ตอนที่ 212 จ้าวเหวินเทาผู้เป็นมิตร

“แม่เอาแป้งทอดหวานไปส่งให้ป้า ๆ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

จ้าวเหวินเทาพูดกับลูกชาย เมื่อดูเวลาก็พบว่าถึงเวลาทำอาหารเที่ยงแล้ว เขาจึงวางลูกไว้ในรถเข็นและถลกแขนเสื้อขึ้น

ที่ครัวยังมีแป้งเหลืออยู่ แต่การทำเล่าปิ่งนั้นยุ่งยากเกินไป เขาจึงนวดแป้งทำบะหมี่น้ำพะโล้ใส่ไข่และต้นหอม หยิบแตงกวาออกมาสองผลจากห้องใต้ดิน ใส่เครื่องปรุงรสและกระเทียมสับ จากนั้นก็หั่นผักกาดดองฝอยหนึ่งจาน

จนกระทั่งเย่ฉูฉู่กลับมา อาหารก็ทำเสร็จแล้ว

“คุณทำเร็วมากเลยนะคะเนี่ย” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน ดูซะก่อนว่าสามีของคุณเป็นใคร” จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ภรรยา หิวแล้วใช่ไหม รีบกินสิ พี่สะใภ้คุณกลับไปแล้วเหรอ”

“ตอนที่ฉันไปถึง พวกพี่สะใภ้ก็กำลังจะกลับพอดี ก็เลยถือแป้งทอดหวานกลับไปแล้ว ไม่มีเวลาแม้แต่จะดูงิ้วเลยจริง ๆ” เย่ฉูฉู่อุ้มลูกขึ้นมาให้นม “พวกพี่สะใภ้บอกว่าจะมาใหม่ตอนบ่าย ไม่รู้ว่าจะได้มาหรือเปล่า ตอนนี้ยุ่งอยู่กับการขนฟืนเพื่อใช้ช่วงฤดูหนาวน่ะค่ะ”

จ้าวเหวินเทาถาม “ที่ดินของพี่ชายคุณก็มีตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ฟางข้าวไม่พอเผาเหรอ? มีเตียงเตาหนึ่งเตียงจะใช้ฟืนสักเท่าไรกันเชียว?”

“ต่อให้มีฟางข้าวเพียงพอ แต่มีฟืนมากสักหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ” เย่ฉูฉู่กล่าว “ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ต้องไปหยิบยืมฟืนจากคนอื่นมาเผา แบบนั้นคงรู้สึกไม่ดีแย่เลย”

“รู้สึกไม่ดีอะไรกัน ถึงเวลาก็คืนไปสิ” จ้าวเหวินเทาไม่อายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขา “ถ้าไม่ยืมได้ก็ไม่ต้องยืม ยืมแล้วเดี๋ยวก็เป็นหนี้บุญคุณกันอีก”

“ภรรยา เรื่องนี้คุณพูดไม่ถูกนะ สิ่งที่ต้องการก็คือบุญคุณนี่แหละ เป็นเพราะแบบนี้ถึงจะมีความสัมพันธ์ต่อกันไง มันก็มีคำพูดหนึ่งไม่ใช่เหรอที่บอกว่าญาติพี่น้องต้องไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ ไม่เช่นนั้นก็จะห่างเหินต่อกัน แต่จะไปมาหาสู่ยังไงล่ะ ก็ต้องหยิบยืมและใช้คืนนี่แหละ ชดเชยหนี้บุญคุณต่อกันไง!” จ้าวเหวินเทากล่าว

เขาเองก็ทำแบบนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะอ้าปากขอร้องคนอื่น เมื่อเป็นหนี้บุญคุณแล้ว จากนั้นเขาก็จะคืนหนี้บุญคุณนี้ แบบนี้การไปมาหาสู่กันของทั้งสองฝั่งก็จะเกิดความคุ้นเคยด้วย

จากนั้นก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แบ่งปันข้อมูลข่าวสารและร่ำรวยไปด้วยกัน

ดังนั้นในสายตาของจ้าวเหวินเทา หนี้บุญคุณสามารถขยายเป็นวงกว้างกลายเป็นเครือข่ายของตนเองได้ เป็นวิธีการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด

เย่ฉูฉู่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบคุณหรอกนะคะ มีคนส่วนหนึ่งเหมือนกันที่คิดว่าการเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นถือเป็นภาระ” สามีเธอเป็นคนใจถึงและเป็นมิตร จึงทำให้เขาไม่ได้ผูกมัดอยู่กับอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นเธอจึงถามว่า “แล้วตอนเช้าคุณไปไหนมาเหรอคะ? ไม่เห็นคุณเลย”

“ผมไปหาพวกเขาเพื่อคุยเรื่องโฆษณากระต่ายมา” จ้าวเหวินเทาพูดถึงเรื่องกระต่ายสื่อรัก

เย่ฉูฉู่อดไม่ได้ที่จะขำพรืดออกมา “กระต่ายสื่อรัก? ทำไมถึงคิดชื่อนี้ออกมาได้คะเนี่ย?”

