เมืองจงหลีมีร้านอาหารที่มีชื่อเสียงระบือไกลร้านหนึ่ง ชื่อว่าเหอซ่านถัง ทุกวันแขกที่มาซื้อหมั่นโถวไส้เนื้อร้านเขาเรียกได้ว่าต่อแถวยาวถึงหัวถนน การค้าดีจนเพื่อนร่วมอาชีพอิจฉาตาร้อน
ปกติร้านเขาจะเปิดในราวยามเหม่า รังนึ่งใหญ่หลายรังวางหน้าประตู ไอร้อนลอยกรุ่น หมั่นโถวไส้เนื้อส่งกลิ่นหอมแตะจมูกคนทั่วเมือง แต่วันนี้เหมือนมีความผิดปกติ เลยเวลาแล้ว คนต่อแถวก็เดินวนไปวนมาบนถนนสายนี้หลายรอบแล้วก็ไม่เห็นพวกเขาเปิดร้าน มีคนอยากรู้เดินไปเคาะประตูร้าน ผู้ใดเคยเห็นว่ามีการค้าแต่ไร้คนขายบ้าง ช่างไร้เหตุผล
ผ่านไปไม่นานเท่าไร เถ้าแก่ก็ปาดเหงื่อเต็มหน้าออกมา หน้าตาหมองคล้ำ ออกมาก็ฝืนยิ้มกล่าวว่า “ขออภัย…ทุกท่าน วันนี้หมั่นโถวร้านข้าไม่รู้อย่างไรถูกคนเหมาซื้อไปหมดแล้ว…ขอเชิญทุกท่านไปซื้อร้านอื่น”
ทุกคนพอได้ยินมีคนเหมาหมั่นโถวไส้เนื้อไปหมด ก็ได้แต่บ่นไม่พอใจเดินจากไป
เถ้าแก่ร้านผู้นั้นเองก็ทำอันใดไม่ได้จริงๆ ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์ว่า แต่เช้าตรู่เพิ่งเปิดร้านมา รังนึ่งยังไม่ทันได้ตั้ง ก็มีเงาร่างราวลมพัดหอบมาสองร่าง คนหนึ่งแย่งรังนึ่ง หันหลังวิ่งหนีไป ดุร้ายยิ่งนัก เสี่ยวเอ้อร์ตกใจตาค้าง ได้แต่คิดว่าเจอขโมยเข้าแล้ว กำลังจะร้องตะโกน ก็มีห่อก้อนเงินโยนมาตรงหน้า ชั่งน้ำหนักดูแล้วก็ราวห้าตำลึงได้ เขาคว้าเอาไว้ ได้ยินเสียงคนแย่งไปดื้อๆ ตรงหน้าสองคนนั้นกล่าวว่า “หมั่นโถวไส้เนื้อ พวกเราเหมาหมดแล้ว ขออภัย”
เสี่ยวเอ้อร์เล่าว่าสองคนนั้นเงาร่างราวภูตผี มองไม่ชัดว่าชายหรือหญิง คนแก่หรือหนุ่มสาว เถ้าแก่ร้านผู้นั้นทำการค้าในเมืองจงหลีสิบกว่าปี ไหนเลยเคยพบเรื่องเช่นนี้ ได้ยินว่าบางแห่งอาจมีเซียนจิ้งจอกสำแดงฤทธิ์ แย่งเสื้อผ้าและอาหารมนุษย์ และยังทิ้งเงินไว้ให้ คิดว่าสองคนนั้นที่แย่งหมั่นโถวไส้เนื้อไปคงเป็นเซียนจิ้งจอกกระมัง เอ๋…เซียนจิ้งจอกหิวจนตาลาย
สำหรับหมั่นโถวไส้เนื้อนั่น ยามนี้ลงท้อง ‘เซียนจิ้งจอกผู้ยิ่งใหญ่’ สองคนไปเรียบร้อย
เสวียนจีก้มหน้าก้มตายัดเอาๆ ติดคอจนแน่นหน้าอกไปหมด แต่ก็ตัดใจคายออกไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเท่าไร มือหนึ่งคว้าสองลูก ยามกินก็ไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว
