ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 41 การเดินทางของสองคน

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ยามนั้น ทั้งสองอาศัยจังหวะกลางคืนลอบเข้าจวนตระกูลฟาง เอาห่อเสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ที่นั่นทั้งหมดออกไปเงียบๆ

 

 

ว่ากันว่าคนที่เคยถูกเซียนหญิงเลือกขึ้นเขาไปล้วนกลับมาแล้ว และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาให้ทุกคนฟังรอบหนึ่ง เป็นดังคาดที่ว่าสวมชุดแต่งงานแต่งกับนาง คืนแต่งงานนางกลับไม่มา ทิ้งพวกเขาให้เฝ้าห้องหอเดียวดาย วันที่สองยังส่งไปสวนอี๋ซินหลังเขาเพื่อทำสิ่งที่เรียกว่า ‘บำเพ็ญเพียร’

 

 

พฤติกรรมจิ้งจอกม่วงแท้จริงดีหรือชั่ว ไม่รู้จริงว่าควรตัดสินเช่นไร แต่ชาวเมืองจงหลียังคงสำนึกในบุญคุณที่นางสำแดงอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือผู้คน ยังคนไปจุดธูปบูชากันที่ศาลบรรพชนตระกูลเกา ว่ากันว่าคนที่มาขอพรมักจะได้สมดังหวัง ส่วนเรื่องว่าใช่จิ้งจอกม่วงช่วยหรือไม่นั้น ก็ไม่อาจรู้ได้

 

 

แผนการอวี่ซือเฟิ่งก็คือตรงไปยังเกาะฝูอวี้ เล่าเรื่องโซ่หมุดทะเลและมารปีศาจอาละวาดให้ตงฟางชิงฉีฟังก่อน จากนั้นค่อยไปที่นั่นรอพวกหลิงหลงมา ตามแผนเดิมของพวกเขาห้าคนก็คือไปเกาะฝูอวี้ ยามนี้แยกจากกันไป ก็ควรต้องเลือกไปรวมตัวกันที่นั่น

 

 

ออกจากเมืองจงหลีเหินเหินกระบี่ตรงขึ้นเหนือ ผ่านป่าเขาติดต่อกันหลายพันลี้ ผ่านหุบเขามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าตอนนี้เป็นทะเลกว้างใหญ่สีคราม

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคว้าแผนที่ออกมา แขนเสื้อถูกลมที่พัดจนโบกสะบัดส่งเสียงกระพือดัง เขามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ยามนี้ควรจะผ่านจี๋ม่อแล้ว เหินอีกสักพักก็จะถึงเขาจือฝู พวกเราไปพักที่นั่นสักวัน รอให้คนไปแจ้งก่อน”

 

 

เสวียนจีพยักหน้า แม้ว่านางไม่เคยไปเกาะฝูอวี้ แต่ก็รู้ว่านั่นเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลใหญ่ รอบด้านเป็นเขาล้อมรอบดังกำบังธรรมชาติคอยปกป้อง เกาะฝูอวี้ยังวางแหกระบี่ขนาดใหญ่ อย่าว่าแต่คน แม้แต่นกตัวหนึ่งก็บินเข้าไปไม่ได้ ดังนั้นหากต้องการเข้าเกาะฝูอวี้ ก็มีเพียงไปยังหมู่บ้านเล็กที่เขาจือฝู รอไปแจ้งก่อน ที่นั่นเทียบเท่ากับประตูสู่เกาะฝูอวี้

 

 

“ซือเฟิ่ง ซือเฟิ่ง~~” เสวียนจีบนกระบี่กวักมือเรียกเขาท่าทางลับๆ ล่อๆ สองตาส่องประกายวาว ราวกับแมวน้อยครึ้มใจตัวหนึ่ง

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพอเห็นนางอารมณ์นี้ ก็รู้ว่านางคิดถึงเรื่องครึ้มใจอันใดได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “อยากไปกินอาหารเลิศรสที่หมู่บ้านใช่ไหม”

