บทที่ 97 นกน้อยกลับรัง

บุหลันเคียงรัก

เซ่าอี๋มองไปที่นางอย่างอดใจไม่ไหว แววตาของนางเต็มไปด้วยประกายเฉียบคมอย่างต่อต้าน นางไม่ได้หลบสายตาเขา อยู่ต่อหน้าเขา นางมักเก็บงำอย่างลึกล้ำมาตลอด นี่คือครั้งแรกที่นางสบสายตากับเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้

เขากลับยิ้มชัดขึ้น “พูดไปแล้วก็ใช่ ศิษย์น้องฝูชางลงมาโลกเบื้องล่างเพื่อเจ้า เจ้าช่วยตัดสัมพันธ์ให้เขาแต่กลับทำให้แผลที่หัวใจกำเริบจนเกือบจะต้องดับสูญ จุดนี้พวกเราไม่เหมือนกันจริงๆ ข้าไม่ได้กังวลมากอย่างเจ้า”

ดับสูญ คิดไม่ถึงเลยว่า วันหนึ่งคำนี้จะถูกใช้กับตัวนาง

เสวียนอี่ถอนหายใจแล้วปล่อยแขนเสื้อเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านไปก่อนเถอะ วันนี้ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ”

เซ่าอี๋จัดแขนเสื้อที่ถูกนางกำจนยับย่นให้เรียบ “ข้าไม่เคยรับคำของคุณปากเปล่ามาก่อน จุมพิตข้าสักครั้งเป็นอย่างไร”

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ชีวิตข้าอยู่ในกำมือท่านแล้ว ยังจะมีคำขอบคุณอะไรที่หนักไปกว่านี้อีกหรือ”

เซ่าอี๋เอียงคอคิดแล้วหลุดยิ้ม “เจ้าพูดเสียจนข้าไร้คำจะกล่าวอีกแล้ว ไอหยา เจ้าปลาดุกอุยน้อยนี่นะ”

เขาเก็บร่มกระดาษขึ้นมาแล้วหุบลงช้าๆ ตอนนี้หิมะหยุดตกแล้ว พระจันทร์สีเงินบนฟ้าจางมาก แสงอาทิตย์ทอประกายที่ขอบฟ้า เขาลุกขึ้นแล้วมองไป มือไพล่ไปด้านหลังแล้วกล่าว “ข้าลาออกแล้ว เกรงว่าพวกเราคงจะไม่ได้เจอกันอีกนาน เจ้าจำไว้ว่าต้องรักษาชีวิตให้ดี หากเกิดเรื่องที่ส่งผลกับข้าอย่างนี้อีกครั้ง ข้าคงได้แต่ต้องเอาขนหัวใจหงส์กลับมา และปล่อยเจ้าดับสูญไป”

เขาเดินไปไม่กี่ก้าว พลันเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันกลับมามองเสวียนอี่อีกครั้ง เพราะบาดแผลเก่าเพิ่งสมานกัน ใบหน้าของนางจึงขาวซีดกว่าปกติหลายเท่า

เซ่าอี๋กลอกตาไปมาแล้วกล่าวเสียงเบา “เทพที่ลงมาตัดสัมพันธ์ยังโลกเบื้องล่าง เก้าในสิบเมื่อกลับไปแล้วก็มักจะปล่อยวางเรื่องในอดีต เดิมจิตใจลุ่มหลงก็เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในโลกอยู่แล้ว ทำร้ายทั้งคนอื่นทำร้ายทั้งตัวเอง เจ้าเองก็รีบกลับไปเถอะ”

เขาขี่ลมขึ้นไป แขนเสื้อสะบัดราวกับขนนก แค่พริบตาเขาก็หายลับไป

เสวียนอี่พิงหลังกับแผ่นหิน นางมองไปยังหมอกที่ปกคลุมสุสานราชวงศ์เงียบๆ ไม่รู้ทำไมในใจกลับรู้สึกสงบและผ่อนคลาย เสียงลมและเสียงอึกทึกที่รบกวนนางมานานนั้นก็สลายไปหมดแล้ว เพราะนางกล้าที่จะฝืนใจไปเผชิญหน้ากับมันครั้งนี้