เขาสองคนหิวจนน่าอนาถจริงๆ ก่อนหน้านี้ ทั้งสองล้วนบาดเจ็บ ขยับไม่ได้ ที่นั่นเป็นถ้ำที่ไม่มีแม้แต่กบหรือหอยทาก ทนหิวถึงห้าวันเต็มๆ นอกจากน้ำก็ไม่ได้มีอะไรให้กิน ต่อมาบาดแผลเสวียนจีหาย ก็ออกจากถ้ำมาเด็ดผลไม้กลับมากิน ไม่รู้ทำอย่างไร หินไฟที่เขาสองคนพกติดตัวมาด้วยถูกน้ำซัดไปหมด ในถ้ำก็ชื้นแฉะ ไม่อาจติดไฟย่างอันใดได้ สุดท้ายทั้งสองได้แต่กินผลไม้จนแทบจะอาเจียน เสวียนจีหิวจนตาเขียวคล้ำ เกือบจะจับมดมากินได้ ยังดีที่อวี่ซือเฟิ่งยังพอมีสติอยู่บ้าง พอหายดีก็รีบลากนางเหินกระบี่ออกจากถ้ำ ตรงมายังเมืองจงหลี อาศัยจังหวะแต่เช้าตรู่ที่ร้านยังไม่เปิด แย่งชิงหมั่นโถวไส้เนื้อได้ก็รีบหนี
รูปลักษณ์พวกเขาสองคนในตอนนี้ไม่เหมาะเจอผู้คนจริงๆ ไม่ต่างอันใดกับคนป่าสักเท่าไร เพื่อไม่ทำให้คนในเมืองต้องตกใจ ได้แต่เหินกระบี่กลับไปยังถ้ำลึกในป่า ไปกินหมั่นโถวไส้เนื้อสองรังนึ่งจนหมดเกลี้ยงที่ริมน้ำพุ
เสวียนจียามนี้จึงรู้สึกพึงพอใจ ลูบท้องที่ยื่นออกมา นอนเรออยู่บนก้อนหิน หันไปกล่าวว่า “ใต้หล้านี้ยังคงเป็นหมั่นโถวไส้เนื้ออร่อยที่สุดดังที่คาดไว้”
รูปลักษณ์อวี่ซือเฟิ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักล้างมือล้างหน้าในน้ำ จัดแจงผมที่ยุ่งพันกันให้เรียบร้อย หันไปกวักมือเรียกนางด้านหลัง “มานี่ มาจัดการตนเองให้เรียบร้อยสักหน่อย”
เสวียนจีกินจนจุกแทบตาย ขยับตัวไม่ไหว โบกมือย่างเกียจคร้าน “อีกสักพักค่อยว่ากัน…อย่างไรก็ไม่มีคน”
เขาได้แต่ถอนหายใจ เข้าไปล้างหน้าล้างมือให้นาง หันไปวักน้ำมาจัดการผมที่พันกันยุ่งเหยิงของนางให้เรียบร้อย เกล้าเป็นมวยง่ายๆ แต่ดูท่าเขาไม่ชำนาญการหวีผมให้ผู้หญิงจริงๆ ผมมวยนั้นแค่เขย่าก็เหมือนจะหลุด ดูไม่ปลอดภัยยิ่ง
“อาการบาดเจ็บครั้งนี้ใกล้หายแล้ว พลังวัตรข้าก็ฟื้นคืนมาแล้ว ตอนนี้พวกเราไปหาพวกหลิงหลงกับหมิ่นเหยียนกันเถอะ”
อวี่ซือเฟิ่งจับมวยผมนางยกขึ้นแล้วขึ้นอีก สุดท้ายก็หลอกตนเองไปว่าคงไม่หลุดแล้ว จึงได้วางใจปล่อยมือ
เสวียนจีเดิมขี้เกียจราวกับแมว กินอิ่มก็คิดนอน พอได้ยินชื่อหลิงหลงกับหมิ่นเหยียนก็รีบกระโดดขึ้นมากล่าวว่า “พวกเรารีบไปหากัน! ไม่แน่พวกเขายังอยู่ที่เขาเกาซื่อซาน!”
