กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 463
“คุณชายของพวกข้าเป็นถึงคุณชายคนที่สามแห่งจวนอันกั๋วกง* คราวนี้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พวกเรากลับมาโดยเฉพาะ เจ้ากล้าเหิมเกริมต่อคุณชายของพวกข้ารึ” คนใช้แสดงท่าทีโอ้อวด

คุณชายสามตระกูลอันยืดอกและเชิดหน้าอย่างลำพองใจ

กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะ “คุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกง? เป็นขุนนางใหญ่โตนักรึ”

“สามหาว บรรดาศักดิ์กั๋วกงเป็นบรรดาศักดิ์ที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนพระราชทานให้ พอจะกล่าวได้ว่าอยู่ใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น ถ้าเจ้ายอมตามคุณชายของข้ามา ต่อไปมีแต่จะร่ำรวยรุ่งเรือง มีอาหารและเสื้อผ้าอุดม เจ้าจะไม่มีอะไรขาดเหลือแน่นอน”

แม้ว่าคนของจวนอันกั๋วกงจะชื่นชอบรูปร่างของกู้ชูหน่วน แต่เมื่อพิจารณาจากอาภรณ์ที่นางสวมใส่ เขาจึงแน่ใจว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ผู้ที่มาจากตระกูลสูงส่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างมาก

“น่าเสียดายที่ข้าแต่งงานแล้ว เลยรับความโชคดีนี้ไม่ได้”

คุณชายสามตระกูลอันเข้าใจความหมายของกู้ชูหน่วนผิด เขาคิดว่านางโมโหที่ตนเองแต่งงานเร็วเกินไป ดังนั้นจึงถูมือไปมาและเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า

“แม่นางคนงาม ขอเพียงแค่เจ้ายินดีที่จะไปกับข้า ต่อให้เจ้าจะแต่งงานแล้วแล้วอย่างไร ข้าจะรีบส่งคนไปฆ่าผู้ชายของเจ้าเอง”

ผู้คนที่ที่รุมดูกันอยู่ข้างทางพากันถอนหายใจ ไปหาเรื่องคุณชายสามตระกูลอัน ไม่รู้ว่าจะเป็นคนของเรือนไหนอีกที่โชคร้าย

กู้ชูหน่วนกอดอกและยิ้มเยาะอย่างเฉื่อยชา “ผู้ชายของข้าสูงส่งและมากด้วยอำนาจ ข้าเกรงว่านอกจากเจ้าจะฆ่าเขาไม่ได้ เจ้ายังจะถูกเขาฆ่าเสียเอง”

“ช่างน่าขัน เจ้าไม่ลองไถ่ถามดูล่ะว่าจวนอันกั๋วกงของพวกข้ามีอำนาจมากแค่ไหน ฮึ เพียงแค่พวกข้าขยับปลายนิ้ว อย่าว่าแต่ขุนนางสูงศักดิ์หรือพ่อค้ารายใหญ่เลย แม้แต่เทพแห่งสงครามพวกเราก็บดขยี้ให้ตายได้ไม่ต่างอะไรกับบดขยี้มดปลวก”

สิ้นเสียงนั้น เสียงที่คุกคามและน่าเกรงขามก็ดังขึ้นมา “ใครกล้าบดขยี้ข้า”

ทุกคนเงยหน้ามองและเห็นว่าไม่ไกลจากตรงนั้น ชายในชุดผ้าแพรสีม่วงคนหนึ่งกำลังควบม้ามาทางนี้ เขาดึงบังเหียนให้ม้าหยุดนิ่ง กวาดสายตามองทุกคนก่อนที่จะหยุดสายตาลงที่กู้ชูหน่วน

ที่เบื้องหลังชายในชุดม่วงยังมีองครักษ์หน้าตาหล่อเหลาอีกสองคน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารอีกกลุ่มหนึ่ง

ชายในชุดม่วงยังอายุไม่ถึงยี่สิบ บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวเต็มไปด้วยความยโสและยกตนเป็นใหญ่ ใบหน้านั้นหล่อเหลาคมคาย คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน งดงามจนไร้ที่ติ ราวกับเป็นผลงานที่ล้ำเลิศที่สุดของพระเจ้า

เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของชายผู้นั้น ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยพากันหน้าแดง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ใครคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนขึ้นมาว่า “พระเจ้า นั่นเทพแห่งสงครามนี่ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเทพแห่งสงครามจริงๆ”