นางไม่เหมือนกับท่านแม่ นางคือตระกูลจู๋อิน

ควรกลับไปได้แล้วจริงๆ นางไม่มีทางไปเจอฝูชางอีก แน่นอนว่า บางทีเขาเองก็คงไม่อยากพบนางเหมือนกัน

เวลาของพวกเขายาวนานเกินไป ยาวนานจนมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป นางทำให้เขาเจ็บปวด วันนี้ทุกอย่างก็ย้อนกลับมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันจบที่ตรงนี้เถอะ ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยนางก็ได้รับความรักที่ทั้งสองมีใจต่อกันอย่างแท้จริงมาก่อน ในโลกเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยไอขุ่นมัวราวกับความฝันนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เสวียนอี่เปิดแขนเสื้อออก บาดแผลของตระกูลจู๋อินหายช้า ร่องรอยบาดแผลที่ถูกเขากัดไว้ที่แขนยังคงอยู่ มันเป็นสีม่วงๆ เขียวๆ ยังโชคดีที่แขนของนางเกล็ดมังกรยังไม่งอก ไม่อย่างนั้นคงได้ทำเขาฟันร่วงหมดปากแน่

นางก้มหน้าแล้วจูบบนร่องรอยนั้น ชายหนุ่มที่นางรักคนนั้นก็ให้เขานอนหลับอย่างสงบในสุสานนี้แล้วกัน นางไม่ต้องไปคิดถึงเขาในฐานะเทพ หากไม่ไปคิดถึง ความรู้สึกคงดีขึ้นบ้าง

ตอนที่กลับมาถึงเขาจงซาน เสวียนอี่มีความรู้สึกสงบราวกับนกที่กลับรังเป็นครั้งแรก พูดไปแล้ว ที่นี่ก็ยังเป็นบ้านของนาง

นางเหนื่อยมาก บาดแผลที่หัวใจเพิ่งหาย นางบินกลับมาจึงใช้เวลานานมาก ตอนนี้นางได้แต่นั่งก้มหน้าหอบหายใจอยู่บนหินหน้าประตูเขา

คิดว่าที่เซ่าอี๋เป่าเข้ามาปากของนางน่าจะเป็นอะไรที่ใช้กระตุ้นพลังขนหัวใจหงส์ ตระกูลชิงหยางมีวิธีการลึกลับพิสดารนับไม่ถ้วน และถูกยกย่องว่าเป็นที่สุดของแดนเทพ แต่ว่าเพราะอยากควบคุมตระกูลจู๋อินเอาไว้ เขาจึงไม่ยอมให้แผลที่หัวใจนางหายดี พลังที่มีอยู่จึงไม่ค่อยพอนัก รอกระทั่งฉีหนานรีบร้อนมาถึง นางก็เหนื่อยล้าจนเกือบหลับใหลไปแล้ว

“องค์หญิงทำไมถึงได้กลับมาช้าอย่างนี้ ข้าเกือบลงไปรับท่านที่โลกเบื้องล่างอยู่แล้ว!” ฉีหนานเริ่มพร่ำบ่นอย่างตื่นเต้นและเคร่งเครียด “องค์หญิงได้เจอเผ่าปีศาจที่ร้ายกาจอะไรที่โลกเบื้องล่างหรือไม่ ทำไมใบหน้าขององค์หญิงถึงดูแย่อย่างนี้ องค์หญิง องค์หญิง!”

