ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 39 หน้ากากของซือเฟิ่ง (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หน้ากากถูกนางปลดออก ทำไมกลับดีใจ เสวียนจีคิดถึงเรื่องหน้ากากเขาร่วงหล่นเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นเขาหน้าเศร้าจะเป็นจะตาย ยังกลัวถูกเจ้าตำหนักน่ากลัวผู้นั้นของเขาลงโทษเพราะเรื่องนี้

 

นางขยับตัวเบาๆ อวี่ซือเฟิ่งรีบปล่อยนาง ลูบใบหน้าทีหนึ่ง ยิ้มระรื่นกล่าวว่า “ขอโทษ อยู่ๆ ก็ตื่นเต้น”

 

เสวียนจีไม่เข้าใจ มองผิวหน้าซีดขาวของเขา ดวงตาราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วงคู่นั้นกระจ่างใสเปล่งประกายยิ่งกว่าเมื่อสี่ปีก่อน จ้องมองนางไม่วางตา นางถูกมองจนรู้สึกเครียด คิดอยู่เป็นนาน จึงคิดออกมาว่าตนเองต้องการกล่าวอันใด

 

“ข้าปลดหน้ากากเจ้าพลการ เจ้าตำหนักเจ้าจะตำหนิเจ้าอีกแล้วใช่ไหม? ครั้งก่อน…เขาลงโทษเจ้าหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็สวมกลับคืนไปสิ ข้า ข้าก็จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นอันใด”

 

นางปิดตาเหมือนขโมยทำผิดแต่หาทางกลบเกลื่อน ทำเอาเขาหัวเราะดังลั่น เสวียนจีรู้สึกงง ปล่อยมือออก จ้องมองเขานิ่ง เขาค่อยๆ หยุดหัวเราะ เรียวตาโค้งเล็กน้อย ยกมือไปลูบผมยุ่งของนาง กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร เขาไม่ย่อมไม่ตำหนิข้าอีก วันหน้า…ก็ไม่ต้องสวมหน้ากากอีก”

 

นี่เพราะเหตุใดอีกเล่า เสวียนจีคิดไม่ออก หน้ากากเขาอันนั้นแปลกมาก ราวกับเปลี่ยนเองได้ นางมักรู้สึกได้กลิ่นไม่ดี แต่เขาไม่กล่าวอันใด

 

อวี่ซือเฟิ่งหยิบหน้ากากขึ้นมา วางไว้ในมือจับถูไปมา ท่าทางเหมือนตัดใจไม่ลง ราวกับกำลังจะทิ้งสหายรักนานปีอย่างไรอย่างนั้น นิ้วมือลูบไล้ไปมาอย่างไม่อาจตัดใจ หันไปกล่าวเบาๆ ว่า “หน้ากากนี่ ใช้เปลือกต้นไม้อมตะแห่งเขาคุนหลุนทำขึ้น พลังวิเศษเต็มเปี่ยม ทันทีที่สวมลงบนใบหน้า คนปกติก็ย่อมถอดไม่ออก ตอนนี้ถอดออก ได้เวลาพอดี…”

 

เขาพลิกหน้ากาก ชี้มันกล่าวว่า “เจ้าดู มันกำลังยิ้มใช่หรือไม่”

 

เสวียนจีจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “เปล่านี่ มันกำลังร้องไห้”

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้าร้องไห้ แต่ยามนี้ถูกเจ้าปลดออก ย่อมยิ้ม”

 

“ไม่…มันกำลังร้องไห้นะ…” เสวียนจีกล่าวด้วยท่าทีลำบากใจว่าหน้ากากนั่นเห็นชัดว่าหน้าบิดเบี้ยว ราวกับใบหน้าที่กำลังร่ำไห้ ไหนเลยว่ายิ้ม

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ้งอึ้งไป ก้มลงมองให้ละเอียดอีกที ดังคาด หน้ากากเปลือกต้นไม้อมตะนั้นท่าทางเศร้าโศกราวกับกำลังจะร่ำไห้ มุมปากสองข้างตกลง คิ้วขมวดแน่น ราวกับไม่มีรอยยิ้มอีกครึ่งหนึ่ง

 

เขาเองก็งุนงงเช่นกัน มีเพียงมือที่ลูบมุมปากที่ตกลงนั้นไม่หยุด ราวกับจะให้มันยกขึ้น ให้มันกลายเป็นใบหน้ายิ้ม

