บทที่ 37 ฝีมือของจอมยุทธ

ข้าแค่อยาก “กิน” อย่างเงียบๆ

“นายน้อย ระวังจะเป็นกลลวงนะขอรับ”

ในตอนนี้ ชายแก่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังหม่าหยาได้คว้าแขนของหม่าเหยาเอาไว้พร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงที่นุ่มลึก

“อะไร มันจะเป็นเช่นนั้นได้ยังไง มันก็แค่เศษขยะไม่ใช่ผู้บ่มเพาะด้วยซ้ำ มีอะไรที่ข้าต้องกลัวมัน” มีหรือที่ในทีนี้หม่าเหยาจะคิดฟังคำแนะนำของใครอีก เขาเพียงแค่ต้องการที่ระบายอารมณ์ และนี่ทำให้เขาเดินพุ่งตรงเข้าไปในตรอกด้วยฝีเท้าที่ดังลั่น

ชายแก่ที่เห็นก็ทำได้เพียงส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา

หลังจากที่เห็นว่าเจียงหยวนยังคงไม่เห็นตน นี่ทำให้หม่าเหยาเดือดดาลจนตะโกนออกไปดังลั่น

“เจียงหยวน ส่งผลจันทรามาให้ข้าแล้วคุกเข่าขอขมาข้าเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่สมกับการเป็นอัจฉริยะแห่งเมืองเทียนหยางในตอนนี้”

เจียงหยวนที่ได้ยินก็เผยรอยยิ้มละไม ก่อนจะจูงมือของเฉียวเว่ยไว้ที่ด้านหลังของตนแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โอ้ มาแล้วนี่”

“ระวังตัวนะเจ้าคะนายน้อย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ท่าทีของชายแกเปลี่ยนไปในทันที เขารีบวิ่งเข้าไปดีงหม่าเหยาเอาไว้หมายจะดึงเขาออกไปจากตรอกนี้ให้เร็วที่สุด

แต่มันก็ยังช้าเกินไป

“ผนึก”

หลังจากพูดออกมา ทั่วทั้งตรอกก็มีชั้นสีเหลืองอมน้ำตาลของพลังวิญญาณห่อหุ้มเอาไว้ จนไม่ว่าใครที่มองจากด้านนอกก็เห็นเพียงแค่พลังวิญญาณสีเหลืองที่อบอวลเท่านั้น

“พลังวิญญาณหนาแน่นนัก นี่ไม่ใช่พลังของผู้ที่อยู่ในระดับนักรบเป็นแน่”

ชายแก่ไม่กล้าที่จะวู่วาม ร่างกายของเขาสั่นไหวไปมา ก่อนจะที่ฝืนตัวเองให้หันหลังกลับได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เจียงหยวนได้หายไปจากจุดเดิมไปแล้ว เหลือเพียงเฉียวเว่ยที่อยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น

“ไม่เลว เจ้าคิดได้ถูกแล้วว่ามันคือกลลวง และนี่คือรางวัลของเจ้า”

ในตอนนี้ เสียงที่ระรื่นหูได้ดังขึ้นที่ด้านหลังของชายแก่ และก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสก็ได้เกิดขึ้นผ่านอกของเขา

เมื่อชายแก่ก้มหน้าลง เขาเห็นเพียงกระบี่ยาวสามนิ้วที่ทะลวงอกของตัวเองออกมา

“นะ ระรีบ…”

*ตุ๊บ*

ร่างของชายแก่ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น พร้อมกับไร้ชีพจรแห่งชีวิต

“กะแก…แกบ่มเพาะได้แล้ว…”

“ถ้าใช่แล้วยังไงล่ะ”

เจียงหยวนสบถออกมาทีหนึ่งพร้อมฝ่ามือขวาของเขาที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับมีดที่ฟาดฟันตีท้ายทอยของหม่าเหยาแล้วสลบไป

“ตอนนี้ ข้าคงจะต้องไปหาไอ้แก่สองคนนั่นเพื่อทำแต้มสักหน่อยแหะ”

….