นอกจากเทพีอูเจียงที่บ้าคลั่งคนนั้นแล้ว ยังจะมีเผ่าปีศาจที่ไหนจงใจมาหาเรื่องตระกูลจู๋อินอย่างไร้สาเหตุอีก เสวียนอี่ถูกเสียงเขาเอะอะเสียจนสมองแทบระเบิด นางยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เรียกเทพรับใช้ ยกเตียงเถาวัลย์…”

ยังกล่าวไม่ทันจบ นางพลันรู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง เอนตัวล้มพับลงไป

ราวกับว่านางไม่ได้นอนว่านานมากแล้ว นางเหนื่อยมาก ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้แต่น้อย ได้แต่ปล่อยร่างให้จมสู่ความมืดมิด ค่อยๆ ดำดิ่งลงไป ความรู้สึกนี้นางไม่ได้รู้สึกแปลกหน้าเลย ราวกับแต่ก่อนนางก็เคยรู้สึกมาก่อน แต่ว่านางกลับนึกไม่ออก ความมืดมิดนี้ทำให้นางจิตใจสงบและสบาย นางไม่รู้ว่าตัวเองจมอยู่ในนั้นนานเท่าไหร่ จนกระทั่งวันหนึ่งเหมือนนางจะไปถึงขีดสุดแล้ว ร่างนางสั่นไหวน้อยๆ และลืมตาทั้งสองขึ้น

ภาพที่เข้ามาในดวงตาคือความมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากเทียนไกลๆ ด้านนอกสั่นไหวเท่านั้น เสวียนอี่กะพริบดวงตาที่ง่วงงุน นี่คือเปลวเทียนในฝ่ามือของท่านพ่อ มันสว่างกว่าหลายปีก่อนหน้านี้อยู่บ้าง ดูแล้วอาการเจ็บของเขาคงดีขึ้นแล้วจริงๆ

ไฟกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้นางอย่างรวดเร็ว ไม่นาน เสียงตื่นเต้นของมหาเทพจงซานก็ดังขึ้น “อาอี่ เจ้าฟื้นแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”

เสวียนอี่ลูบผมที่ยุ่งเหยิงของตน แล้วก็ต้องตกใจที่พบว่าเหมือนพวกมันจะยาวขึ้นมาก และพึมพำออกมา “ข้า…ไม่ได้เป็นอะไร”

นางเพียงแค่เหนื่อยแล้วหลับไปเท่านั้น ทำไมถึงได้มานอนที่ตำหนักฉางเซิงได้ แล้วผมนางอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้น

“เจ้าหลับไปสองร้อยปีแล้ว รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่ ยังแน่นหน้าอกอยู่ไหม”

มหาเทพจงซานพิจารณามองนาง แววตาเขาแฝงไปด้วยความกังวล คราวที่นางได้รับบาดเจ็บตอนยังเล็กนางก็หลับไปอย่างนี้หนึ่งร้อยปี คิดไม่ถึงว่าผ่านไปนานหลายปีแล้ว แผลที่หัวใจกลับยังปริขึ้นมาได้อีก

สองร้อยปี! นางตกใจ แล้วกดไปที่หัวใจอย่างไม่รู้ตัว ไม่มีอะไรผิดปกติแล้ว เหมือนปกติทุกอย่าง

การกระทำนี้ทำให้สีหน้าของมหาเทพจงซานแฝงไปด้วยความโมโห “ฉีหนานกล้าให้เจ้าลงไปตัดสัมพันธ์อะไรนั่นให้ตระกูลหวาซวี! นี่มันเหลวไหลสิ้นดี! ตระกูลจู๋อินใจดีขนาดยอมไปช่วยคนอื่นตัดสัมพันธ์ตั้งแต่เมื่อไหร่! ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้บาดแผลในตอนที่เจ้ายังเล็กกำเริบขึ้นมาอีก…”

เขารีบหยุดปากอย่างรู้ดีว่าพูดอะไรไม่สมควรออกไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปมา

เสวียนอี่ถอนหายใจแล้วนั่งตัวตรงบนเตียงพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ ตอนข้ายังเล็กหัวใจได้รับบาดเจ็บ แล้วภายหลังทำไมถึงได้ดีขึ้นได้”

มหาเทพจงซานสีหน้าดำคล้ำ “ฉีหนานบอกเจ้าหรือ เขาชักจะใจกล้าขึ้นทุกวันแล้ว!”

