ตอนที่ 211 ละครเวทีสั้น!

“ก็เป็นเพราะตอนแรกฉันรู้จักพวกนายก่อนไง ฉันไม่ได้สนิทกับคนอื่นสักหน่อย จริงไหม ฉินหมิง นายไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ให้นายมาช่วยฟรี ๆ อยู่แล้ว หลังจากจบเรื่องนี้ฉันจะตุ๋นกระต่ายให้นายกิน ฝีมือการทำอาหารของฉัน บอกเลยว่าทำให้พวกนายลืมไม่ลงเลยล่ะ!”

ฉินหมิงถูกจ้าวเหวินเทาใช้คำพูดหยอกล้อจนหลุดขำ “นายนี่จริง ๆ เลยนะ เฮ้อ! ก็ได้ แต่ฉันเขียนบทไม่เป็นนะ เกาเสียงเองก็ไม่ค่อยถนัดเหมือนกัน ละครที่พวกเราเล่นเป็นละครเก่า นายให้พวกเรามาแสดงเรื่องใหม่ ระยะเวลาสั้น ๆ แบบนี้ถ้าแสดงออกมาไม่ได้จะทำยังไง? อีกอย่าง พรุ่งนี้นายจะไม่ให้กระต่ายของนายขึ้นแสดงเรื่องฉางเอ๋อเหินจันทราแล้วเหรอ?”

“ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยวางแผนให้เอง พวกนายแค่รับปากก็พอแล้ว พรุ่งนี้กระต่ายของฉันคงไม่ขึ้นแสดงแล้ว รอให้ถึงบทของเราค่อยออกมา แล้วก็อะไรนะ กระต่ายของฉันที่เอาออกมาแสดง หลังจากแสดงที่หมู่บ้านพวกเราแล้ว ที่หมู่บ้านอื่นก็ต้องแสดงด้วยนะ” จ้าวเหวินเทาเตือน

“เรื่องนี้นายต้องไปคุยกับหัวหน้าคณะพวกเรานะ ฉันตัดสินใจไม่ได้” ฉินหมิงกล่าว

“ไม่มีปัญหา ตอนนี้พวกเรามาคุยเรื่องเลี้ยงกระต่ายของพวกเรากัน นายฟังดูแล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะแสดงยังไง” จ้าวเหวินเทากล่าว

ฉินหมิงชะงัก พูดขนาดนี้แล้ว เอาเถอะ ฟังก็ฟัง

จ้าวเหวินเทาจึงเริ่มเล่าเรื่อง เป็นเพราะนี่คือประสบการณ์จากตัวเขาเอง เมื่อเล่าให้ฟังจึงไม่ติดขัดอะไรเลย เขาเป็นคนมีวาทศิลป์ จึงเล่าจนการแสดงช่วงเช้าจบลง และเกาเสียงก็กลับมาจากการแสดง

“ฮ่า ๆๆ!”

ฉินหมิงถึงกับหลุดหัวเราะกับเรื่องที่จ้าวเหวินเทาเล่าให้ฟัง เกาเสียงเข้ามาจึงได้ยินเสียงของฉินหมิงที่กำลังหัวเราะพอดี

“พวกนายกำลังคุยอะไรกันอยู่ มีความสุขขนาดนี้เลย?” เกาเสียงพูดด้วยความสงสัย

จ้าวเหวินเทาหันกลับมามองเกาเสียง ขนาดเจ้าหมอนี่แค่ถอดเสื้อผ้าแต่ยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางออกก็ยังมีใบหน้างดงามขนาดนั้น ผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตางามล่มบ้านล่มเมืองแบบนี้จะให้พวกผู้หญิงเหล่านั้นอยู่กันอย่างไรเนี่ย?

“ฉันจะบอกอะไรให้นะสหายเกา นายเหมือนกับตัวละครที่นายกำลังแสดงอยู่เลย เป็นความงามตามธรรมชาติอันไร้เทียบเทียมจริงๆ” จ้าวเหวินเทาพูดหยอกล้ออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหนึ่งประโยค

เกาเสียงกลอกตาใส่เขา แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูคล้ายกับกำลังขยิบตา “สรุปพวกนายคุยอะไรกันอยู่ล่ะ?”

ฉินหมิงจึงรีบพูดเรื่องนี้หนึ่งรอบ

เกาเสียงชะงักกับการถ่ายละครเรื่องใหม่ เขาเหล่ตามองจ้าวเหวินเทา “นายเข้าใจเรื่องละครด้วยเหรอ?”

“ไม่เข้าใจ!” จ้าวเหวินเทารีบส่ายหน้า

“ไม่เข้าใจแล้วนายจะทำอะไรได้เนี่ย?” เกาเสียงรู้สึกหมดคำพูด

“แต่ฉันเข้าใจเรื่องกระต่ายไง” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างมั่นใจ

ไม่เพียงแค่ฉินหมิง เกาเสียงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเช่นกัน

“นายนี่น่าสนใจจริง ๆ เลยนะ นายเข้าใจเรื่องกระต่ายแล้วเกี่ยวอะไรกับละคร?” เกาเสียงหัวเราะอยู่ครึ่งค่อนวัน

“ก็เรื่องที่ฉันถ่ายคือละครกระต่ายไง ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ?” จ้าวเหวินเทากล่าว “อีกอย่าง ละครเก่าก็เป็นเรื่องเล่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ละครใหม่ก็เป็นเรื่องเล่า ไม่เหมือนกันตรงไหน?”

