ตอนที่ 213 กระต่ายของข้าวซานถุน

เย่ฉูฉู่ได้ยินถึงกับหัวเราะ “หลังจากนี้ก็ยังมีโอกาสนะคะ”

คุณแม่จ้าวพยักหน้า

ป้าใหญ่จ้าวกล่าว “คนทำไร่ทำสวนน่ะไม่มีใครมีเวลาว่างหรอก พรุ่งนี้ฉันก็กลับแล้ว ในบ้านยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะเลย!”

คุณแม่จ้าวพูดอย่างไม่พอใจ “พี่ยังคิดถึงไอ้บ้านั่นอีกเหรอคะ พี่ให้มันทำกับข้าวกินเองสักสองสามวันจะเป็นไรไป ให้มันได้รู้ซะบ้างว่าพี่สำคัญขนาดไหน!”

“แบบนั้นไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องกลับไป ยังไงก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อนะ!” ป้าใหญ่จ้าวพูดช้า ๆ ทีละคำ

เย่ฉูฉู่และพี่สะใภ้คนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า

ป้าใหญ่จ้าวคนนี้เกินเยียวยาแล้วจริง ๆ มีคำพูดหนึ่งพูดไว้ดีเลย ‘คนน่าสงสารย่อมต้องมีจุดหนึ่งที่ทำให้คนเกลียดชัง’ คำพูดนี้ตรงกับคนแบบป้าใหญ่จ้าวเชียวล่ะ

การฉายภาพยนตร์และการแสดงงิ้วสามวันได้สิ้นสุดในเวลาอันรวดเร็ว แม้ป้าใหญ่จ้าวจะโวยวายอยากกลับบ้าน แต่คุณแม่จ้าวก็ยังรั้งให้ดูจนจบถึงจะให้กลับ

หญิงชราคนนี้มีเท้าไม่ใหญ่ แต่กลับพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อกลับบ้าน ทำให้คุณแม่จ้าวเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ ทั้งยังพูดว่ากลับไปก็อย่าทะเลาะกัน

คุณพ่อจ้าวแค่นเสียงจากลำคอ “ถ้าทะเลาะกันก็สมควรแล้วแหละ!”

ครั้งก่อนป้าใหญ่จ้าวถูกสามีทุบตีจนหัวแตกเลือดอาบหน้า คนอายุเกือบหกสิบแล้วยังจะทุบตีกันแบบนี้ นี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว!

คุณแม่จ้าวจำใจให้ป้าใหญ่จ้าวกลับบ้านแต่โดยดี

อายุปูนนี้แล้วคงไม่ต้องหย่าแล้วล่ะ ลูกก็เป็นฝั่งเป็นฝามีงานทำแล้ว กลับบ้านเกิดเพื่อใช้บั้นปลายชีวิต ในบ้านก็ยังเลี้ยงไหว

อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ตัวอย่างแรก หญิงชราที่กลับไปอยู่บ้านเกิดตัวเอง ก็เคยมีประสบการณ์ให้เห็น

แต่ป้าใหญ่จ้าวไม่ยินดีที่จะทำแบบนั้น บอกว่าตนเป็นคนของตระกูลหลิว ต่อให้ตายก็ต้องเป็นผีตระกูลหลิว นางยังอยากให้ลูกหลานตระกูลหลิวจุดธูปไหว้อยู่

หากกลับมาที่ตระกูลจ้าว อนาคตเมื่อตายไปก็จะเข้าสุสานของตระกูลหลิวไม่ได้แล้ว ไม่สามารถอยู่คู่กับกระดูกของสามีจะทำอย่างไร? ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนหัวโบราณด้วย

คุณแม่จ้าวโกรธจนคร้านจะสนใจแล้ว

การแสดงภาพยนตร์และงิ้วของหมู่บ้านตะวันออกสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนี้ก็จะเปลี่ยนไปหมู่บ้านถัดไป ทุกคนที่ยังอยากดูอีกก็แค่ตามไปดู