 

“…แปลก…” เขาก้มหน้ากล่าว “แต่ไรมา…ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ เหตุใดเป็นเช่นนี้…เหตุใดเป็นเช่นนี้…”

 

เสวียนจีเห็นเขาตื่นตกใจ อดไม่ได้ร้อนใจกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…มันอยากร้องไห้ เจ้าก็ให้มันร้องไห้ไปสิ…เจ้า เจ้าอย่าไปสนใจมัน อย่างไรก็แค่หน้ากากอันหนึ่งเท่านั้น”

 

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งซีดขาว กล่าวเสียงแผ่วว่า “มันไม่ใช่แค่หน้ากากธรรมดา…มัน…เหตุใดถูกเจ้าปลดกับมือได้ มันยังคงกำลังร้องไห้เล่า”

 

“ซือเฟิ่ง?” นางไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งไปนาน ในที่สุดก็ถอนหายใจเม้มปากกล่าวเบาๆ ว่า “หน้ากากนี่ หอคุกชำระบาปสิบสามบัญญัติตำหนักหลีเจ๋อเตรียมไว้สำหรับศิษย์ละเมิดกฎโดยเฉพาะ หลังสวมมันแล้ว นอกจากคนพิเศษเท่านั้นที่จะปลดออกได้ มันจะค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าร้องไห้ไป นอกจากถูกคนผู้นั้นปลดเท่านั้น ไม่เช่นนั้นมันจะร้องไห้ตลอดไป จนกระทั่ง…”

 

จนกระทั่งอันใด เสวียนจีมองเขาเคร่งเครียด

 

เขากลับไม่พูดต่อ พลิกดูหน้ากากนั่นไปมาอยู่นานท่าทางอึ้งงัน ก่อนจะใช้ผ้าบรรจงห่อมันเก็บ ยัดเข้าแขนเสื้อ เงยหน้ายิ้มกับนางเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่มีอะไร การลงโทษจากตำหนักหลีเจ๋อเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อหน้ากากปลดออกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก เจ้าวางใจเถอะ”

 

เขาเป็นคนเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงเขาไม่คิดอยากเอ่ย ก็ย่อมไม่ยอมเอ่ยเด็ดขาด ไม่ว่าผู้ใดถามก็ไม่เป็นผล ในเมื่อเขาไม่พูดว่าหอคุกชำระบาปสิบสามบัญญัติคืออะไร และไม่พูดว่าหน้ากากทั้งร้องไห้ทั้งยิ้มหมายถึงอันใด เสวียนจีก็ย่อมรู้ว่าตนเองไม่ควรถามต่อ ได้แต่นิ่งเงียบเป็นเพื่อนเขา

 

อวี่ซือเฟิ่งเองก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนสีหน้ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ควักเอาผ้าพันแผลออกมาจากถุงหนังลงลายทองที่เอวตนเองออกมาก่อน ล้วนเปียกชุ่มไปหมด ค่อยๆ คลี่ออกกางที่พื้น ก่อนจะเลือกท่อนไม้ที่ตรงที่สุดมาสองท่อน กวักมือเรียกเสวียนจี “มานี่ ข้าช่วยเจ้าดามกระดูก”

 

เสวียนจียื่นมือขวาให้เขาอย่างเชื่อฟัง หัวเราะแหะๆ หน้าตาดูเซ่อซ่า ถามว่า “ทำไมเจ้ารู้ว่ากระดูกมือขวาข้าหัก?”

 

เขาก้มหน้าดูที่กระดูกนางหักอย่างละเอียด ขนตายาวงามพลันกะพริบไปมา ได้ยินเสียงนางร้องครางเจ็บปวดอยู่ข้างหู จึงกล่าวเบาๆ ว่า “ทนหน่อย ใกล้เสร็จแล้ว”

 

ยามนี้ยังกล่าวว่า “ตอนนั้นเจ้าบาดเจ็บ ข้าเองก็รู้ว่ารับมือปีศาจพวกนั้นไม่ไหว ดังนั้นจึงดึงเจ้าฝืนโดดทะเลสาบ ไหลตามน้ำไปยังท้ายทะเลสาบ ตอนขึ้นฝั่งไม่ทันสังเกต เหยียบลื่นจนร่วงลงมาในถ้ำนี้ แขนเจ้ากระแทกพื้น ไม่อาจขยับได้ ต้องกระดูกหักแน่”