อวี่ซือเฟิ่งก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่เปื้อนโคลนของตนเอง แล้วมองไปยังเสวียนจีที่ราวกับออกจากบ่อโคลนเหมือนกัน นางเองพลันพบว่าสภาพนางดูทุลักทุเลมาก ทั้งสองต่างหัวเราะเจื่อนๆ มองหน้ากันและกัน เสื้อผ้าในห่อสัมภาระที่นำติดต่อมาด้วยก็ทิ้งไว้ที่ตระกูลฟาง ในเวลาฉับพลันไม่อาจหามาเปลี่ยนได้ ได้แต่ใช้น้ำชะล้างดินโคลนออกไปก่อน ทำให้สะอาดขึ้นมาอีกหน่อย จึงได้พากันออกไปหาพวกหลิงหลง
เพราะเป็นห่วงว่าระหว่างทางอาจเจอกับปีศาจพวกนั้น ดังนั้นพวกเขาตัดสินใจเหินกระบี่แนบไปกับยอดไม้ ทันทีที่พบอะไรผิดปกติก็จะได้หนีได้รวดเร็ว
พวกเขาใช้เวลาไปตลอดช่วงเช้าหาเกือบทั่วเขาเกาซื่อซานรอบหนึ่ง ไม่เพียงไม่พบพวกหลิงหลงแม้แต่เงาปีศาจสักครึ่งตนก็ไม่มี แม้แต่ถิงหนูที่ไปหลบฝนในถ้ำนั้นก่อนหน้าก็ไม่มี
“วันนั้นข้าเหมือนเห็นมีคนปล่อยพลุสัญญาณ” อวี่ซือเฟิ่งหาในถ้ำรอบหนึ่ง หาไม่พบร่องรอยใด ได้แต่ถอนหายใจกล่าวขึ้น
เสวียนจีพิงกำแพงท่าทีงุนงงสับสน กล่าวเบาๆ ว่า “ต้องเป็นพวกหลิงหลงแน่…ถูกปีศาจจับไปหรือไม่”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ปีศาจพวกนั้นต้องการสังหารพวกเราแก้แค้น จะไว้ชีวิตได้อย่างไร เมื่อครู่หาตั้งนานก็หาไม่พบ คิดว่าพวกเขาหนีไปกันแล้ว พวกเราไปหอไท่จี๋กันก่อน ดูว่าโซ่หมุดทะเลถูกทำลายไปแล้วหรือยัง”
ในใจเสวียนจีเองก็ไร้หนทาง ได้แต่ตามเขาเหินไปยังยอดเขาเกาซื่อซาน ตำหนักฟุ้งเฟ้อหรูหราของจิ้งจอกม่วงสะดุดตาอยู่ตรงหน้า ครั้งนี้พวกเขามีประสบการณ์ ไม่เข้าไปทางเขาวงกตอีก หากบินตรงไปยังด้านบนตำหนัก ที่นั่นมีถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งดังคาด ทะลุไปยังด้านหลังหอไท่จี๋ ในนั้นมืดมิดดำทะมึน ลมชื้นพัดมาเป็นระยะ ราวกับมีมารปีศาจแอบซ่อนอยู่มากมาย
อวี่ซือเฟิ่งชักกระบี่ออกมาเดินอยู่ด้านหน้า หันไปกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าตามมาอย่าห่าง เกรงว่ามารปีศาจพวกนั้นยังอยู่ข้างใน พวกเราต้องทำการระมัดระวัง”
กระบี่เสวียนจีเองถูกจิ้งจอกม่วงแย่งไปแล้วก็หาไม่พบอีก ยามนี้ถือกระบี่อวี่ซือเฟิ่ง หนักไปหน่อย ใช้แล้วไม่ถนัดมือ แต่ยามนี้ไม่อาจคิดมากอันใดขนาดนั้น ได้แต่ชักออกมากุมไว้ในมือ เดินไปข้างในพร้อมกันกับเขาทีละก้าว
มาถึงหอไท่จี๋อย่างรวดเร็ว อวี่ซือเฟิ่งรวมสติตั้งใจฟังอยู่นาน ด้านในไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด เขาส่งสายตาให้เสวียนจีบอกให้นางคอยป้องกัน ตนเองจะพุ่งเข้าไปเอง ด้านหลังพลันเขม็งเครียด ส่งพลังวัตรเข้าสู่กระบี่สั้น ขอเพียงมีคนพุ่งเข้าโจมตี เขาก็จะได้ตอบโต้ได้ทันที
แต่ในหอไท่จี๋ก็ไม่มีเงาคน เขาค่อยๆ เก็บกระบวนท่าคืนกวักมือเรียกเสวียนจี “เข้ามา…ที่นี่เหมือนว่ามีอะไรผิดปกติอยู่สักหน่อย”
พอเสวียนจีเข้ามาก็มองไปรอบๆ “ก็ไม่มีอันใด…เหมือนว่า สว่างไปหน่อย” นางจำได้ว่าหอไท่จี๋ปิดทึบจนมืด เพราะจิ้งจอกม่วงเก็บร่างตนไว้ที่นี่ แต่ยามนี้ที่นี่ไม่มืด ยังสว่างมาก ถึงกับยังมีลมภูเขาพัดหอบเข้ามา