“เป็นข้าเองที่นึกถึงช่วงนั้นขึ้นมาได้” เสวียนอี่มองเขา “ขอท่านพ่อช่วยคลายความสงสัยให้ข้าด้วย”

สีหน้าคล้ำของมหาเทพจงซานค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความแค้น ความเศร้า ความเจ็บปวดและความเสียใจ เขาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อลืมไปแล้ว แล้วจะต้องไปนึกถึงอีกทำไม หัวใจของเจ้าถูกแทงทะลุด้วยเข็มศิลาเพลิงหมื่นปี มีอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์เบื้องบนหรือใต้พิภพเบื้องล่างก็ไม่มีหนทางรักษา วันนั้นสติเจ้าแจ่มใสขึ้นมาอย่างหาได้ยาก และเรียกให้ชิงเยี่ยนพาเจ้าไปยังแม่น้ำชุ่ย ข้าไม่ให้ไป แต่ภายหลังเขากลับแอบมาอุ้มเจ้าไปรอบหนึ่ง คืนวันนั้นเจ้ากลับมาบาดแผลก็เริ่มดีขึ้น พอหลับใหลไปหนึ่งร้อยปีก็หายดีได้ นี่…นี่จะต้องเป็นเพราะมนตร์ของอาชุ่ย…ปกป้องเจ้า…”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็หยาดน้ำตาก็เป็นประกายแล้ว เอ่ยอะไรไม่ออกอีก

มิน่า เขากับฉีหนานถึงไม่รู้เรื่องขนหัวใจหงส์ ดูแล้วชิงเยี่ยนคงจงใจปิดบังไว้

เสวียนอี่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามออกไปราวกับไม่ได้ใส่ใจว่า “ได้ยินว่าขนหัวใจหงส์สามารถรักษาแผลได้ทุกอย่าง ไฉนวันนั้นท่านพ่อไม่ไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลชิงหยาง”

มหาเทพจงซานกล่าว “ต้องไปหามาอยู่แล้ว แต่ว่าเมืองฉยงซางของตระกูลชิงหยางลึกลับมาก พวกเขาไม่มีแขกไปมาหาสู่นานนับหมื่นปี ใครก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ส่วนไหนเหนือไปจากบนสวรรค์ชั้นเก้า ฉีหนานหาอยู่นานก็หาไม่พบ แต่เมื่ออาการของเจ้าดีขึ้น เรื่องนี้จึงปล่อยไป”

เขาไม่อยากคุยเรื่องอดีดที่น่าเศร้าใจเหล่านั้นกับนางมากนัก เก็บความมืดจู๋อินไปแล้วเรียกเทพีรับใช้ให้มาส่งอาหาร เห็นเสวียนอี่กินโจ๊กลงไปกับตาของตัวเองถึงสองถ้วย เห็นสีหน้านางกลับมามีเลือดฝาด จึงได้สั่งให้เทพีรับใช้ยกเตียงของนางกลับไปยังวิมานม่วง

เสวียนอี่มองไปยังหมอกที่ปกคลุมเขาจงซานทั้งเขาจากบนเตียงเถาวัลย์ มันไม่เหมือนกับแต่ก่อน จึงอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “ท่านพ่อซ่อนเขาจงซางไว้หลังม่านหรือ”

เทพีรับใช้กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เรียนองค์หญิง มหาเทพกังวลใจมากเพราะองค์หญิงหลับใหลไม่ได้สติ จึงใช้ม่านผนึกเขาจงซานเอาไว้ไม่ให้ใครมารบกวนได้”

แขก? เขาจงซานมีแขกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เสวียนอี่ส่ายหัวแล้วถามต่อว่า “ฉีหนานไปไหน”