 

ขณะที่กล่าว เขาพันแผลดามกระดูกให้นางอย่างคล่องแคล่ว ใช้ไม้สองท่อนผูกมัดไว้แน่น รับรองว่าไม่หลุด จึงได้ปล่อยมือ เหงื่อไหลท่วมใบหน้า

 

เขาเองก็กระดูกหัก ยังฝืนทนมาถึงตอนนี้ได้ เสวียนจีมองเขาอย่างไม่รู้ทำเช่นไร เขาไม่ยอมให้นางลงมือดามกระดูกให้เขา หรือว่าให้เอาแต่นั่งมองเฉยๆ อยู่ข้างๆ ก็พอ? นางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้น ค่อยๆ ซับเหงื่อให้เขา เห็นเขาเงยหน้ายิ้มให้ตนเล็กน้อยอยู่เป็นระยะ นางอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “ข้ายังคิดว่าพวกเราคงตายแน่แล้ว ที่แท้ยังมีชีวิตรอด”

 

อวี่ซือเฟิ่งใช้เวลานานกว่าจะจัดการกระดูกซี่โครงที่หักของตนเองเสร็จ ทั้งเจ็บปวดทั้งเหนื่อยล้า ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขากลับลงนอน มองไปยังปากถ้ำบนหัวที่สูงขึ้นไป กล่าวเบาๆ ว่า “ขอเพียงมีชีวิตรอดก็ยังมีหวัง ยามนี้รักษาแผลที่นี่ก่อน ถุงน้ำยังมีน้ำ พอสำหรับสองสามวัน”

 

เสวียนจีไม่มีอะไรให้ทำ แผ่นหลังยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่มาก ล้มตัวลงนอนข้างกายเขา ทั้งสองมองไปยังปากถ้ำที่มีแสงลอดลงมาเหมือนไม่มีอะไรให้ทำ พลันรู้สึกเหมือนมีคนมองตน นางหันไปมอง สบตาที่แฝงด้วยรอยยิ้มของอวี่ซือเฟิ่ง

 

“หน้าข้ามีอันใดผิดปกติหรือ” นางยกมือลูบไม่ทันรู้ตัว เด็กหญิงล้วนให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ นางเองก็ไม่แตกต่าง

 

เขายิ้มส่ายหน้า เหมือนว่าสะเทือนโดนบาดแผล เจ็บจนเหงื่อผุดออกมาอีก แต่ไรมานางล้วนมีท่าทีไม่ยี่หระสิ่งใด ท่าทางสะอาดสะอ้าน ชุดขาวผมดำขลับ ผิวผ่องราวหิมะ ราวกับเป็นเซียนที่ไม่โดนกลิ่นอายมนุษย์กล้ำกราย ยามนี้เซียนร่วงสู่พื้นดิน ทำเอาดินโคลนเปรอะเปื้อนเต็มตัว ผมก็ราวกับรังนก ใบหน้าก็มีเปื้อนดินโคลนเป็นหย่อมๆ พูดตามจริง เมื่อครู่ที่ได้เห็นทำเอาเขาตกใจสะดุ้งโหยงเลยทีเดียว

 

แต่ไม่รู้ทำไม พลันรู้สึกพอเข้าใกล้นางอีกนิด คิดถึงนางที่ไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ตนเองในตอนพบกันครั้งแรก เขารู้สึกเบิกบานใจอยู่บ้าง

 

มีคนเคยกล่าว รูปลักษณ์ภายนอกแต่ไรมาได้แต่ดึงดูดคนแปลกหน้า ไม่ใส่ใจรูปลักษณ์จึงเป็นสัญลักษณ์ของการสนิทสนม ขณะที่ไม่ทันรู้ตัวเขาก็เขยิบเข้าไปใกล้นางอีกก้าวแล้ว เงาร่างที่เคยเป็นภาพมายาในใจ ในที่สุดก็ปรากฎเป็นตัวจริงจับต้องได้

 

“เสวียนจี” เขาฝืนตัวเข้าไปใกล้อีกหน่อย ศีรษะทั้งสองแทบจะชนกัน “เจ้าหิวไหม”

 

เขาไม่พูดยังดี พอพูดทีนางก็หิวเลย กุมท้องที่ว่างเปล่า หน้าบึ้งพยักหน้ามองเขา “หิวแล้ว แต่ที่นี่ไม่มีอะไรกินนี่”

