ตอนที่ 214 ก้าวแรกสู่วงการภาพยนตร์

ละครเป็นละครสั้น ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงกว่า มีเนื้อหาการแสดงเป็นไปอย่างลวกๆ เพราะมีเวลาน้อยเกินไปจึงไม่สามารถลงรายละเอียดได้ เพียงแต่คนในหมู่บ้านมองไม่ออกถึงจุดนี้ ถึงอย่างนั้นก็ทำให้มีความสุขแล้ว

ทุกคนต่างก็ชอบมาก พวกเด็กหนุ่มสาวคิดว่าละครเรื่องนี้สนุกกว่าละครเพลงเมื่อสองสามวันก่อนเสียอีก มีความน่าสนใจจนต้องปรบมือเสียแดงเถือกไปหมด ทั้งยังส่งเสียงกรี๊ดเพื่อขออีกสักรอบ!

เกาเสียงคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะดีขนาดนี้ เขาก้าวเท้ามาด้านหน้าและใช้เสียงผู้ชายพูด “ถ้าขออีกฉันจะบอกให้ก็ได้ ฉันเองก็เป็นผู้ชายทั้งแท่งเหมือนกัน!” ระหว่างที่พูดก็ถอดวิกผมปลอมออก เผยให้เห็นผมสั้นกุดของเขา

ด้านล่างเวทีถึงกับตกตะลึง ต่างชี้มือชี้ไม้ไปที่เกาเสียงแต่กลับพูดไม่ออก

จ้าวเหวินเทาหัวเราะพรืด ทุกคนดูเหมือนว่าเพิ่งจะหาทางระบายได้จึงหัวเราะร่าออกมา

การแสดงทั้งหมดเป็นอันสิ้นสุดลงด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

ท้ายที่สุด ทุกคนก็พูดถึงเรื่องความเป็นชายทั้งแท่งของเกาเสียงและฉินหมิง ราวกับว่าการโฆษณากระต่ายไม่ได้เกิดผลกระทบอะไรเลย แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีคนมาหาจ้าวเหวินเทาเพื่อซื้อกระต่ายมากขึ้น

คนเหล่านี้ส่วนมากเป็นคนที่มาจากนอกหมู่บ้าน จ้าวเหวินเทาจึงทราบได้ว่าการโฆษณาเกิดผลแล้ว

เขาเดาถูกเผง หลังจากการแสดงที่หมู่บ้านอื่นสิ้นสุดลง เกาเสียงและฉินหมิงก็แสดงละครกระต่ายนี้เสริมเข้าไปด้วย พวกเขามีการปรับแต่งเรื่องราวนิดหน่อย จึงทำให้คนรู้สึกชอบมากขึ้น ดังนั้นจึงมีคนมาหาจ้าวเหวินเทาเพื่อซื้อกระต่าย

ตอนที่การแสดงทั้งห้าหมู่บ้านสิ้นสุดลง กระต่ายของจ้าวเหวินเทาก็ถูกขายไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่จบลงแค่นั้น

คณะละครของอำเภอเมื่อแสดงภายในหมู่บ้านเสร็จก็กลับไปที่อำเภอ เป็นเพราะกระแสตอบรับจากการแสดงค่อนข้างดี ตอนที่กลับมาหัวหน้าคณะจึงตัดสินใจแสดงในอำเภอด้วย ผลลัพธ์ที่ได้ถึงกับดังเป็นพลุแตกเลย

ตั๋วหนึ่งใบใช้เงินไปห้าเหมา ต้องทราบก่อนว่าการไปดูละครที่โรงละครในอำเภอยุคนั้นก็ใช้เงินหลายเฟินแล้ว โดยที่ตั๋วภาพยนตร์มีราคา 1-2 เหมา แต่ขนาดเงินห้าเหมานี้ก็ยังมีคนที่ไม่มีปัญญาซื้อ

เกาเสียงและฉินหมิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาได้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของคณะแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเกิดความกังขาเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ก็ตาม ละครนี้ดีขนาดนั้นเลยเหรอ?

ต่อให้มีการปรับแต่งเนื้อเรื่องบ้าง แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นเป็นที่นิยมขนาดนี้กระมัง?

นี่เป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน ภายในใจจึงไม่ได้รู้สึกมั่นใจเลย เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้วจึงต้องไปถามจ้าวเหวินเทาดู ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนทำให้ละครนี้ปรากฏออกมา

จ้าวเหวินเทานั้นหาตัวได้ง่ายมาก โดยปกติแล้วเขาจะไปที่ร้านเกี๊ยวของจงย่งที่มีชื่อเสียงในถนนการค้าในอำเภอเพื่อขายวัตถุดิบ

ทั้งสองคนหาโอกาสจากวันหยุดเพื่อมาหาจ้าวเหวินเทา และหาอะไรรับประทานด้วย จึงนั่งพูดคุยกันในร้านของจงย่ง

จ้าวเหวินเทาฟังที่พวกเขาพูดจบก็แอบรู้สึกเหนือความคาดหมาย เขากำลังคิดว่ากระต่ายของเขาขายได้เยอะ การโฆษณากระต่ายก็ไม่เลว คิดไม่ถึงเลยว่าบทละครนี้จะโด่งดังด้วย

เขากะพริบตาปริบ ๆ ทำไมคนถึงชอบ เขาไม่เข้าใจเลย และเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องละครด้วย!

