พายุหิมะตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ตานางถูกหิมะจนต้องหรี่ตาและมองภาพรอบตัวไม่ชัดเจน พระจันทร์ดวงน้อยลอยอยู่บนฟ้า ฟ้าทั้งผืนเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ดูขัดกันอย่างมาก
เสวียนอี่ลองใช้พายุหิมะไปบดบังมัน แต่กลับไร้เรี่ยวแรง ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกว่าแค่การยกแขนก็ช่างกินแรงเสียเหลือเกิน
กลับไปคราวนี้ ควรให้อาจารย์ถ่ายทอดวิชาเวทให้เสียที นางอยากจะเห็นฟ้าดินถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
แต่ว่าจากนิสัยเกียจคร้านของมหาเทพไป๋เจ๋อ คิดว่าคงต้องหาข้ออ้างมากมายมาแน่ หรือนางจะเปลี่ยนอาจารย์ดี ไม่อย่างนั้นหากให้นางอยู่กับฝูชางที่ตำหนักหมิงซิ่ง เงยหน้าไม่เจอกันก้มหน้าก็ต้องเจอกัน [1] ทุกคนคงต้องรู้สึกวางตัวไม่ถูกเป็นแน่
หากว่าเปลี่ยนอาจารย์ ก็คงจะไม่ได้เจอศิษย์พี่หญิงจื่อซีกับศิษย์พี่กู่ถิงไปอีกนาน นางชอบทั้งสองคนมาก เทียบกับนางที่ในหัวเต็มไปด้วยแผนการแล้ว พวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเถรตรงและเปิดเผยมาก แม้ว่าในตอนแรกจะมีความเห็นไม่ตรงกับทุกคนนัก แต่ว่าพวกเขาก็ยังยอมใจกว้างกับนาง และทั้งชีวิตนางไม่มีทางจะเป็นสุภาพชนอย่างนั้นได้แน่
ครั้นปั้นเขาปลาดุกอุยหิมะอันสุดท้ายเสร็จ เสวียนอี่ก็สะบัดแขนเสื้อเอาของเล่นปั้นจากหิมะเล็กๆ เหล่านี้วางไปบนยอดหินขนาดใหญ่ นางให้เขาทั้งหมด นางนี่ช่างใจกว้างเสียจริง
นางต้องกลับไปแล้ว ฉีหนานจะต้องเป็นกังวลแน่หากว่านางอยู่ที่โลกเบื้องล่างนานเกินไป ราวกับเพื่อรอคอยฝูชางโดยเฉพาะอย่างนั้น นางไม่เอาด้วยหรอก อย่างนั้นดูเหมือนนางน่าสงสารมาก
แต่ว่าดูเหมือนนางจะเหนื่อยมาก หัวหนักไปหมด นางลองลุกขึ้นยืนดู แต่ร่างกลับค่อยๆ อ่อนยวบลงไปบนพื้นหิมะ นางถูกกองหิมะหนาโผเข้ามาใส่เต็มหน้า มันขมไปถึงทรวงเลยจริงๆ นางถูกความขมของหิมะจู๋อินตัวเองเข้าไปจนตัวสั่น นางอยากจะเก็บหิมะไป แต่ว่ากลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
ความคิดเริ่มล่องลอยออกไป ก้อนนุ่มๆ อะไรบางอย่างที่พันรัดจุกที่คอของนางอยู่บ่อยครั้งราวกับจะแผ่ขยายไปถึงสมอง นางเริ่มเวียนหัว ปากยังเต็มไปด้วยหิมะจู๋อินที่ขมจนน่าตายนั่น แต่นางกลับกระดิกไม่ได้แม้แต่นิ้วมือ หายใจก็ไม่ค่อยออก นางคงไม่ได้อนาถอย่างนั้นใช่ไหม ไม่ใช่หรอกกระมัง นางรู้สึกว่าตัวเองสบายดี แค่จัดการอะไรเสร็จก็กลับเขาจงซานได้แล้ว แล้วตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน
แค่พริบตา ราวกับมีเงาหนึ่งเดินลุยหิมะเจ้ามา เสวียนอี่หรี่ตาและเพ่งมองแต่นางมองได้ไม่ชัด
หรือว่า…? หัวใจนางพลันเต้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ความเจ็บแปลบที่หน้าอกราวกับอะไรปริแตกนั่นทำให้นางต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ หิมะเข้าไปในปากนางอีกคำแล้ว มันขมจนนางแทบร้องไห้