ในวันที่การแสดงสิ้นสุดลง ทีมใหญ่ก็ประกาศว่าจะมีการแสดงเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง

ตอนค่ำค่อยส่งคณะละครออกจากหมู่บ้าน

ทุกคนได้ยินก็รีบถามว่ามีภาพยนตร์เพิ่มหรือไม่ เลขาแค่นเสียงจากลำคอ มีละครเพิ่มเข้ามาหนึ่งเรื่องก็ไม่เลวแล้ว พวกเธอยังอยากจะให้เพิ่มภาพยนตร์อีกหรือ อย่างนั้นพวกเธอก็ออกเงินเองสิ?

ทุกคนต่างก็โศกเศร้าเสียใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าได้ดูละครฟรี ๆ อีกหนึ่งเรื่องก็ถือว่าไม่เลวแล้ว คนที่มาดูจึงมีจำนวนมาก รวมถึงพวกคนหนุ่มสาวด้วย

เป็นการใช้ประโยชน์จากจิตวิทยาของทุกคน

วันนี้คนแก่มีความสุขมาก เพราะไม่มีลม อากาศเลยไม่หนาว เพิ่งจะรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จก็รู้สึกอบอุ่นมาก

บนเวทีแสดงมีเกาเสียงที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าผู้หญิงสมัยใหม่และเด็กที่สวมใส่ด้วยเสื้อผ้าของเด็กผู้ชาย พวกเขาเดินออกมาจากด้านหลังเวที ครั้นทุกคนได้เห็นก็ส่งเสียง โอ้โห นี่มันละครสมัยใหม่นี่นา!

ไม่รู้ว่าละครสมัยใหม่เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร

ด้วยความที่อากาศหนาว เกาเสียงจึงไม่สามารถสวมใส่ด้วยชุดกระโปรงได้ เขาจึงใส่กางเกงขาบานคู่กับรองเท้าส้นสูงแทน นอกจากนี้ยังมีวิกผมยาวดัดลอน ก่อนเดินนวยนาดกรีดกรายขึ้นมาบนเวที

ทุกคนมองตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเขาคือผู้ชาย ต่างก็คิดว่าเป็นผู้หญิงกันทั้งนั้น ส่วนด้านล่างเวทีก็กำลังพูดคุยกัน ต่างคนต่างคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนี้เมื่อลบเครื่องสำอางแล้วก็มีใบหน้าหล่อเหลาเช่นกัน!

เสียงดังมากจนเกาเสียงได้ยินชัดเจนเต็มสองหู แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาเพียงแค่แสดงบทบาทของตนเอง

“แม่ครับ ร้านอาหารร้านนี้สุดยอดเลย มีเนื้อกระต่ายผัดน้ำแดงด้วย!” เด็กที่แต่งตัวเป็นลูกชายชี้ไปยังแผ่นป้ายโลหะที่ติดอยู่บนฉากชั่วคราวบนเวที

เกาเสียงหันไปมอง เขาสะบัดลอนผมพลางกล่าว “งั้นก็ร้านนี้แล้วกัน แม่ชอบกินเนื้อกระต่ายที่สุด!”

“ผมเองก็ชอบเหมือนกัน เนื้อกระต่ายอร๊อยอร่อย!” เด็กที่แต่งตัวเป็นเด็กผู้ชายกล่าว

ทั้งสองคนแสร้งทำเป็นเดินเข้ามาในร้าน ฉินหมิงที่สวมใส่ด้วยกางเกงและเสื้อผ้าลายดอกไม้เล็ก ๆ เดินบิดสะโพกออกมา

“ยินดีต้อนรับ ลูกค้าอยากรับประทานอะไรดี?” ฉินหมิงพูดด้วยความกระตือรือร้น

“น้องสาวคะ ที่นี่มีอะไรบ้าง?” เกาเสียงนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้

“เฮ้ เรียกใครน้องสาวเนี่ย ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง!” ฉินหมิงรีบแก้ด้วยความตื่นเต้น