ทุกคนตกตะลึง

ว่าไงนะ…

ชายในชุดสีม่วงผู้นั้นคือเทพแห่งสงครามงั้นหรือ

เทพแห่งสงครามขาพิการไม่ใช่รึ เขาจะขี่ม้าได้อย่างไร

คุณชายสามตระกูลอันบังคับให้ตัวเองสงบ “เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรจึงสวมรอยเป็นเทพแห่งสงคราม”

เจ้าหน้าที่ทหารเอ่ยอย่างมีโทสะ “บังอาจ! อยู่ต่อหน้าท่านเทพแห่งสงครามแล้วยังไม่คุกเข่าลงอีก”

อะ อะไรนะ…

เป็นเยี่ยจิ่งหานเทพแห่งสงครามจริงๆ หรือ

คุณชายสามตระกูลอันคุกเข่าลงอย่างแข้งขาอ่อน ใบหน้าของเขาซีดเผือด เอ่ยอย่างสั่นสะท้านว่า “ทะ… ท่านอ๋อง… ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านคือท่านอ๋องจึงหยาบคายกับท่าน ขอท่านอย่าได้ถือสา คราวนี้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”

เยี่ยจิ่งหานไม่แม้แต่จะชายตามองเขา

ภาพที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเขามีเพียงกู้ชูหน่วนเท่านั้น

กู้ชูหน่วนสวมอาภรณ์สีแดงดูสวยงามมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเนื้อผ้าจะไม่ค่อยดี แต่เมื่อสวมอยู่บนร่างกายของนาง เสื้อผ้าชุดนี้กลับไม่เหมือนเสื้อผ้าที่ไม่มีราคา ทั้งยังขับให้นางดูมีฐานะมากขึ้นด้วยซ้ำ

นางสวมผ้าคลุมหน้าทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของนาง แต่แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้

สายลมอ่อนๆ พัดโชยมา ทำให้อาภรณ์สีแดงของนางหวิวไหว ราวกับว่านางจะโบยบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้ทุกเมื่อ

เป็นเวลาหลายวันที่เขาทั้งโกรธ เครียด ร้อนใจ วิตกกังวลไปต่างๆ นานา แต่ในเวลานี้ความรู้สึกทุกอย่างสลายหายไป ถูกแทนที่ด้วยความปีติยินดีอย่างแรงกล้า

หลังจากความปีติยินดี เยี่ยจิ่งหานก็โกรธขึ้นมาอีกครั้ง

ผู้หญิงคนนี้ ทุกครั้งที่รักษาเขาอยู่ นางมักจะหนีไปตอนครึ่งๆ กลางๆ

บนหุบเขาโลหิตหูหลู นางรู้ว่าตอนที่เขากำลังล้างพิษ เขาจะสูญเสียกำลังภายในไปจนหมด เป็นเรื่องอันตรายมาก หากไม่ระมัดระวังเพียงนิดเขาอาจจะตายได้ทุกเมื่อ แต่นางกลับเพิกเฉย ทั้งยังหนีไประหว่างที่กำลังรักษา

แค่หนีไปก็ว่าแย่แล้ว แต่นางยังไม่ให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองและพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มีอันตราย สวรรค์รู้ดีว่าเขากังวลขนาดไหน และสวรรค์ก็รู้ดีว่าหลายวันมานี้เขาต้องลำบากแค่ไหนในการตามหานาง

ถ้าเป็นไปได้ เยี่ยจิ่งหานอยากจะขังนางไว้ที่จวนหานอ๋องตลอดชีวิต ไม่ปล่อยให้นางไปไหนทั้งนั้น

กู้ชูหน่วนมองเยี่ยจิ่งหานอย่างช่างสังเกต ขาที่พิการของเขาหายเป็นปกติแล้ว และเวลานี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง

เยี่ยจิ่งหานมีรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เวลานี้ขาของเขาหายดีแล้ว และบุคลิกของเขาก็ยิ่งดูมีสง่าราศีมากขึ้น

เวลายืนเขาดูดีกว่าตอนนั่งอยู่เป็นไหนๆ

เพียงแต่ความรู้สึกต่างๆ ที่ฉายวาบอยู่ในแววตาของเขาทำให้นางสับสนนิดหน่อย

กู้ชูหน่วนมองเขาและยิ้มเล็กน้อยเป็นการทักทาย

เยี่ยจิ่งหานชะงักไปเมื่อได้รับรอยยิ้มจางๆ ของกู้ชูหน่วน ความโกรธบนใบหน้าหายไปแทบจะหมดสิ้น ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความแปลกใจ

นางยังคงเป็นนาง รอยยิ้มของนางยังเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของกู้ชูหน่วนดูหนักอึ้งเต็มไปด้วยภาระ ราวกับมีหลายสิ่งหลายอย่างกดทับอยู่ภายในใจ