“บอกเจ้าแล้วว่าอย่าบาดเจ็บอีก เจ้าปลาดุกอุยน้อยนี่ช่างไม่รู้จักเชื่อฟังเสียบ้าง น่าโมโหเสียจริง”
เสียงอ่อนหวานที่คุ้นเคยดังมาท่ามกลางพายุหิมะ เสวียนอี่ชะงักไปทันที ทำไมถึงได้เป็นเขากัน เผ่าเทพเข้มงวดและจำกัดการลงมาโลกเบื้องล่างอย่างนี้ เขาลงมาได้อย่างไร
เงานั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ในมือของเซ่าอี๋ถือร่มกระดาษเบาบางอยู่คันหนึ่ง บนนั้นมีลายภาพวาดสกุณาและบุปผาอย่างงดงาม ร่มอย่างนี้หากเอามาบังละอองฝนในฤดูใบไม้ผลิยังพอว่า แต่เขากลับเอามาใช้บังหิมะตระกูลจู๋อินที่ตกหนักอย่างนี้ แต่มันกลับยังบังได้ดีอีก ชุดคลุมยาวสีม่วงเข้มของเขาถูกพายุหิมะจกปลิวสะบัด เขาเดินลุยหิมะมาถึงข้างกายนางแล้วก้มหน้ามองมาที่นางก่อนจะหัวเราะ
“แผลที่หัวใจปริแล้วสินะ” เขาเอาร่มกระดาษพาดไว้บนบ่า แล้วย่อตัวนั่งลงข้างกายนาง “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะทรมานร่างกายตัวเองจนเป็นถึงขนาดนี้”
แผลที่หัวใจ? ใช่แผลตอนนางยังเล็กนั่นหรือไม่ ที่แท้แผลของนางก็อยู่ที่หัวใจหรือ เขารู้ได้อย่างไรกัน หรือว่าแผลตอนนางยังเล็กนั่นเขาเป็นคนช่วยนางไว้จริงๆ แล้วเขาไปรู้มาจากไหนว่านางบาดเจ็บอยู่ที่โลกเบื้องล่าง ที่แท้ลานบ้านที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและพายุหิมะในตอนนี้ก็เป็นเพราะแผลที่หัวใจของนางกำเริบ
สมองของเสวียนอี่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ว่านางกลับไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยปาก นางได้แต่มองอัญมณีบนหน้าผากเขาแกว่งไกวไปมาเงียบๆ
เซ่าอี๋มองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ เขารวบนางแล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนหลังของปี่ซี่ ท่าทางของเขาไม่ได้ราบรื่นอย่างครั้งก่อน แต่ดูกินแรงมาก
“ชีวิตนี้ของเจ้า ข้าใช้ขนหัวใจหงส์สองเส้นของข้าแลกมาเชียวนะ ชีวิตที่ล้ำค่าที่สุดในทั่วทุกสารทิศนี้ไม่มีใครเกินหน้าเจ้าแล้ว วานเจ้าช่วยดูแลมันให้ดีหน่อยเถอะ”
เซ่าอี๋รองศีรษะของนางไว้ พร้อมค้อมตัวลงไปจะประทับริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากนาง เสวียนอี่ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน นางยกแขนขึ้นกันไว้แล้วจ้องไปที่เขาอย่างเย็นชา
เขาอมยิ้มน้อยๆ “ข้าจะช่วยเจ้า เอามือออกไป”
นางไม่ขยับ ฝ่ามือยังคงยันคางเขาเอาไว้ไม่ลดละ
เซ่าอี๋สูดลมหายใจเข้าแล้วขมวดคิ้ว “เจ้านี่นะ”
เขาจับข้อมือนางเอาไว้แล้วบิดไปอีกด้านพร้อมก้มหน้าลงออกแรงประทับริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากนาง เสวียนอี่รู้สึกว่าเขาพ่นลมหายใจสายหนึ่งเข้ามา มันเข้าไปในลำคอของนางและไหลลงไป รู้สึกเหมือนกับวันที่นางดื่มสุราที่วังเทพบูรพาวันนั้น ความเจ็บปวดและความร้อนแผดเผาประหลาดนั่น ยังรุนแรงกว่าสุราถึงร้อยเท่า
