล หากบ่มเพาะจนถึงขีดสุด มันยังสามารถหลอมรวมกับแสงดาวและพาเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่ไปได้ถึงหลายพันลี้!

อย่างไรก็ตาม ตามการคาดเดาของเฉินซี เขาต้องบ่มเพาะไปให้ถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเป็นอย่างน้อยเพื่อให้ปีกนภาดารกะสามารถพัฒนาไปถึงระดับของการเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่ได้ เพื่อต้านทานแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากช่องว่างระหว่างการเคลื่อนย้ายที่มีต่อร่างกายของเขา

ถึงกระนั้นเฉินซีก็พอใจอย่างมากแล้ว ตราบเท่าที่เขาเข้าใจความลึกลับของปีกนภาดารกะได้อย่างถ่องแท้ ในแง่ของความเร็ว สำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบอย่างหวงฝู่ฉงหมิงย่อมต้องถูกทิ้งห่างอย่างแน่นอน แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติครึ่งขั้นเองก็คงยากที่จะวิ่งไล่ตามเขาทัน

แน่นอนว่าเฉินซีไม่ได้กล้าถึงขั้นที่จะประเมินผู้บ่มเพาะทักษะนี้ เท่าที่เขารู้เยว่ฉีผู้ครอบครองสมบัติวิเศษอย่างปีกหงส์ทมิฬ เองก็มีความเร็วได้ไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาที่มีปีกนภาดารกะเลย

ทว่าเฉินซีก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเยว่ฉีอย่างจริงจัง เพราะตราบใดที่เขาก้าวไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและเข้าใจวิธีการเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่ได้ เขาก็จะเหนือกว่าอีกฝ่ายในแง่ของความเร็วอย่างแน่นอน

“หืม?” เฉินซีเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตาไปรอบ ๆ ทิวทัศน์รอบกายเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทะเลเพลิง ดวงอาทิตย์ที่ลุกโชน อีกาสีทอง… ทั้งหมดหายไปแล้ว หลงเหลือเพียงประตูบานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาเท่านั้น

ประตูนี้มีประกายแวววาวทอแสงอยู่รอบ ๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่ามันจะนำพาไปสู่อีกโลกหนึ่ง

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าภายในประตูนี้เป็นเส้นทางสู่ด่านที่สามของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์?” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบินเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

บททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ถูกฝูซีใช้เป็นสถานที่ทดสอบเหล่าศิษย์ของเขา มันถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมดสิบแปดชั้น มีเพียงการผ่านการทดสอบทั้งหมดเท่านั้น ที่จะทำให้เฉินซีได้รับมรดกทั้งหมดของฝูซี

โดยทั่วไปแล้ว ชายหนุ่มแค่ต้องการตรวจสอบและค้นหาว่าประตูนี้นำไปสู่สถานที่ใดเท่านั้น เพราะเมื่อตอนที่เขาเข้ามาในเคหาบ่มเพาะ จี้อวี๋เคยกล่าวไว้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน มันก็เพียงพอให้ผ่านด่านที่เก้าของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์แล้ว และเฉินซีก็เชื่อมั่นในคำพูดนั้นอย่างแน่วแน่ ดังนั้นเมื่อเขาเข้าไปในประตู เขาจึงไม่มีความกลัวในใจเลยแม้แต่น้อย และมีเพียงแค่ความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

ที่ด้านล่างของแม่น้ำที่เชี่ยวกราก จี้อวี๋ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ สายตาของเขาประหนึ่งสายฟ้าที่มองทะลวงทุกสิ่งในโลกหล้า

“สถานที่ทดสอบได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนว่าการบ่มเพาะของเด็กผู้นั้นยามนี้จะได้รับการยอมรับจากนายท่านแล้ว… ” ในขณะที่พึมพำกับตัวเอง ร่างของจี้อวี๋ก็หายไปในพริบตาต่อมา

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเขายืนอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว รอบ ๆ ตัวเขามีเพียงดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนล้อมอยู่ทุกทิศทุกทาง กลุ่มดาวตกมากมายลอยผ่านไป กลุ่มฝุ่นหมอกที่มีรูปร่างแปลก ๆ หมุนวนไม่หยุด แม่น้ำแห่งดวงดาวมากมายที่งดงามและไหลเวียนต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ…

แค่แหงนดูดาวขณะยืนอยู่บนพื้นดินก็ชวนให้ใจสั่นไหวไปกับความเวิ้งว้างอันไร้ขอบเขตแล้ว ตอนนี้เขากำลังถูกล้อมรอบด้วยดวงดาวนับพันล้านดวง และทั้งหมดที่เขาเห็นคือดวงดาวที่สุกใสพร่างพราว ช่างเป็นภาพที่งดงามและกว้างใหญ่ไพศาลจนเฉินซีตกตะลึงและพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่

“โลกขนาดใหญ่สามพันใบและโลกรองอีกนับไม่ถ้วนถูกแบ่งตามสามภพ สวรรค์ โลกมนุษย์และยมโลก ขณะที่มีโลกจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ย่อมมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน และอารยธรรมมากมายเกิดขึ้นมาใช่หรือไม่? ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้มีจุดสิ้นสุดหรือไม่? หากมีแล้วจุดสิ้นสุดของมันจะหน้าตาเป็นอย่างไร?” เฉินซีพึมพำกับตัวเอง ขอบเขตการมองเห็นของเขาไม่เคยกว้างเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก่อน ในใจของเขามีแรงกระตุ้นชวนให้เขาอยากจะรีบวิ่งไปยังสุดขอบจักรวาลและดวงดาวเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น มันจะเป็นความว่างเปล่าหรือเป็นโลกที่แปลกประหลาดกันนะ? หรือไม่มีจุดสิ้นสุดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในจักรวาลนี้เลยกันแน่?