เพียงแต่ว่า ต่อให้ไม่เข้าใจละครแต่เข้าใจการหลอกล่อคน นี่ก็เพียงพอแล้ว

“พวกนายสองคนนี่นะ เรื่องนี้ง่ายมากเลย แต่พวกนายกลับไม่รู้?” จ้าวเหวินเทาเป็นผู้ริเริ่มก่อน

ง่ายเหรอ?

ง่ายตรงไหนเนี่ย?

ทั้งสองคนรีบขอคำแนะนำของอีกฝ่าย

จ้าวเหวินเทาคีบอาหารใส่ปากพลางกล่าว “ที่ละครเรื่องนี้กลายเป็นที่นิยมของคนขนาดนี้ ก็มีแค่สองคำ คือ ‘แปลกใหม่’!”

ทั้งสองคนชะงัก ‘แปลกใหม่’?

จ้าวเหวินเทาพูดหลอกล่อต่อไป “ก็ลองเทียบดูสิ นายซื้อผักซื้อเนื้อ นายอยากซื้อแบบอะไรก็ได้หรืออยากซื้อแบบสดใหม่ล่ะ? เหตุผลนี้ก็เหมือนกับละครนั่นแหละ ก่อนหน้านี้เพลงที่พวกนายร้องก็เป็นการเล่นแบบดั้งเดิม มันก็เพราะอยู่หรอก อันนี้ฉันไม่ปฏิเสธ แต่พอฟังมากเกินไปก็เบื่อได้เหมือนกัน…พวกนายไม่ต้องร้อนใจนะ ฟังฉันพูดก่อน…โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจเรื่องสุนทรียภาพในละคร อย่างเช่นคนแบบฉันน่ะ ดูไม่เข้าใจ ฟังไม่ออกหรอกว่าเพราะหรือไม่เพราะ ซึ่งคนแบบฉันมีเยอะมาก ถ้าจะให้พูดแบบไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรก็คือคนในชนบทโดยทั่วไปเป็นคนแบบนี้ทั้งนั้นแหละ คนแก่เหล่านั้นที่ชอบฟังละครก็ไม่ได้เห็นคุณค่ามากมายอะไรหรอก แต่จู่ ๆ ก็มีละครที่มีมุกตลกโผล่ออกมา บทพูดดีกว่าบทร้องตั้งเยอะ แปลกใหม่กว่ามาก แถมยังสนุกกว่าด้วย พวกนายคิดว่าพวกเขาจะไม่ชอบเหรอ!”

“แต่นี่เป็นละครชีวิตจริง…” เกาเสียงรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดสั้น ๆ ได้

สิ่งนี้ไม่ถือว่าเป็นละคร ถ้าพูดว่าเป็นละครก็ดูเหมือนจะยกให้สูงส่งไปหน่อย แต่กลับทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ทั้งยังทำรายได้ให้กับคณะละครด้วย ทำเอาพวกเขาทั้งสองคนสับสนไปหมด

หรือว่าก่อนหน้านี้หลักการด้านงานศิลป์ที่พวกเขายืนหยัดจะรักษามันผิดทั้งหมด?

จ้าวเหวินเทากลับไม่ได้คิดมากมายเหมือนกับพวกเขา เมื่อเห็นพวกเขารู้สึกขมขื่นมาก ภายในใจก็คิดว่าคนที่ทำงานศิลป์แบบนี้ไม่ปกติเลยจริง ๆ ละครดังแล้ว ได้เงินแล้ว แต่กลับไม่ดีใจ นี่ไม่เท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเหรอ?

“ละครเรื่องนี้พวกนายก็แสดงได้เป็นอย่างดี แต่ฉันไม่แนะนำให้พวกนายเปลี่ยนแล้วนะ ทุกคนต่างก็ได้ดูไปแล้ว ถ้าพวกนายเปลี่ยนเป็นละครโบราณพวกนั้นอีก จนกลายเป็นละครเบบจริงๆ จังๆ คาดว่าคงไม่มีใครดูแล้ว” จ้าวเหวินเทาเตือนด้วยความหวังดี

ทั้งสองคนพยักหน้า เรื่องนี้พวกเขาต่างก็นึกขึ้นได้แล้ว

อันที่จริงต่อให้เปลี่ยนพวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเปลี่ยนอย่างไร ถึงอย่างไรตัวตั้งตัวตีก็เป็นจ้าวเหวินเทา

“อีกอย่างนะ ฉันขอแนะนำพวกนายหน่อย ถ้าพวกนายคิดว่าการแสดงเรื่องนี้ยากและทรมาน นายจะถ่ายทำเป็นหนังก็ได้ แล้วก็เอาออกไปขาย ยังไงก็ขายได้เงิน พวกนายก็จะได้ไม่ต้องไปพัวพันกับมันขนาดนั้นด้วย” จ้าวเหวินเทารับประทานอาหารพลางกล่าว

ทั้งสองคนถึงกับเหม่อลอย ทำเป็นภาพยนตร์?