“เรียนองค์หญิง มหาเทพสั่งลงโทษอำมาตย์ฉีหนาน ให้เขาไปหุบเขาหลงเหมียนทุกวัน และเมื่ออยู่ครบหนึ่งชั่วยามแล้วจึงจะสามารถออกมาได้ หากเมื่อไหร่ที่องค์หญิงฟื้นขึ้นมา เขาจึงจะไม่ต้องถูกลงโทษ”

ทำไมถึงได้ชอบส่งฉีหนานไปที่หุบเขาหลงเหมียนอยู่เรื่อย

“ให้เขามาที่วิมานม่วง บอกว่าข้าอยากพบเขา”

คิดไม่ถึงว่าที่นางหลับไปครั้งนี้จะหลับไปถึงสองร้อยปี หิมะภายในวิมานม่วงละลายหมดแล้ว ตอนนี้แสงอาทิตย์ส่องสว่างไสว ใบไม้สีเขียวสลับแดงของต้นตี้หนี่ว์ซางถูกลมพัดจนได้ยินเสียงรื่นหู

เสวียนอี่เดินไปใต้ต้นไม้แล้วแหงนหน้ามองอยู่ครู่หนึ่ง จึงหมุนตัวกลับไปยังห้องนอน กวาดตามองไปรอบๆ พลันเห็นกล่องไม้เล็กๆ มากมายข้างเตียงที่แต่ก่อนไม่มี

นางเปิดกล่องไม้ออกก็อดตะลึงงันไปไม่ได้ ด้านในคือเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่ง มันคือชุดของฝูชางที่นางให้ฉีหนานไปเอามาจากเทพบูรพา คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ได้ส่งกลับคืนไป และยังเก็บไว้ที่นี่แทนนางอีก ด้านล่างเสื้อคลุมมีกระดาษสีขาวที่เขียนอักษรแล้วอยู่แผ่นหนึ่ง เพราะไอบริสุทธิ์ของแดนเทพทำให้กระดาษยังคงใหม่ดังเดิม บนนั้นมีอักษร “หลง” เขียนไว้ด้วยน้ำหมึกสีดำชุ่มสองตัวราวกับเพิ่งเขียนลงไป

นางนิ่งงันมองมันอยู่ครู่หนึ่ง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าร้อนรนดังมาจากทางด้านหลัง ฉีหนานพุ่งเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน พอเห็นนางใบหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำตา เขาไม่สนพิธีการอะไรทั้งนั้นแล้วกอดนางไว้แน่น

“ยังดีที่ท่านฟื้นขึ้นมาแล้ว!” ฉีหนานกล่าวเสียงกล้ำกลืน “ข้าแก่ชราขนาดนี้ ท่านทำให้ข้าตกใจอีก ข้าคงจะรับไม่ไหวแล้ว!”

เสวียนอี่ยิ้มน้อยๆ “ร้องไห้อะไร ข้ายังดีอยู่ นอนไปสองร้อยปี เข้าดูสิเกล็ดมังกรที่คอข้าใกล้จะขึ้นเต็มหมดแล้ว”

นางดึงเขามานั่งบนเก้าอี้ โน้มตัวแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้เขาพลางกล่าวว่า “สองร้อยปีนี้มีเรื่องใหม่ๆ อะไรบ้าง เจ้าเล่าให้ข้าฟังบ้าง อย่าเอาแต่ร้องไห้ รีบเก็บน้ำตาไปเสีย”

ฉีหนานกุมมือของนางเอาไว้อีกแล้วร้องไห้อยู่นานถึงได้สงบลง “เรื่องอื่นไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่บาดแผลของมหาเทพดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และอีกอย่างก็…องค์หญิง มหาเทพส่งจดหมายลาออกให้มหาเทพไป๋เจ๋อแทนองค์หญิงแล้ว…”

“ตกลงแล้วหรือ”

ฉีหนานเงียบไปครู่หนึ่ง “มหาเทพไป๋เจ๋อไม่ได้ตกลง แค่กล่าวว่าองค์หญิงอยากจะอยู่บ้านนานเท่าไหร่ก็อยู่ แต่ไม่ให้ลาออก สองร้อยปีนี้ทุกปีเขาจะส่งหนังสือมาหนึ่งเล่ม ให้องค์หญิงอ่านที่บ้าน”