 

 

“อา โดนเจ้าทายถูกอีกแล้ว” เสวียนจีรู้สึกเขินอยู่มาก เหมือนว่าผู้ใหญ่อายุสิบห้าไม่ควรมีความอยากกินอะไรแบบนี้ อย่างไรท่านแม่กับท่านพ่อก็มักเอาแต่สอนนาง อายุสิบห้าเป็นแม่นางแล้ว ต้องนิ่งสุขุมหน่อย แต่อยากกินไม่นับว่าไม่สุขุมกระมัง เสวียนจีรู้สึกตนเองวางตัวสุขุมมากแล้ว นางก็แค่ทนหิวมานาน ในที่สุดก็อดไม่เอ่ยปากต่อไปไม่ไหวแล้ว

 

 

แม้ว่าเป็นปราชญ์เมธียิ่งใหญ่ก็หิวเป็น ไม่ใช่หรือ

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอดเย้าแหย่นางไม่ได้ “เจ้ารู้ว่าเขาจือฝูมีอันใดอร่อยหรือ ดีใจเช่นนี้”

 

 

“แน่นอนว่าข้ารู้” เสวียนจีได้ใจยกใหญ่ เรียงชื่อออกมาราวกับเอ่ยถึงสิ่งล้ำค่า “น้ำแกงเนื้อสุนัขเอย เนื้อวุ้นกรอบเอย หมี่เอย…”

 

 

นางพูดไปท้องก็ยิ่งหิว เงยหน้ามองอวี่ซือเฟิ่งที่กำลังมองตนพร้อมรอยยิ้มบาง นางรีบเสริมว่า “ล้วนเป็นหลิงหลงบอกข้า ข้ายังไม่เคยกินเลย…นาง นางบอกว่าอร่อย”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลูบคาง ส่ายหน้ากล่าวว่า “ดูท่าเจ้ายังไม่เคยกินที่อร่อยยิ่งกว่า โอย น่าเสียดายๆ”

 

 

ยังมีอันใดอร่อยยิ่งกว่าหรือ เสวียนจีเบิกตากลมโตจ้องมองเขา ซือเฟิ่งราวกับไปมาหลายที่ ที่เขาว่ามาต้องไม่เลวเป็นแน่

 

 

เขาหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “พาเจ้าไปเจ้าก็รู้เอง”

 

 

หมู่บ้านเล็กที่เชิงเขาจือฝูเรียกได้ว่า ‘เล็ก’ จริง ขนาดกว้างยาวเพียงแค่สิบลี้ แม้ว่าเล็กแต่ก็มีครบครันทั้งโรงเตี๊ยมและร้านอาหาร โรงเตี๊ยมส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านในพื้นที่ให้บริการ จ่ายเงินไปไม่กี่อีแปะ อาหารน้ำแกงร้อนตั่งนั่งอุ่นก็มาพร้อม

 

 

พออวี่ซือเฟิ่งเข้ามาในหมู่บ้านก็พาเสวียนจีเดินอ้อมไปมา ถนนที่ไม่กว้างนักเลี้ยวไปเลี้ยวมา หมู่บ้านนี้ไม่มีแม้แต่ชื่อ แต่เพราะใกล้เกาะฝูอวี้ ดังนั้นคนนอกมาก็เลยล้วนเรียกว่าหมู่บ้านฝูอวี้ น่าจะเพราะพื้นที่เล็ก ดังนั้นทางแยกจึงมาก มักจะคิดว่าด้านหน้าไม่มีทางแล้ว แต่พอเลี้ยวก็เหมือนเจอแสงสว่างท่ามกลางความมืด

 

 