“เมื่อเจ้ายืนอยู่ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เจ้าก็เหมือนกบในบ่อน้ำที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ที่ทำได้เพียงแค่มองขึ้นไปและรู้สึกเคารพ ในขณะที่เมื่อเจ้ายืนอยู่เหนือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เจ้าก็จะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าโลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้เสมอ” ทันใดนั้น จี้อวี๋ก็โผล่มาอยู่ที่ด้านข้างของเฉินซี เขาเอามือไพล่หลังในขณะที่จ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยอารมณ์อาวรณ์เบาบาง

เฉินซีราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน ดวงตาของเขากลับมาชัดเจนอีกครั้ง จากนั้นชายหนุ่มก็มองไปที่จี้อวี๋ก่อนจะคำนับลง “ผู้อาวุโส ท่านมาแล้ว นี่ใช่ด่านที่สามของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์หรือไม่?”

“ทั้งใช่และไม่” จี้อวี๋ชำเลืองมองเฉินซี และกล่าวพลางครุ่นคิด “ด่านที่สิบแปดของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ ถูกกำหนดขึ้นโดยนายของข้า ใครก็ตามที่สามารถผ่านการทดสอบทั้งหมดได้ ก็จะได้รับมรดกของเจ้านายข้าไป แต่นั่นเป็นเพียงมรดกก่อนที่ท่านจะขึ้นสู่จุดสิ้นสุดของมหาเต๋า”

เฉินซีขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะจี้อวี๋

“มรดกที่แท้จริงของนายข้าคือเต๋าแห่งยันต์อักขระ และด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระนี้ เจ้านายข้าจึงสามารถขึ้นไปถึงขีดจำกัดของมหาเต๋า ที่ทำให้เขาเดินทางผ่านไปยังทุกมุมของจักรวาลได้ มรดกนี้แยกจากรางวัลของการทดสอบทั้งสิบแปดด่าน มีเพียงผู้เดียวที่ได้รับการยอมรับจากเคหาบ่มเพาะและมีคุณสมบัติในการเป็นศิษย์ของนายของข้าเท่านั้น ที่จะสามารถเปิดใช้งานมันและเข้าไปในตัวเคหาได้” จี้อวี๋กล่าวต่อไปอย่างช้า ๆ

“เจ้าเพิ่งกระตุ้นพลังของมรดกนี้ในแดนล่าตะวันก่อนหน้านี้ไป ทำให้การทดสอบทั้งสิบแปดด่านของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ กลายเป็นสถานที่สืบทอดมรดกที่แท้จริงของเจ้านายของข้า”

เฉินซีผงะและคิดกับตัวเองว่า ‘หากข้าไม่เปิดใช้งานพลังแห่งมรดกนี้ แม้ว่าข้าจะผ่านบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ทั้งสิบแปดชั้นไป ข้าก็จะไม่มีโชคกับมรดกที่แท้จริงของผู้อาวุโสฝูซีใช่หรือไม่?’

“การที่สามารถกระตุ้นพลังที่แท้จริงของมรดกของเจ้านายข้า พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเจ้าในยามนี้ ได้รับการยอมรับจากนายท่านของข้าแล้ว โลกแห่งดวงดาวนี้จึงได้ปรากฏขึ้น” จี้อวี๋ตบไหล่ของเฉินซีและพูดด้วยท่าทางพึงพอใจ “เจ้าทำได้ดีมาก ข้ามักจะแนะนำให้เจ้าทำความเข้าใจเต๋าแห่งยันต์อักขระให้มากขึ้นอยู่เสมอ และดูเหมือนว่าเจ้าจะจำคำพูดของข้าได้”

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะความเข้าใจในเต๋าแห่งยันต์อักขระของตน สอดคล้องกับข้อกำหนดของเจ้าของเคหาบ่มเพาะ!

“ในเมื่อข้าได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสฝูซีแล้ว ข้ายังต้องผ่านการทดสอบต่อไปอยู่หรือไม่?” เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม

“แน่นอนว่าไม่ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะฝ่ากลับเข้าไปยังด่านการทดสอบแม้ว่าเจ้าจะต้องการก็ตาม ยามนี้การทดสอบทั้งสิบแปดด่านของบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้ว พวกมันก่อตัวเป็นโลกแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้ หรือกล่าวคือมรดกที่แท้จริงของนายท่านของข้าทั้งหมดถูกซ่อนอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไร้ขอบเขตนี้แล้ว”

จี้อวี๋หันกลับมาและมองไปที่เฉินซีด้วยสายตาที่ลึกล้ำ “และข้าขอแนะนำเจ้าให้สืบทอดวิชาความรู้ที่แท้จริงของเจ้านายข้า”