“ผมไม่ได้เป็นคนคิดชื่อนี้ มันเป็นชื่อที่สองคนนั้นคิดต่างหากล่ะ” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยท่าทางหดหู่ “ผมบอกให้เปลี่ยนชื่อใหม่ พวกเขาก็บอกว่าชื่อนี้เหมาะกับเนื้อเรื่องแล้ว ก็เลยใช้ชื่อนี้ ผมเลยคิดว่าอยากจะใช้ก็ใช้ไปเถอะ ถึงยังไงก็เป็นแค่ชื่อ ขืนยังฝืนเปลี่ยนชื่อเรื่องคงทำให้พวกเขาหมดความกระตือรือร้น”

เย่ฉูฉู่จึงรีบถามว่าเป็นเรื่องราวของอะไร จ้าวเหวินเทาจึงพูดให้เธอฟังแบบง่าย ๆ

“ความหมายก็ประมาณนี้แหละ แต่ก็ยังต้องเสริมเติมแต่งอีก ต้องมีจุดพีคของเรื่องอะไรพวกนั้นด้วย ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน รอพวกเขาแต่งเสร็จผมค่อยไปดู ถ้าไม่ดีก็ให้พวกเขาเปลี่ยน”

“แสดงพรุ่งนี้เหรอคะ? จะทันไหม?” เย่ฉูฉู่ถาม

“ไม่ได้แสดงพรุ่งนี้หรอก หลังจากการแสดงของหมู่บ้านเราจบลงถึงจะเพิ่มการแสดงเข้ามาอีกหนึ่งเรื่อง” จ้าวเหวินเทากล่าว

“แบบนั้นก็ดีนะคะ ถึงตอนนั้นทุกคนก็ขายพืชผลเสร็จแล้ว คนที่มาดูก็เยอะขึ้นด้วย ถ้าพวกคุณแสดงได้ดี คิดว่าผลลัพธ์คงไม่เลวเลย” เย่ฉูฉู่กล่าว เมื่อเห็นว่าลูกหลับแล้วจึงปล่อยให้เขานอน และเดินมารับประทานอาหาร

“ผมเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” จ้าวเหวินเทานำบะหมี่มาให้เธอ เขาราดน้ำพะโล้ลงไปพลางกล่าว

“อืม ฝีมือดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะคะ ถือว่าอร่อยเลย” เย่ฉูฉู่รับประทานไปหนึ่งคำ ก็ชื่นชมโดยไม่ได้รู้สึกตระหนี่ถี่เหนียวแต่อย่างใด

จ้าวเหวินเทาคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข “ภรรยาชอบกินก็ดีแล้ว กินเยอะ ๆ นะ ตอนบ่ายคุณไปดูงิ้วสิ เดี๋ยวผมดูลูกให้เอง”

“ตอนบ่ายคุณไม่ไปดูพวกเขาซ้อมเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม

“ไม่ไปแล้ว การซ้อมไม่ได้น่าสนใจอะไรเลย ซ้อมซ้ำ ๆ ไม่หยุด ผมดูไปสองรอบก็เบื่อแล้ว” จ้าวเหวินเทากัดแตงกวาหนึ่งคำ “ผมค้นพบแล้วล่ะว่าตัวเองคงทำได้แค่วิ่งออกไปค้าขาย ให้ผมทำอย่างอื่นคงทำไม่ได้จริง ๆ ผมไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น เกาเสียงบอกว่า เวลาพวกเขาแสดงละครต้องทำซ้ำ ๆ ไม่หยุดเลย แถมยังต้องทำซ้ำ ๆ ทุกวันด้วย สิบปีเหมือนหนึ่งวัน ผมได้ยินแล้วก็ปวดหัวไปหมด ถ้าผมทำแบบนั้นคงได้เป็นบ้าแน่”

เย่ฉูฉู่หัวเราะ “คุณก็ค้าขายสิบปีเหมือนหนึ่งวันไม่ใช่เหรอคะ? ตื่นเช้ากลับดึก คุณเองก็มีความอดทนมากเหมือนกัน อันที่จริงมันอยู่ที่ว่าคุณชอบหรือเปล่า ถ้าชอบไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าไม่ชอบไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ”

จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “ภรรยา คุณพูดมีเหตุผลนะ แต่ผมไม่ได้สิบปีเหมือนหนึ่งวันสักหน่อย ผมค้าขายได้แค่ปีเดียวเอง”

“ฉันแค่เปรียบเปรย ไม่ต้องไปสนใจรายละเอียดพวกนั้นหรอกค่ะ” เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขา

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ภรรยา ผมผิดไปแล้ว มา กินแตงกวาดับความโกรธนะ”

เย่ฉูฉู่ตำหนิเขาด้วยสายตา…จริง ๆ เลย

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ผมเข้าใจความหมายคุณนะ พวกเขาชอบถึงได้มีความอดทนแบบนั้น แต่เป็นเพราะผมไม่ชอบก็เลยไม่มีความอดทน”

“คนเราขอแค่ชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่รู้สึกเบื่อหรอกค่ะ” เย่ฉูฉู่นึกถึงตอนที่ตนวาดภาพ เธอเองก็วาดมานานแล้วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อเลย