ที่แท้ร้านอาหารมากมายแฝงตัวอยู่ตามตรอกซอกซอย ไม่สังเกตหาก็คงหัวหมุนตาลายวนไปมา เสวียนจีเดินตามอวี่ซือเฟิ่งอยู่นานก็มาถึงตรอกเล็กแห่งหนึ่ง ที่นี่เหมือนว่าล้วนเป็นร้านอาหาร มีทั้งเต้าหู้เหม็นทอด เนื้อย่าง ยังมีหมี่เส้นสดทำเอง พอดีเป็นเวลาอาหารกลางวัน พอย่างกรายเข้าไปกลิ่นหอมก็ลอยมา เสวียนจีก้าวขาไม่ออกแล้ว

 

 

“ซือ ซือเฟิ่ง…พวกเราจะไปไหนกัน” เสวียนจีจับตามองเนื้อย่างน้ำมันเยิ้มบนชั้นวาง คิดจะจากไป ก็ยากจะตัดใจ

 

 

เขายิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ใกล้ถึงแล้ว ตามข้ามา” เขาคว้ามือนางมากุมเดินไปสุดซอย พอเลี้ยวไปก็เข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เสวียนจีเห็นด้านในโถงบ้านเล็กๆ มีโต๊ะวางเพียงสองตัว ม้านั่งสองสามชุด ด้านหน้าแขวนม่านไว้ พอมองก็รู้ทันทีว่าใช้โถงบ้านตนมาทำเป็นร้านอาหาร

 

 

ยามนี้ที่นี่มีแขกเพียงสองคน ก้มหน้ากินหมี่ กลิ่นหมี่นั่นแปลกมาก ดมแล้วทำเอาน้ำลายสอ

 

 

“มา เจ้านั่งก่อน” อวี่ซือเฟิ่งใช้แขนเสื้อเช็ดม้านั่งที่เปื้อนคราบมัน กดตัวนางนั่งลง ตนเองเดินไปเลิกม่านเดินเข้าไป ไม่รู้กล่าวอันใดกับเถ้าแก่ร้าน ผ่านไปไม่นานเท่าไร เขาก็ยกอาหารสองจานที่มีผักมันเยิ้มออกมา

 

 

“อาหารเรียกน้ำย่อย กินนี่ก่อน” เขาวางจานหนึ่งลง ส่งตะเกียบคู่หนึ่งให้นาง

 

 

นั่นเหมือนว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ใบแหลมๆ เสวียนจีแต่ไรมาไม่เคยเห็นผักนี้ ลังเลก่อนจะยัดเข้าปาก รู้สึกว่ารสชาติเปรี้ยวหวาน ยังมีความเผ็ดนิดๆ เข้ากับผักที่กรุบกรอบสดชื่น รสชาติดีอย่างไม่อาจกล่าวเป็นวาจาใดได้

 

 

“อืมๆ อร่อย!” นางกินไปถามไป “นี่คือผักอะไร”

 

 

“ผักป่าเขาจือฝู ไม่มีชื่อ คนท้องที่เรียกว่าผักป่าแมวเหมียว”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย อดอยากจะยิ้มไม่ได้

 

 

เสวียนจีพยักหน้าจริงจังกล่าวว่า “อืม เมื่อก่อนข้ารู้สึกเสมอว่าอาหารมีชื่อจึงจะอร่อยที่สุด ตอนนี้พบว่า ของอร่อยไม่จำเป็นต้องมีชื่อ เหมือนที่ท่านพ่อมักกล่าวว่า ผู้สูงส่งซ่อนเร้นกาย ซ่อนตัวในที่ที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก น่าจะเป็นเหตุผลเช่นนี้กระมัง”

 

 

กินข้าวกลับคิดโยงไปถึงผู้สูงส่งเร้นกายได้ สมองนางช่างคิดเกินไปหน่อยแล้วกระมัง อวี่ซือเฟิ่งยิ้มส่ายหน้า กำลังจะกล่าว เถ้าแก่ร้านผู้นั้นก็ยกชามไม้ใหญ่ออกมาสองชาม ในชามมีหมี่เส้นขาวราวหิมะ ไม่รู้ว่าใช้น้ำแกงอะไรต้ม กลิ่นหอมประหลาด ด้านบนยังมีโรยกุ้งชิ้นใสราวผลึกใสเต็มชาม