“แล้วบทร้องล่ะ?” เกาเสียงย้อนถาม

“บทร้องคิดไม่ออกก็ร้องให้มันน้อย ๆ ก็ได้ ใช้วิธีพูดแทนสิ” จ้าวเหวินเทากล่าว

ฉินหมิงตบหน้าขา “ฉันรู้แล้ว นายก็ถ่ายแบบแสดงสลับร้องได้นี่นา!”

“แสดงสลับร้องคนน้อยเกินไป ไม่สนุกหรอก” จ้าวเหวินเทาค้าน

เขารู้วิธีแสดงสลับร้อง และเคยดูมาก่อน แต่รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ได้เข้ากับสิ่งที่ตนเองต้องการ

“พวกนายอยู่ในกรอบมากเกินไป ถ้าร้องได้ก็ร้อง ร้องไม่ได้ก็พูด แสดงเรื่องเลี้ยงกระต่ายแล้วทำให้ร่ำรวยได้ ใช้วิธีที่สนุกแสดงออกมาก็พอแล้ว!” จ้าวเหวินเทาพูดได้ชัดเจนมาก

หากเปลี่ยนเป็นอีกสามสี่ปีให้หลัง ทุกคนก็จะเข้าใจแล้วว่าต้องแสดงออกอย่างไร การแสดงละครเวทีสั้นอย่างไรล่ะ!

แต่นี่ไม่ใช่สามสี่ปีให้หลัง ผู้คนในตอนนี้จึงยังไม่รู้ว่าอะไรคือการแสดงละครเวทีแบบสั้น ๆ แต่ที่รู้ก็คือการแสดงตลกและละครนั้นแตกต่างกัน เกาเสียงและฉินหมิงยังยากที่จะทำได้

ยังดีที่ผู้คนไม่รู้ว่าอะไรคือการแสดงละครเวทีสั้น จึงไม่มีการเปรียบเทียบ ทั้งสองจึงกล้าทำโดยที่ไม่มีความรู้ ผู้ชมก็ไม่จับผิดด้วย หลังจากทะเลาะกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็แต่งบทละครขึ้นมาได้หนึ่งเรื่อง…กระต่ายสื่อรัก

ชื่อนี้ไม่ได้หวือหวาอะไร จ้าวเหวินเทาเองก็ไม่ได้รู้สึกพึงพอใจเท่าไรนัก

แต่ทั้งสองคนบอกว่าเข้ากับเนื้อเรื่อง จึงตั้งชื่อแบบนี้ จ้าวเหวินเทาก็ทำได้เพียงแค่ตอบตกลง ทั้งสองคนจึงเริ่มซักซ้อม

เนื้อเรื่องไม่ได้มีความซับซ้อน นอกจากพวกเขาสองคนที่เป็นนักแสดงหลัก เพิ่มนักแสดงแต่งตัวข้ามเพศอีกสองคนก็ได้แล้ว

จ้าวเหวินเทาดูพวกเขาซ้อมกันสองรอบ ตอนแรกเริ่มก็ยังดี น่าสนใจมาก แต่เขาไม่ได้มีความอดทนมากพอที่จะดูซ้ำ ๆ หลายรอบ จึงลุกขึ้นขอตัวกลับบ้าน

เย่ฉูฉู่กำลังอุ้มลูกน้อยดูงิ้วอยู่ พี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเย่ก็มาด้วย เธอจึงเรียกให้ไปนั่งที่บ้าน

คุณพ่อเย่และพี่ชายทั้งสองคนขึ้นไปเก็บฟืนแล้ว บอกว่าช่วงค่ำค่อยมาดูภาพยนตร์

“เมื่อคืนทำไมถึงไม่มาล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับรินน้ำและนำผลไม้แห้งออกมา

“ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว ฉูฉู่ พวกเราอยากมาดูงิ้ว ก็เลยแวะเวียนมาหาเธอด้วย” พี่สะใภ้ใหญ่เย่กล่าว

“นั่นสิ เธอสร้างบ้านใหม่พวกเรายังไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลย” พี่สะใภ้รองเย่ที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวพลางกวาดสำรวจบ้าน “ยุ่งทั้งวัน ไม่มีเวลาเลย บ้านหลังนี้ของเธอดีจริง ๆ!”