ภายใต้การรุมล้อมของคนกลุ่มหนึ่ง เจียงหวู่ที่อดรนทนไม่ไหวอีกได้คำรามลั่นถามออกมาราวกับไม่พอใจในสิ่งที่ได้พบเห็น “คนของกลุ่มหัวเสือรึ ทำไมพวกเจ้าถึงไปช่วยเจียงเหวิ่นกัน”

เจียงหลี่ที่สงสัยไม่ต่างกันได้คำรามลั่นออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “หลิวเฟิงรึ ไม่ใช่ว่าข้าจ่ายเงินแกให้ไปฆ่าเจียงหยวนไม่ใช่รึไง ห้ะ”

หลิวเฟิงที่ได้ยินก็หัวเราะลั่นก่อนจะพูดตอบ “เฮ้ออออ เศษขยะชิ้นสองชิ้นอย่างพวกเจ้ากลับกล้าที่จะหาเรื่องหัวหน้าของพวกข้าเนี่ยนะ”

“พี่ชายกลุ่มหัวเสือ ขอบคุณพวกท่านในวันนี้มากจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องแล้วล่ะ”

“ท่านพ่อ เป็นข้าเองที่ขอให้หลิวเฟิงมาคุ้นกันท่าน”

เป็นตอนนี้ ร่างของหม่าเหยาได้เดินออกมาด้วยสภาพประหลาด ก่อนที่จะมีอีกร่างหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังได้เดินออกมา

“หยวนรึ”

“เจียงหยวน?”

ตอนนี้คนทั้งสามไม่คิดว่าเจียงหยวนจะออกมาในเวลาแบบนี้

“อะไรกัน ข้าไม่คิดว่าขยะเช่นแกจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้”

เจียงหยวนที่ได้ยินก็จ้องมองอย่างดูแคลน ก่อนจะใช้มือของเขาที่คว้าจับหม่าเหยาเอาไว้เขวี้ยงจนหม่าเหยาไปกองกับพื้น ก่อนที่จะถอนพลังวิญญาณที่ฝังไว้ในร่างของหม่าเหยาออกมา

“อ้ะ อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า ข้อจะยอมให้ทุกอย่างกับเจ้า”

เมื่อหม่าเหยาได้สติและเห็นท่าทางของเจียงหยวนในตอนนี้ก็รีบลุกลี้ลุกลนออกมาในทันที

เมื่อเทียบกับอีกสองคนแล้ว เจียงเหวิ่นที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นน้อยที่สุดก็ได้เร่งถามออกมาในทันที “นายน้อยตระกูลหม่า..หม่าเหยารึ เจ้าไปทำอะไรถึงได้ไปอยู่กับหยวนกัน”

“เจียงหวู่และเจียงหลี่มันคิดใช้ตระกูลหวังเป็นฉากบังหน้าด้วยความร่วมมือกับของนายน้อยตระกูลหม่า หม่าเหยาต้องการตำแหน่งของท่านพ่อ”

เจียงหยวนพูดออกมาโดยไม่เว้นช่วงลมหายใจก่อนจะจับจ้องไปที่เจียงหวู่และเจียงหลี่ด้วยสายตาที่เย็นยะเยียบ

เมื่อได้ยินแบบนี้ เจียงเหวิ่นก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวจนพูดออกมา

“เจียงหวู่ เจียงหลี่ ข้าไม่เคยคิดว่าพวกเจ้าอยู่ต่ำกว่าข้าเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้ากลับไม่พอใจตำแหน่งที่ข้ามอบให้รวมหัวกับคนในคนนอกเพื่อโค่นล้มข้าเนี่ยนะ ข้าไม่เคยคิดจริงๆว่าพวกแกสองคนจะบ้ายศถาได้ถึงขนาดนี้”

“ลูกพี่ อยากให้พวกข้าลงมือฆ่าไอ้ขยะสองตัวนี่เลยหรือไม่”

หลิวเฟิงที่เห็นท่าทางของเจียงหยวนในตอนนี้ก็รีบเสนอตัวขึ้นมา

เจียงหยวนส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดตอบอย่างอารมณ์ดี “ไม่ต้อง พวกมันยังพอมีประโยชน์อยู่ มัดพวกมันเอาไว้รวมถึงหม่าเหยาด้วย แล้วคุมตัวพวกมันกลับตระกูลเจียงไป”