 

 

เสวียนจีไม่สนใจจะกล่าวอันใดอีกแล้ว กินจนสองแก้มพอง อวี่ซือเฟิ่งกลับเอาแต่สนทนากับเถ้าแก่ รู้ว่าน้ำแกงนี้เป็นสูตรลับตระกูลเขาสืบทอดกันมา ใส่เครื่องยาลงไป ดังนั้นกลิ่นจึงหอมเข้มข้น ทำให้คนรู้สึกจรุงชื่นใจ

 

 

เถ้าแก่เห็นหนุ่มสาวสองคนดีใจ ก็อดไม่ได้เข้าไปยกเครื่องเคียงมาให้อีกสองจาน ให้พวกเขาลองชิมโดยไม่คิดเงิน

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้ม กล่าวว่า “ขอบคุณท่านอามาก มีเรื่องอยากขอถามท่านอา พวกเราจะไปเกาะฝูอวี้ ไม่ทราบว่าควรไปแจ้งที่ใด”

 

 

เถ้าแก่ร้านผู้นั้นได้ยิน ก็กลับโบกมือกล่าวว่า “น้องชายอย่าไปเลยดีกว่า ระยะนี้บนเกาะเหมือนว่าไม่สงบนัก หลายวันก่อนเพิ่งได้ยินว่าเจ้าเกาะโมโหอย่างมาก ขับไล่ศิษย์ที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กด้วยตนเองหลายคนออกจากสำนักด้วย”

 

 

ทั้งสองได้ยินก็พากันหยุดกิน สบตากันอย่างนึกสงสัย เจ้าเกาะตงฟางเป็นวีรบุรุษในหมู่ชน ยังใจกว้าง มีความเป็นจอมยุทธ์ใหญ่อยู่มาก จะระเบิดโทสะใส่ศิษย์ตนได้อย่างไร และพวกเขาก็เคยร่วมเดินทางกันมาระยะหนึ่ง รู้ว่าคนเช่นเขาเป็นคนปกป้องคนของตน ศิษย์ตนเองจะไม่ดีอย่างไร จะถึงขับไล่ออกจากสำนักได้อย่างไร

 

 

เถ้าแก่ร้านผู้นั้นยังกล่าวว่า “แต่พวกเจ้าหากมีเรื่องด่วน ก็ไปที่เรือนเก่าหอซีไผหาพวกเขาได้ คิดไปเกาะฝูอวี้ก็ไปแจ้งที่นั่น จะมีคนพาพวกเจ้าเข้าไป ศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักพวกนั้นก็ยังตัดใจจากไปไม่ลง ยังไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น…เฮ้อ เวรกรรมจริง เด็กน้อยที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กจนโต เห็นพวกเขาประจำ ทุกคนร้องไห้จนน้ำตานอง…”

 

 

ทั้งสองออกจากร้านอาหารไป เดินไปพลางหวนคิดคำพูดเถ้าแก่ร้านไป เสวียนจีพลันดึงแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง กระซิบว่า “เจ้าว่า…ใช่ภรรยาเขาไหม…เรื่องนั้น…”

 

 

ทั้งสองล้วนนึกถึงเรื่องตอนงานชุมนุมปักบุปผาเมื่อสี่ปีก่อน พบภรรยาเจ้าเกาะตงฟางกับพ่อบ้านแอบพบกันที่หลังเขา ยามนั้นเจ้าเกาะตงฟางถูกปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่อง ผ่านมาสี่ปี อาจเป็นไปได้ว่าเรื่องแอบลอบพบกันนั้นถูกเขาพบเข้า ดังนั้นจึงสับสนอับอายกลายเป็นความโกรธ ขับไล่ศิษย์ทุกคนที่รู้เรื่องไปหมด