พี่สะใภ้ทั้งสองมีที่ดินเยอะ สร้างบ้าน ทั้งยังมีลูกอีก ทั้งปีนี้จึงยุ่งจนไม่มีเวลาได้สนใจอะไร

“ดีน่ะมันก็ดีอยู่หรอกค่ะ แต่ก็ติดหนี้ก้อนโตอยู่เหมือนกัน ดื่มน้ำอุ่นทำร่างกายให้อุ่นก่อนแล้วค่อยไปนะคะ ใช้เวลาไม่นานหรอก” เย่ฉูฉู่อุ้มลูกมานั่งบนเตียงเตา เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนเที่ยงพวกพี่อยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่สิคะ”

“ครั้งนี้ไว้ก่อนน่ะ ออกจากบ้านนานไม่ได้” พี่สะใภ้ใหญ่เย่กล่าว “ทั้งลูกทั้งผู้ใหญ่ ไหนจะสัตว์ที่เลี้ยงไว้ก็ต้องกลับไปดูอีก”

“ช่วงบ่ายพวกเราจะกลับมาใหม่ ที่นี่อยู่ไม่ไกล เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว” พี่สะใภ้รองเย่กล่าว

เย่ฉูฉู่เองก็ไม่ได้โน้มน้าวใจพวกเธออีก เธอทราบดีว่าที่บ้านของพี่สะใภ้สองคนเลี้ยงหมูและไก่ด้วย

พี่ชายขึ้นเขาไปขนฟืนกลับมาก็เหนื่อยมากแล้ว จึงไม่สะดวกที่จะทำอาหารเอง ไหนจะมีลูกและคุณพ่อเย่อีก คุณแม่เย่ก็ไม่ได้อยู่บ้าน เรื่องทั้งหมดจึงตกเป็นของพี่สะใภ้ทั้งสองที่ต้องช่วยกันดูแล

ผู้หญิงภายในชนบทหากแต่งงานแล้ว ร่างกายก็จะผูกติดอยู่ในบ้านจริง ๆ ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย

หลังจากดื่มถังสุ่ยไปสองถ้วย พี่สะใภ้ทั้งสองคนก็ไปดูงิ้ว

เย่ฉูฉู่คิดว่ากว่าพี่สะใภ้จะได้มา ต่อให้ไม่ได้อยู่รับประทานอาหารด้วยกัน แต่ก็ควรทำอะไรให้พวกพี่สะใภ้นำติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย จึงไม่ได้ตามไปด้วย

เธอวางลูกไว้บนรถเข็นเด็ก จากนั้นก็วางในตำแหน่งที่เธอมองเห็นและเริ่มทำอาหาร

รถเข็นนี้เด็กจ้าวเหวินเทาเป็นคนไปซื้อมาจากในเมือง ของชิ้นนี้ไม่เลวเลย ออกไปเดินข้างนอกก็แค่วางลูกไว้ในรถแล้วเข็นก็ได้แล้ว ไม่ต้องอุ้มให้ปวดแขนปวดเอวด้วย

ปรากฏว่าของชิ้นนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ทั้งสามารถจับตาดูลูกได้ตลอดเวลา และทำงานด้วยมือที่ว่างทั้งสองข้างได้ด้วย แถมลูกก็ไม่ได้ร้องไห้งอแง

เย่ฉูฉู่ครุ่นคิด เธออบแป้งทอดหวานน้ำตาลห้าหกชิ้นให้พี่สะใภ้เอากลับไป พวกเธอกลับไปต้มโจ๊กกินคู่ผักดองเค็มก็ได้แล้ว ประหยัดเวลาทำงานด้วย

จ้าวเหวินเทากลับมา เย่ฉูฉู่ก็นำแป้งทอดหวานออกมาแล้ว

“ภรรยา ตอนเที่ยงกินแป้งทอดหวานเหรอ?” จ้าวเหวินเทาล้างมือก่อน จากนั้นก็เดินไปอุ้มเสี่ยวไป๋หยางขึ้นมาจากรถเข็นและยกขึ้นสูงพลางเอ่ยถาม

“พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองของฉันมาดูงิ้ว พวกพี่สะใภ้ไม่ว่างมานั่งกินข้าวที่นี่ ฉันก็เลยอบแป้งทอดหวานไว้ห้าหกชิ้นว่าจะให้พวกหล่อนเอากลับไป คุณกลับมาพอดีเลย ช่วยดูลูกให้หน่อยนะคะ ฉันจะเอาไปให้พี่สะใภ้ก่อน ฉันกลัวว่าถ้าไปสายกว่านี้พวกพี่สะใภ้อาจจะกลับบ้านไปแล้ว” เย่ฉูฉู่พูดพลางหยิบจัดแป้งทอดหวาน

“ได้ คุณไปเถอะ เดี๋ยวผมดูลูกเอง เสี่ยวไป๋หยาง คิดถึงพ่อไหมลูก?” จ้าวเหวินเทาหอมเจ้าลูกชายทีหนึ่ง

เสี่ยวไป๋หยางยิ้มพร้อมกับโบกแขนน้อย ๆ ของเขา

เด็กคนนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลเลย เพราะเขาแทบจะไม่ร้องไห้ แต่เมื่อเห็นเย่ฉูฉู่เดินออกไปพร้อมกับแป้งทอดหวาน ก็ยกนิ้วน้อยๆ ขึ้นมาชี้พลางส่งเสียงร้องอ้อแอ้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขอให้ทำละครสั้นโฆษณากระต่ายได้สำเร็จสมปรารถนานะเหวินเทา อุตส่าห์ทุ่มเทขนาดนี้แล้ว

ไหหม่า(海馬)