สมองของคนๆ นี้คิดอะไรอยู่ แค่แป๊บเดียวก็คิดจะผลิตเป็นภาพยนตร์เอาออกไปขายแล้ว?

“นายบอกว่าให้ทำเป็นหนังแล้วขายออกไปเหรอ?” ฉินหมิงพึมพำ

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ นายดูอย่างดอกไม้สื่อรักสิ ใช่ไหมล่ะ ก็ทำออกมาเป็นภาพยนตร์ได้แล้ว ทุกคนต่างก็ชอบดูมาก ทำออกมาให้ดีก็พอ อีกอย่าง พวกนายก็ต้องรีบใช้เวลาตอนที่ทุกคนชอบดูผลิตออกมานะ ขืนรอให้ทุกคนได้ดูจนครบแล้วค่อยทำ คงไม่มีใครซื้อ”

เรื่องนี้ก็เหมือนการทำธุรกิจ สิ่งที่ต้องการก็คือโอกาสทางการค้านั้นที่อาจจะหายวับไปกับตาเมื่อใดก็ได้

จ้าวเหวินเทาพูดต่อ “ตอนนี้พวกนายก็กลับไปคุยกับหัวหน้าของพวกนายดูนะ พวกเขาน่าจะรู้ว่าควรทำหนังออกมายังไง”

ใครจะไปรู้ว่าทั้งสองคนจะรีบส่ายหน้าโดยพลัน จากนั้นก็มองมาที่จ้าวเหวินเทาเป็นตาเดียว

“พวกนายมองฉันทำไมเนี่ย ฉันทำหนังไม่เป็นหรอกนะ” จ้าวเหวินเทารีบกล่าว

“ถึงนายจะไม่เข้าใจเรื่องทำหนัง แต่นายเข้าใจการขายไง” เกาเสียงพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

ฉินหมิงกล่าว “นายขายผักได้ก็ต้องขายหนังได้เหมือนกัน นายกลับไปคุยเรื่องนี้กับหัวหน้าพร้อมกับพวกเราเลย ฉันรู้สึกได้ว่าเวลานายพูด การขายหนังคงง่ายเหมือนกับที่นายค้าขายนั่นแหละ”

เกาเสียงพยักหน้า “ถูกต้อง พวกเราทำเป็นแค่ร้องเพลงเล่นละคร ไม่เข้าใจด้านนี้หรอก นายนั่นแหละไปคุยกับหัวหน้าพวกเรา นายไม่ต้องห่วง ถ้าทำหนังออกมาสำเร็จ หลังจากขายออกไปแล้ว ส่วนแบ่งของฉันฉันให้นายหมดเลย”

“ฉันก็จะให้ส่วนแบ่งของฉันทั้งหมดด้วย!” ฉินหมิงรีบกล่าว

จ้าวเหวินเทาแอบกลอกตา เขาเป็นคนชักชวน แต่ยังจะให้เขาไปพูดอะไรอีก จะพูดยังไงเนี่ย?

จ้าวเหวินเทาทำท่าจะปฏิเสธโดยไม่หยุดไม่คิด

เพียงแต่เมื่อย้อนนึกแล้ว ละครนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เขาคิดออกมา หากสามารถทำเป็นภาพยนตร์ได้จริง ๆ ก็ไม่เลวเลย

ส่วนจะนำภาพยนตร์นี้ออกไปขายได้อย่างไร และจะทำออกมาเป็นภาพยนตร์อย่างไร จะต้องจ่ายเงินเยอะหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่ค่อยมาแก้ไขหลังจากนี้ ตอนนี้สิ่งที่ต้องแก้ปัญหาก็คือพูดให้หัวหน้าทีมคณะละครสนับสนุน

อย่ามองว่าภายในใจของจ้าวเหวินเทาเกิดประกายความคิดมากขนาดนี้ แต่ปากก็ไม่ได้พูดคลุมเครือ เขาพูดอย่างใจถึงว่า “พวกเรามีมิตรภาพต่อกันขนาดนี้ยังจะพูดเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ฉันจะไปกับพวกนาย ไปคุยกับหัวหน้าของพวกนายเอง แล้วค่อยมาดูกันว่าต้องการอะไรบ้าง อย่างอื่นค่อยมาว่ากัน!”

จ้าวเหวินเทาไม่อยากตากแดดตากลมแบบนี้ไปตลอดทั้งชีวิต เขาอยากก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า อย่าคิดว่าทำไม่ได้ ธุรกิจขายกระต่ายของเขาก็ออกมาให้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?

การผลิตภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เจ้าหมอนี่ คือคนใจกล้าคนหนึ่งเลย!

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จะผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์แล้วเหรอเหวินเทา จากขายกระต่ายมาขายหนังเฉย

ไหหม่า(海馬)