 

เขาหรี่ตายิ้ม ยกมือไปควักในถุงหนัง ควักอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ควักเอาหมั่นโถวเปียกน้ำออกมาก้อนหนึ่ง ยัดใส่มือนาง

 

“อะ ไม่มีของดีอันใด มีแต่หมั่นโถว ทิ้งไว้แต่วันมะรืน เจ้ากินสิ”

 

นางยกหมั่นโถวนั่นมาดูอยู่ตรงหน้า ถลึงตาจ้องอยู่เป็นนาน ราวกับมันไม่ใช่หมั่นโถว แต่เป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง สุดท้ายนางแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งใหญ่ให้เขา ครึ่งเล็กยัดเข้าปากตนเอง

 

“เจ้าเองก็กินสักคำสิ” นางกล่าวเสียงอู้อี้ ในสภาพท้องหิว หมั่นโถวเปียกน้ำก็รู้สึกหอมหวานหาใดเทียม

 

แต่เขากลับไม่กิน เอาแต่เท้าศีรษะมองนางด้วยแววตาอ่อนโยนราวสายน้ำอยู่เป็นนาน เห็นนางมองมาอย่างไม่เข้าใจ เขาจึงได้แย้มยิ้มกว้าง หัวเราะกล่าวอย่างเรื่องมากว่า “ข้ากินของหยาบกระด้างเช่นนี้ไม่ลง ข้ากินแต่หมั่นโถวของหอหย่งฟาง”

 

เขาก็คุณชายไปหน่อยไหมนี่…สถานที่นกไม่มาถ่ายรดเช่นนี้ จะมีหมั่นโถวหอหย่งฟางอันใดกัน

 

เสวียนจีฮึดฮัดยัดหมั่นโถวเข้าปากตนเองทีเดียวหมดคำจนสะอึกติดคอไม่หยุด สุดท้ายกว่าจะยืดคอตรงกลืนลงไปได้ พลันยกนิ้วมือหนึ่งขึ้น กล่าวกับเขาอย่างจริงจังว่า “เจ้ารู้ไหมตอนนี้ข้าอยากกินอะไร”

 

“อะไร”

 

“ครั้งก่อนพวกหลิงหลงลงเขาซื้อตีนเป็ดหออั้นเซียงโหลวมา อร่อยจนข้ากินอย่างอื่นไม่ลงไปสามวันเลย ตอนนี้ข้าอยากกินมาก” น้ำลายใกล้ไหลย้อยแล้ว

 

“นี่ไม่เท่าไร เจ้ารู้จักน้ำแกงดอกกุ้ยเม็ดบัวร้านลิ่วเฟิ่งไจไหม นั่นสิเรียกว่าหอมหวานละมุน เพียงกลิ่นหอมเพียงนิด แม้เจ้ากินอะไรมามากแล้ว ก็ยังอดน้ำลายสอจะกินอีกไม่ได้”

 

“อา ข้ายังอยากกินไก่ป่าผัดเม็ดเถาเหริ่น”

 

“เช่นนั้นข้าเอาเป็ดแปดอัญมณี”

 

“ข้ายังเอา…เนื้อกวางย่าง”

 

“อย่างนั้นข้าเอาหมี่เนื้อวัวอีกชาม”

 

ทั้งสองพากันเอ่ยชื่ออาหารโอชะแต่ละที่อย่างกระตือรือร้น ณ ที่รกร้างไร้ผู้คนเช่นนี้ สุดท้ายพูดไปก็ได้แต่น้ำลายสอ ท้องก็ร้องรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

 

เสวียนจีถอนหายใจหลับตาลงพึมพำกล่าวว่า “ตอนนี้…ข้าว่ามีแค่น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็ดีจน…”

 

อวี่ซือเฟิ่งรออยู่นาน เห็นนางไม่กล่าวอันใดอีก หันหน้าไปมองอีกที นางหลับไปแล้ว เสียงลมหายใจเป็นสุข เขาหลุบตามลง ในใจไม่รู้รสชาติอันใด ในที่สุดอดไม่ได้ เขยิบเข้าไปบรรจงจูบใบหน้านางเบาๆ ทีหนึ่ง

 

“เสวียนจี…” เขาเรียกชื่อนางเบาๆ เสียงสะท้อนก้องดังในถ้ำกว้าง วิ่งวนไปมาอยู่ในใจเขา