ไอร้อนราวกับเพลิงนั่นเข้าไปอยู่บริเวณหัวใจของนาง และค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปภายใน กลุ่มก้อนอ่อนนุ่มเหล่านั้นที่ก่อนหน้านี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวก็คลายลงไปมาก ความเจ็บปวดราวกับมีอะไรปริแตกที่หน้าอกก็ค่อยๆ บรรเทาลง
“…ขมมาก” ในปากนางเต็มไปด้วยหิมะจู๋อินรสขม เซ่าอี๋ใช้ปลายลิ้นเลียไปยังรสขมบนริมฝีปาก คิ้วเขายิ่งขมวดเป็นปมแน่น จากนั้นก็โยนนางลงไปบนหลังปี่ซี่ “ปลาดุกอุยน้อย ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว เจ้าจำไว้ให้ดี”
เขาลุกขึ้นเก็บร่มกระดาษที่พื้นขึ้นมาใหม่ คิดจะกลับไปอย่างนี้
คิดจะไปรึ
แขนขาเริ่มมีเรี่ยวแรง เสวียนอี่คว้าแขนเสื้อเขาอย่างรวดเร็ว เซ่าอี๋ถูกนางดึงไว้จนเซถลาลงไปบนพื้นหิมะ ร่มกระดาษถูกพายุหิมะพัดจนกลิ้งไปบนพื้น อัญมณีที่หน้าผากเขาก็แกว่งไกวไปมา สีแดงสดของมันมีประกายขุ่นมัวขึ้นเล็กน้อย
เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพิงหลังปี่ซี่ พร้อมออกแรงดึงแขนเสื้อที่ถูกนางกำไว้แน่น “เจ้าทำกับศิษย์พี่ที่ช่วยชีวิตเจ้าอย่างนี้หรือ”
เสวียนอี่รออยู่นานถึงได้เอ่ยปากออกไป “…ทำไมท่านถึงลงมาได้”
เซ่าอี๋คิดไม่ถึงว่าทันทีที่นางเปิดปากกลับถามเรื่องที่ไม่สำคัญอย่างนี้ออกมา เขายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แน่นอนว่าต้องให้ศิษย์พี่หญิงจื่อซีช่วย นับตั้งแต่เจ้าลงมาโลกเบื้องล่างแผลที่ใจก็เริ่มปริออก ข้ารู้สึกไม่สบายใจจึงได้แต่ต้องลงมาดูเจ้า”
หากไม่ใช่เพราะแผลที่ใจกำเริบครั้งนี้มีอันตรายถึงขั้นดับสูญ เขาก็คงไม่มา เจ้าปลาดุกอุยน้อยนี้ร้ายเกินไปแล้ว เขาไม่อยากจะถูกนางทรมานหรอก
นางกล่าวต่อว่า “ดังนั้นครั้งที่แล้วที่รับมือกับเทพีอูเจียง ท่านเองก็ลงมาโลกเบื้องล่างเพราะข้าเหมือนกัน?”
นางสงสัยมานานแล้ว จากนิสัยเขา จะยอมหาเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองหรือ
เซ่าอี๋คลายคิ้วแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน “เจ้าฉลาดมาก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงยังต้องทำให้ตัวเองกลายเป็นอย่างนี้ได้ เจ้าบาดเจ็บแบบนี้ ก็ทำให้ข้าต้องรับทุกข์ไปด้วย หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรก ข้าไม่ควรฝากให้ศิษย์น้องฝูชางดูแลเจ้าแทนข้าเลยจริงๆ”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ท่านอยากดูแลข้า แล้วทำไมตัวเองไม่ลงมาเอง ยังต้องฝากฝังเทพคนอื่น เห็นอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าท่านมันไม่จริงใจ”
เซ่าอี๋หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เวลานี้เจ้ายังจะแกล้งพูดอย่างนี้อีก ตอนนี้ข้าไม่อยากดูแลเจ้าสักนิด กลับอยากจะตีก้นเจ้าสักทีด้วยซ้ำ”
เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้นางดีขึ้นมาแล้ว พายุหิมะที่ตกอย่างบ้าคลั่งนั่นเองก็เริ่มหยุดลง นางนั่งตัวตรงแล้วก้มหน้ามองเขา “ข้าได้ยินมาว่าขนหัวใจหงส์มีชื่อเสียงคู่กันมากับเกล็ดมังกรจู๋อิน คิดไม่ถึงว่าตอนนั้นศิษย์พี่เซ่าอี๋จะยอมเสียสละขนหัวใจสองเส้นเพื่อช่วยข้า บุญคุณที่ช่วยชีวิตตลอดชีวิตก็ยากจะลืม ไม่รู้ว่าศิษย์พี่เซ่าอี๋มีความปรารถนาอะไรในใจหรือไม่ ตระกูลจู๋อินมีคุณต้องทดแทน”
ทุกหนึ่งหมื่นปีตระกูลชิงหยางจะมีขนขึ้นมาที่หัวใจสองเส้น เมื่ออายุได้หนึ่งแสนปี ตลอดทั้งชีวิตของตระกูลชิงหยางจะมีขนหัวใจหงส์เพียงแค่สิบเส้นเท่านั้น บาดแผลที่หนักหนาในแผ่นดิน อันตรายถึงชีวิตขนาดไหน หากใช้ขนหัวใจหงส์ก็จะสามารถหายได้ในพริบตา คิดไม่ถึงว่าจะสามารถช่วยได้กระทั่งตระกูลจู๋อินที่ทุกวิชาไร้ผล
เซ่าอี๋เอ่ยปากอย่างไม่ร้อนรน “อยากถามข้าว่ามีจุดประสงค์อะไรน่ะหรือ เจ้ากับองค์ชายน้อยสมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน แม้แต่การพูดยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน”
“คิดว่าเพราะช่วยข้าในปีนั้น ศิษย์พี่เซ่าอี๋ถึงได้รู้จักพี่ชายสินะ” แต่ว่า ทำไมฉีหนานกับท่านพ่อถึงได้ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเล่า นางคิดแล้วกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ใช้ขนหัวใจหงส์ช่วยชีวิตข้า แต่กลับไม่ยอมตัดสัมพันธ์ของขนหัวใจออก หรือว่าท่านกลัวว่าพวกเราจะไม่ตอบแทนบุญคุณ กลับไปแล้วท่านเอาขนหัวใจกลับไปดีไหม”
ดังนั้น เวลานางบาดเจ็บเขาก็จะรู้สึกไม่ดีไปด้วย หากยังไม่ยอมตัดสัมพันธ์ให้ขาด ก็เท่ากับว่าพวกเขาทั้งสองใช้ขนหัวใจขนหงส์สองเส้นร่วมกัน พลังเทพคืนชีวิตภายในขนหัวใจจะไม่ช่วยรักษาแผลให้นาง แต่สามารถรักษาชีวิตของนางไว้ได้ มิน่า นางมาโลกเบื้องล่างครั้งนี้และอารมณ์แปรปรวนเข้าจึงทำให้แผลกำเริบได้ บุญคุณช่วยชีวิตนี้จริงๆ แล้วก็คือการผูกชีวิตไว้ด้วยกัน เขาต้องการให้ตระกูลจู๋อินทำอะไร
เซ่าอี๋ยิ้ม “บุญคุณช่วยชีวิตนี้พวกเจ้าจำไว้ก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องพูดมากอีก เจ้าปลาดุกอุยน้อย ทำไมถึงต้องไปยึดติดกับศิษย์น้องฝูชางขนาดนี้ด้วย ปลาดุกอุยน้อยที่ชาญฉลาดก็ควรทำเรื่องฉลาดเฉลียว เขาทำให้แผลที่หัวใจเจ้ากำเริบ เจ้ายังจะยึดติดไปเพื่ออะไร หากอยากหาอะไรแก้เบื่อ เจ้าก็ควรจะมองหาพวกเดียวกับเจ้า”
“พวกเดียวกับข้า?”
เซ่าอี๋กะพริบตา “อย่างเช่นข้าอย่างไรเล่า”
แต่ทางที่ดีอย่าเหมารวมเขาไปด้วยเลย
เสวียนอี่เหลือบตามองเขา เขามักเสเพลไม่จริงจัง ทำให้เหยียนสยาต้องร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนจนต้องระบายกับทางบ้าน เหมือนกับท่านพ่อของนางที่กะลิ้มกะเหลี่ยไปทั่วไม่มีผิด
เขากลับพูดว่าพวกเขาคือพวกเดียวกัน
นางพลันกล่าวว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ นี่คือความอัปยศสูงสุดที่ข้าได้รับนับตั้งแต่ข้าเกิดมาเลย”
—
[1] เงยหน้าไม่เจอกัน ก้มหน้าก็ต้องเจอกัน : หมายถึง การได้เจอกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าหลบอย่างไรก็ไม่พ้น