เขาชี้ไปยังกล่องไม้กล่องหนึ่งใต้ชั้นวางหนังสือที่เพิ่มเข้ามา

เสวียนอี่ไม่ได้ประหลาดใจ “อ้อ เขาเสียดายเกล็ดมังกร”

ฉีหนานนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง เขาลอบมองสีหน้าของนางแล้วลองหยั่งเชิงว่า “อีกอย่างก็คือเทพฝูชาง…”

เห็นนางมีสีหน้าราบเรียบ เขาก็วางใจลงแล้วกล่าวต่อว่า “เทพฝูชางตัดสัมพันธ์แล้ว พอกลับมาแดนเทพวิญญาณก็ก้าวหน้าไปมาก เมื่อหนึ่งร้อยห้าสิบปีก่อนเขาได้หลับใหลพันปี องค์หญิง…ท่านวางใจได้แล้ว” ‘

เสวียนอี่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ “ข้าว่า ข้าจะเรียนวิชาเวทกับท่านพอสักหน่อย ฉีหนานเจ้าว่าอย่างไร”

ฉีหนานตกใจไป องค์หญิงนอนหลับไปสองร้อยปีจนสมองโล่งแล้วหรือ ในที่สุดก็รู้จักเรียกวิชาอะไรบ้าง

“หมัดมวยเองก็ต้องเรียน” เขารีบสร้างเงื่อนไขให้นางสูงขึ้นไปอีก “มีตระกูลจู๋อินที่ไหนบ้างที่ต่อสู้ไม่เป็น!”

เสวียนอี่ขมวดคิ้ว นางคิดถึงท่าทางตัวเองเทียวไปเทียวมา สะบัดแขนออกหมัดยกเท้าเตะทำให้เหล่าเทพทั้งหลายถูกซ้อมราวกับกระสอบแล้ว รู้สึกรับไม่ได้จริงๆ อย่างนี้ชุดสวยๆ นางยังจะใส่ได้หรือ วงแหวนทองบนศีรษะคงสั่นไปมาแล้วร่วงลงมาแน่ ยังจะต้องใส่รองเท้าหุ้มข้ออีก นางเกลียดรองเท้าหุ้มข้อที่สุด

“…ไว้ค่อยว่ากันแล้วกัน” นางฝืนกล่าวออกไป

ฉีหนานถอนหายใจ น้ำเสียงนางรวมๆ แล้วหมายถึง ‘ไม่มีทางเรียนแน่’ เขาถามว่า “องค์หญิง ท่าน…จะกลับไปฟังบรรยายที่ตำหนักหมิงซิ่งหรือไม่”

เสวียนอี่ส่ายหน้าช้าๆ อย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ไปแล้ว อ่านหนังสือที่บ้านนี่แหละ”

ฉีหนานจากไปแล้ว นางก็คลี่ชุดคลุมของฝูชางออก นางถือไว้ในมือและมองอยู่นาน สุดท้ายก็กำแขนเสื้อไว้ด้วยกันราวกับคุ้นชิน อยากจะไปเกี่ยวเอาด้ายบนนั้น

แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้เกี่ยวมัน เพียงแค่พับมันไว้อย่างเรียบร้อยแล้ววางไปด้วยกันกับกระดาษแผ่นนั้นในกล่องใบเล็ก พร้อมดันไปในส่วนที่ลึกที่สุดของลิ้นชัก

เสวียนอี่เอาหนังสือเล่มหนึ่งที่มหาเทพไป๋เจ๋อส่งมาให้ออกมา แล้วเปิดอ่านอย่างตั้งใจ

นับจากวันนี้ นางจะต้องเป็นองค์หญิงที่ขยันขันแข็ง ตั้งใจอ่านหนังสือ ฝึกฝนวิชาเวททุกวัน ความคิดนี้ไม่เลวเลย