จากนั้นก็ถึงเวลาร้องเพลงแล้ว โดยเนื้อหาหลักก็เป็นพูดถึงความเข้าใจผิดคิดว่าฉินหมิงเป็นผู้หญิง แต่ยังไม่ทันได้ร้องเพลง คนที่อยู่ด้านล่างก็หัวเราะร่าออกมา ทั้งยังมีคนโห่ฮาใส่ด้วย

“ผู้ชายทั้งแท่งเหรอ? ไม่เชื่อหรอก ถอดกางเกงพิสูจน์หน่อย!”

“ผู้ชายจริงเหรอเนี่ย? สวรรค์ เหมือนผู้หญิงเกินไปแล้วมั้ง? เมื่อกี้ฉันเองก็นึกว่าเป็นสาวน้อยนะ!”

“รูปร่างหน้าตาก็เหมือนผู้หญิง เป็นผู้ชายได้ไงเนี่ย?”

“ไม่ใช่ว่ามีอะไรผิดพลาดหรอกนะ?”

“ผู้ชายเหรอ?”

“ถอดกางเกงดิ!”

ฉินหมิงโกรธจนอยากจะสะบัดแขนเสื้อไม่แสดงแล้ว จ้าวเหวินเทา ไอ้หมอนี่หลอกเขา!

เขาเองก็ไม่ได้คิดเลย จ้าวเหวินเทาแค่ให้ประเด็นมา ส่วนการแสดงจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา เขาแค่คิดไม่ถึงว่าผู้ชมในชนบทจะทำตามอำเภอใจแบบนี้ ก่อนหน้านี้ในอำเภอก็ไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน

ฉินหมิงลืมไปแล้วว่าเสื้อที่เขาสวมใส่เพื่อแสดงตอนอยู่ในอำเภอจะมองเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าการแสดงแล้ว

จ้าวเหวินเทาที่นั่งอยู่ล่างเวทีก็มีความสุข เจ้าหมอนี่ตั้งใจทำแบบนี้เอง ยังจะมาโทษคนอื่นอีกเหรอ!

ท้ายที่สุดฉินหมิงก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขายังคงแสดงละครต่อไปและเริ่มร้องเพลง

หลังจากร้องจบก็เป็นการร้องเพลงของเกาเสียง เป็นการตอบกลับด้วยการขอโทษ

บทเพลงสั้นมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้บทสนทนาพูดคุยกันเสียมากกว่า เพราะเวลาที่สั้น ทั้งยังเป็นการโฆษณาเพื่อขายกระต่าย ทำให้คิดบทออกมาได้ไม่มาก ดังนั้นจึงใช้บทสนทนาแทน

หลังจากร้องจบแล้วเกาเสียงก็สั่งอาหาร ซึ่งก็คือเมนูกระต่ายผัดน้ำแดง

จากนั้นก็มีลูกค้าเข้ามาอีกหนึ่งคน ทว่ากลับจ้องจับผิดบอกว่าเนื้อกระต่ายไม่สด ต้องการให้จ่ายเงินชดเชย และเริ่มร้องเพลงออกมา

จากนั้นฉินหมิงก็หยิบกรงออกมา ในกรงมีกระต่ายที่เย่ฉูฉู่เป็นคนเย็บ มันมีลำตัวสีขาวเทา ขนดกปุกปุย เมื่อวางบนเวที นอกจากเรื่องที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว ภายนอกของมันก็ดูเหมือนจริงมาก!

ทุกคนถึงกับตกตะลึง ก่อนจะเกิดการสนทนาขึ้นระลอกหนึ่ง

“นั่นกระต่ายจริงไหม?”

“ของปลอมมั้ง? มันวิ่งไม่ได้นะ”

“อยู่ในกรงจะให้วิ่งไปไหน!”