ก่อนที่เยี่ยจิ่งหานจะเอ่ยอะไร กู้ชูหน่วนก็ฟ้องขึ้นมาก่อนว่า

“ท่านอ๋อง เขาทำเจ้าชู้กับข้า”

“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ต่อไปข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว ข้าน้อย… ข้าน้อยจะหาหญิงงามเช่นนางอีกร้อยคนมาถวายเป็นการขออภัยพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยจิ่งหานเพิ่งจะสังเกตเห็นคุณชายสามตระกูลอัน เขายิ้มเยาะและกล่าวว่า “ล่วงเกินพระชายาของข้า ทั้งยังคิดจะยัดเยียดหญิงงามหนึ่งร้อยคนให้ข้าอีก เจ้าไม่เห็นหัวข้า ทั้งยังคิดจะให้ข้ากลับไปคุกเข่าซักผ้าในอ่างอีกรึ”

“อะ… อะไรนะ…”

ลิ้นของคุณชายสามตระกูลอันเหมือนถูกจับมัด

ผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าราคาถูกนั่นคือพระยาชาของเทพแห่งสงครามจริงๆ…

ปะ… เป็นไปได้อย่างไร

แล้วก็… เมื่อครู่นี้เขาว่าอย่างไรนะ คุกเข่าซักผ้าในอ่างรึ

เทพแห่งสงครามผู้สง่างามจะคุกเข่าซักผ้าได้อย่างไร

หูของเขาหลอนไปแล้วหรือเปล่า

ไม่ใช่แค่คุณชายสามตระกูลอัน แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าท่านอ๋องเทพแห่งสงครามหลงพระชายามาก ไม่ว่าพระชายาหานต้องการสิ่งใด เทพแห่งสงครามจะไปหามามอบให้นางทันที

แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าเทพแห่งสงครามจะกลัวพระชายาด้วย

“ล่วงเกินพระชายาของข้า จุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือความตาย”

“ท่านอ๋อง ข้าเป็นบุตรคนที่สามของอันกั๋วกง ทะ… ท่านฆ่าข้าไม่ได้ ท่านพ่อของข้าเป็นขุนนางที่ได้รับบรรดาศักดิ์จากจักรพรรดิ นอกจากนี้ยังเป็นขุนนาง… อะ…”

ยังไม่ทันที่คุณชายสามตระกูลอันจะพูดจบ เจี้ยงเสวี่ยก็ยกดาบขึ้นและฟันศีรษะของเขาจนขาดสะบั้น

“หากใครยังกล้าดูหมิ่นพระชายาอีก นี่จะเป็นจุดจบของคนผู้นั้น” เจี้ยงเสวี่ยกล่าว

ทุกคนตกใจจนหน้าซีด

คนรับใช้จากจวนอันกั๋วกงตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว จะว่าชักก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ชักก็ไม่เชิง ทำได้แค่ยืนขดตัวอยู่อย่างนั้น

เยี่ยจิ่งหานใช้ร่างของตนบังสายตาของกู้ชูหน่วนไว้ตั้งแต่ก่อนที่เจี้ยงเสวี่ยจะลงมือฆ่าคุณชายสามตระกูลอัน ป้องกันไม่ให้นางเห็นฉากนองเลือดดังกล่าว

เยี่ยจิ่งหานเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “กลับไปบอกอันกั๋วกง ก่อนจะคิดแก้แค้นให้บุตรชาย ชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนว่าที่จวนอันกั๋วกงมีหัวอยู่กี่หัว”

คำพูดนี้ชัดเจนในตัวเอง หากอันกั๋วกงคิดจะแก้แค้นให้บุตรชาย เยี่ยจิ่งหานจะสังหารทุกคนในจวนอันกั๋วกงให้สิ้นซาก

เป็นเรื่องที่บ้ามาก

นั่นเป็นถึงบุตรชายของอันกั๋วกง แต่พอเขาบอกว่าจะฟันก็ฟันทิ้งทันที ไม่มีความเมตตาใดๆ ทั้งสิ้นทั้งที่ยังอยู่ในนครหลวงแท้ๆ

ที่สำคัญก็คืออันกั๋วกงได้รับเชิญจากองค์จักรพรรดิ มันคือการตีแสกหน้าจักรพรรดิอย่างชัดเจน

“เข้าป่าไปนานจนลืมทางกลับเรือนแล้วหรืออย่างไร ยังไม่รีบกลับกันอีก”

กั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของขุนนางชั้นกง เป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ ที่จะมอบให้ขุนนางที่มีความดีความชอบต่อแผ่นดินและราชวงศ์