จ้าวเหวินเทาครุ่นคิดแล้วพูด “ภรรยา อันที่จริงผมคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ชอบค้าขายหรอก ผมชอบค้าขายเพราะได้เงินเร็ว ผมชอบอะไรที่เร็ว ๆ ผมเป็นคนใจร้อนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็อยากทำให้เสร็จเร็ว ๆ หาเงินก็เหมือนกัน นอกจากค้าขายแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะทำเงินได้เร็วไปกว่านี้แล้ว”

“ทำไมจะไม่มีล่ะคะ อย่างเช่นเล่นพนันไง?” เย่ฉูฉู่มองไปที่เขา

จ้าวเหวินเทานึกถึงประสบการณ์ที่เขาไปเล่นพนันปีที่แล้ว ก็รีบส่ายหน้า “สถานที่แบบนั้นทุบตีให้ตายผมก็ไม่ไปแล้ว น่ารังเกียจจะตาย!”

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ซอมซ่อ เขาคิดว่าบ้านสำหรับใช้เล่นพนันที่หม่าเสี่ยวลิ่วพาไปนั้นช่างสกปรกนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่ได้มาอยู่บ้านใหม่ แค่คิดก็รู้สึกรับไม่ไหวแล้ว

เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วถ้าเป็นสถานที่ที่สะอาดสะอ้านล่ะ?”

“ก็ไม่ไปอยู่ดี ผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น” จ้าวเหวินเทาพูดเด็ดขาดทันที

เย่ฉูฉู่รู้สึกพึงพอใจ ถึงอย่างไรก็ต้องเคาะ ๆ สักหน่อย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่ฉูฉู่ก็ไปดูงิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมาให้นมลูกอีกครั้ง

จ้าวเหวินเทาอยู่บ้านเลี้ยงเสี่ยวไป๋หยาง ระหว่างนั้นก็เก็บกวาดรังกระต่ายและทำความสะอาดบ้านไปด้วย โดยเสี่ยวไป๋หยางมองเขาทำงานอยู่ตรงนั้น และยังมีลิงน้อยที่นั่งยอง ๆ มองจากทางนั้นด้วย

หนึ่งคนและหนึ่งลิง สองผู้คุมตัวน้อย!

ตอนบ่ายพี่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเย่ไม่ได้มา ช่วงค่ำถึงจะมาดูภาพยนตร์พร้อมกับคุณพ่อเย่และพี่ชายทั้งสองคน เย่ฉูฉู่ถามไถ่แล้วจึงทราบว่ายุ่งอยู่กับการขนฟืน

ในแต่ละวันผู้ชายตระกูลเย่ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคลุมเครือแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะงานอะไรก็ทำหมดทุกอย่าง

“นี่ถ้าฉายภาพยนตร์ตอนฤดูร้อนก็คงจะดีนะ” พี่สะใภ้รองเย่นั่งลงแล้วจึงพูดขึ้น “อากาศตอนนี้หนาวไปหน่อย”

พี่สะใภ้รองจ้าวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กล่าว “ฤดูร้อนจะไปมีเวลาดูที่ไหนกัน ต่างก็ยุ่งอยู่กับการทำไร่ทำสวนกันทั้งนั้น”

“ก็จริง คนที่ทำไร่ทำสวนมีเวลาว่างแค่ไม่กี่วันต่อปีหรอก นี่ดูจบก็ต้องไปแปรรูปอาหารอีก แถมยังต้องไปนึ่งอาหารแห้งด้วย” คุณแม่จ้าวกล่าว ทั้งยังแอบรู้สึกเสียดาย “น่าเสียดายที่แม่ยายไปเมืองหลวงแล้ว ไม่งั้นฉันคงไปชวนให้เธอมาดูด้วยกันแล้วล่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คารวะในแนวคิดหาคอนเนคชั่นของเหวินเทาเลยค่ะ ลักษณะแบบนี้ทำมาค้าขายรุ่งแน่นอน

ผู้แปลมีเรื่องอยากจะบอกค่ะ​ ตอนนี้ผู้แปลมีผลงานเรื่องใหม่ล่าสุดออกมาแล้วนะคะ​ ชื่อเรื่อง​ ‘อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว’ สามารถอ่านได้ทางเว็บ​ enjoy book และเว็บอื่นๆ​ ที่ลงประจำ​ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคุณหมอสาวยุคปัจจุบัน​ที่ทะลุมิติ​ไปเป็นหมอหญิงยุคโบราณและต้องตามสืบความเป็นมาของเจ้าของร่างและตามหาพ่อของลูกติดเจ้าของร่าง​ ซึ่งเรื่องนี้ถูกนำไปทำเป็นซีรีส์ฉายทาง​ youku และ​ monomax ในชื่อ​ ‘อลหม่านรักหมอหญิงชิงลั่ว’ ด้วยค่ะ​ ขอบอกว่าสนุกมากๆ​ อย่างไรก็ฝากติดตามผลงานใหม่ของผู้แปลด้วยนะคะ

ไหหม่า(海馬)