ทุกคนต่างก็เรียกร้องให้ปล่อยกระต่ายออกมา ปล่อยออกมาก็จะสอดคล้องกับโครงเรื่องด้วย

ฉินหมิงจึงปล่อยกระต่ายออกมา เขาพูดกับลูกค้าคนนั้นว่า ภายในร้านเป็นกระต่ายมีชีวิต ฆ่าและใช้เนื้อตอนนั้นเลย อีกอย่างนี่ก็เป็นกระต่ายที่นำเข้าจากฟาร์มกระต่ายของหมู่บ้านข้าวซานถุนที่ดีที่สุด ไม่เชื่อก็ลองไปถามดูได้ มีกระต่ายจากที่ไหนที่จะดีกว่ากระต่ายของฟาร์มกระต่ายข้าวซานถุนอีกไหม?

เมื่อทุกคนได้ยินก็ตกตะลึง ตอนนี้ละครโทรทัศน์ยังไม่ได้เป็นสากล ผู้คนจึงไม่ได้มีความคิดเรื่องโฆษณา เมื่อได้ยินก็คิดว่ากระต่ายของข้าวซานถุนมีชื่อเสียงไปถึงในอำเภอจริง ๆ

ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้เหรอ?

“กระต่ายของหมู่บ้านเราเป็นที่นิยมขนาดนี้เลยเหรอ?” มีคนกระซิบถามจ้าวเหวินเทา

จ้าวเหวินเทากล่าว “เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกเหรอ? กระต่ายของพวกเรามีไม่พอต่อความต้องการด้วย ในเมืองเป็นที่นิยมมากเลยนะ!”

“มีชื่อเสียงขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย?” พี่สามจ้าวแอบสงสัย

เขาเองก็เป็นขาประจำในอำเภอ ตอนขายเต้าหู้ก็ได้พูดคุยกับร้านอาหารบางส่วนเช่นกัน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ากระต่ายของข้าวซานถุนมีชื่อเสียงขนาดนี้?

“เป็นเพราะพี่ไม่สนใจนั่นแหละ ครั้งหน้าถ้าพี่ไปอีกรอบ ลองสังเกตดูหน่อยก็รู้แล้วว่ามีชื่อเสียงขนาดไหน” จ้าวเหวินเทากล่าว

ละครเรื่องนี้เมื่อปรากฏออกมาแล้ว ต่อให้ไม่มีชื่อเสียงก็มีชื่อเสียงได้!

พี่สามจ้าวยังคิดเรื่องนี้ไม่ออก แต่ภายในใจกลับคิดว่าจะเลี้ยงเพิ่มอีกสักสี่ห้าตัวดีไหมนะ?

ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้นที่มีความคิดนี้ คนอื่น ๆ ก็เริ่มเกิดความคิดว่าตัวเองเลี้ยงน้อยไปไหม?

ด้านบนเวทียังคงเอ่ยชมกระต่ายของข้าวซานถุน แน่นอนว่าไม่ได้พูดถึงจ้าวเหวินเทา ถ้าเป็นแบบนั้นคงดูปลอมไปหน่อย จ้าวเหวินเทาอยากให้กระต่ายมีชื่อเสียง ไม่ได้ต้องการให้ตัวเขามีชื่อเสียง

สิ่งที่เขาต้องการมีแค่ความร่ำรวย

ละครบนเวทีได้ดำเนินมาถึงจุดหักเห เมื่อบทสรุปถูกเปิดเผย คนที่มาจับผิดไม่ยอมหยุดจึงคอตกถอยออกไป ขั้นตอนนี้มีทั้งพูดและร้องเพลงไปด้วย จุดหยอดมุกตลกก็มีอย่างต่อเนื่อง ทำเอาทุกคนถึงกับส่งเสียงหัวเราะกันไม่หยุด

กระต่ายของข้าวซานถุนได้เข้าไปอยู่ในใจของทุกคนอย่างเงียบ ๆ แล้ว เพียงแต่ไม่มีใครตระหนักได้ก็เท่านั้น

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เหวินเทาหัวใสมาก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย

ไหหม่า(海馬)