“ไม่มีกำแพงด้านนั้นแล้ว” อวี่ซือเฟิ่งชี้ไปทางตะวันออก กำแพงทางนี้ทั้งแผงถูกรื้อออกไป ดังนั้นจึงได้เห็นว่าสว่างมาก
เขาเดินเข้าไปลูบขอบกำแพง ตรงนั้นมันวาวมาก เหมือนว่าใช้ดาบขนาดใหญ่ตัดกำแพงนี้อย่างบรรจงที่สุด
“อา ข้าจำได้ กำแพงด้านนี้เดิมปักโซ่หมุดทะเลไว้” เสวียนจีมองไปรอบๆ ในที่สุดก็ค่อยนึกถึงโซ่หมุดในความทรงจำได้ ยังเป็นกำแพงที่ปิดยันต์ไว้ด้วย
คิ้วอวี่ซือเฟิ่งขมวดแน่นขึ้นทันที ตามหลักแล้วเทพศาสตราเช่นโซ่หมุดทะเลไม่ควรถูกทำลายได้ง่ายดายเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นมารปีศาจที่ถูกจองจำตนนั้นก็คงถูกช่วยออกมานานแล้ว ไยต้องรอมานานหลายปีเช่นนี้ ปีศาจพวกนั้นแท้จริงมาจากไหนกัน ถึงกับตัดกำแพงที่ปักโซ่หมุดออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
คาดเดาไปแล้ว โซ่หมุดทะเลเขาไห่หวั่นก็คงต้องถูกทำลายไปด้วยแล้วเป็นแน่ สภาพการณ์อีกหกทิศนั้นพวกเขายังไม่กระจ่าง แต่ตามวิธีการลงมือของปีศาจพวกนั้น ผ่านเมืองจงหลี ก็ควรจะไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นั่นมีเทือกเขาติดกันเป็นทิวแถว แท้จริงโซ่หมุดทะเลซ่อนอยู่ที่ใด เขาเองก็ไม่รู้แม้แต่น้อย
“ซือเฟิ่ง เจ้าเดา เป็นนกปี้ฟางขาเดียวใช้ไฟเผาไหม เผากำแพงไหม้ไปหมดเลย”
เสวียนจีลูบคลำส่วนโดนตัดที่มันวาว แอบรู้สึกถึงกลิ่นอายปีศาจของปี้ฟางอยู่เล็กน้อย
อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ จริงๆ แล้ว…ข้าก็ได้ยินเรื่องโซ่หมุดทะเลเป็นครั้งแรก และยังเพิ่งรู้…ที่แท้โลกนี้มีปีศาจที่บรรลุตบะเป็นมารปีศาจมารวมตัวกันมากมายได้เพียงนี้”
หากแผนการของมารปีศาจพวกนั้นเพื่อทำลายโซ่หมุดช่วยพญามารปีศาจนั่นออกมา เช่นนั้นพวกเราควรหยุดยั้งเรื่องนี้หรือไม่ ไม่…ปัญหาตอนนี้ไม่ใช่ว่าควรไม่ควร แต่เป็นทำได้หรือไม่ได้ ตอนนี้ห้าคนแตกกระสานซ่านเซ็น ความสามารถเขากับเสวียนจีไม่อาจรับมือพวกมันได้
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง หันไปกล่าวว่า “เสวียนจี เรื่องนี้เกรงว่ามีเงื่อนงำ ไม่ใช่พวกเราจะรับมือกันเองได้ ที่นี่ใกล้กับเกาะฝูอวี้ทางทะเลตะวันออก พวกเราไม่สู้ไปหาเจ้าเกาะตงฟาง หากโชคดี หรูอี้กับหมิ่นเหยียนอยู่ด้วยยังหาหลิงหลงเจออีก พวกเขาต้องไปที่เกาะฝูอวี้แล้ว พวกเราไปเกาะฝูอวี้รวมตัวกับพวกเขากันเถอะ”
เสวียนจีพยักหน้า พลันคิดอันใดขึ้นมาได้ ยิ้มกล่าวว่า “พอดีเลย เป็นช่วงเวลากำหนดรายชื่อผู้ร่วมงานชุมนุมปักบุปผาปีนี้ ครั้งนี้เป็นเกาะฝูอวี้จัดงานชุมนุมปักบุปผา ครั้งนี้ทุกคนย่อมไปคัดเลือกชื่อกันที่เกาะฝูอวี้ ไม่แน่ว่าอาจได้พบศิษย์ร่วมสำนักเจ้า อ้อ อืม ศิษย์พี่สำนักเส้าหยางเหล่านั้นก็ย่อมต้องไปด้วยแน่”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งงัน ในใจเขาไม่อยากพบคนตำหนักหลีเจ๋อเลยจริงๆ เขาไม่รู้จะอธิบายกับทุกคนอย่างไร หน้ากากนั้นถูกปลดออกแล้ว แต่ยังคงร้องไห้ นิ่งเป็นนานก่อนเขาจะกล่าวขึ้นแผ่วเบาว่า “ก็ดี…ออกเดินทางกันเลยแล้วกัน”