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคิดไปมา ส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าเกาะตงฟางไม่ใช่คนเช่นนั้น ย่อมไม่เพียงเพราะหน้าตาตนเองก็ขับไล่ศิษย์ตน เรื่องนี้มีเงื่อนงำ พวกเราไปดูที่เกาะกันก่อนแล้วกัน”

 

 

“เขา…จะไม่อยากเจอพวกเราไหม” เสวียนจีลังเลครู่หนึ่ง อย่างไรก็เป็นเรื่องน่าอายในครอบครัว ผู้ใดก็คงไม่อยากให้คนนอกรู้

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถอนใจกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่มีทางอื่น มารปีศาจกับเรื่องนี้ อันใดหนัก อันใดเบา พวกเราไม่รู้อีกฝ่ายมาจากไหน เกิดมารปีศาจถูกปล่อยออกไป ทำลายโลกมนุษย์ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องผิดบาปหนักหนาสาหัส”

 

 

เสวียนจีพยักหน้า ทั้งสองเร่งเดินไปยังหอซีไผด้วยใจหนักอึ้ง ได้ยินมุมถนนหนึ่งมีเสียงตีไม้กรับ ที่แท้มีคนตั้งแผงแสดงฝีมือ กำลังเชิญชวนให้คนผ่านไปมาเข้าร่วมแสดงฝีมือ เสวียนจีเห็นทางนั้นครึกครื้น อดเหลือบมองไม่ได้ เห็นคนเดินผ่านไปโดดขึ้นไปบนแผ่นไม้เพื่อเกี่ยวดอกซ่อนกลิ่นที่แขวนบนราวไม้

 

 

นางเห็นหลายคนเข้าร่วมสนุก แต่ไม่มีคนทำได้สำเร็จสักคน ดอกซ่อนกลิ่นแขวนอยู่บนราวสูงมาก ต้องลมสะบัดไปมายั่วยวนยิ่ง เขาจือฝูไม่ค่อยได้เห็นดอกไม้เช่นนี้ ดังนั้นทุกคนจึงพากันอยากลอง ชายเจ้าของแผงตะโกนดังว่า “หนึ่งอีแปะโดดหนึ่งที หนึ่งอีแปะโดดหนึ่งที! โดดถึงดอกไม้เป็นของเจ้า”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพลันดึงมือนางวิ่งไป โยนให้ชายแผงเร่หนึ่งอีแปะ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเอง”

 

 

ชายแผงเร่รีบฉีกยิ้ม “คุณชายท่านนี้ เชิญขึ้นเหยียบแผ่นไม้ ระวังหน่อย ระวังสะดุดล้ม”

 

 

เขาส่ายหน้า “ไม่ต้อง” กล่าวจบหันกลับไปยิ้มกับเสวียนจี กล่าวว่า “รอเดี๋ยว จะรีบกลับมา”

 

 

เสวียนจีจ้องมองเขาขึ้นไป โดดตัวเบาราวมังกรผงาดหงส์สยายปีก แขนเสื้อสะบัด ค่อยๆ บินทะยานขึ้นไป คนตรงเวทีด้านล่างพากันส่งเสียงดังให้กำลังใจ ท่ามกลางเสียงร้องดังสนั่นนั่นเอง มือหนึ่งของเขาคว้าราวไม้นั่น ปลายเท้าแตะกัน เกี่ยวดอกซ่อนกลิ่นได้พอดี

 

 

หนุ่มน้อยผมดำดวงตาดำขลับ นิ้วมือคีบดอกซ่อนกลิ่นขาวราวหยก พลิกตัวตีลังกาลงถึงพื้นอย่างงดงาม ไม่มีเหงื่อหยดแม้แต่หยดเดียว เสวียนจีเห็นเขาเดินมาทางตน พลันรู้สึกใจเต้นโครมครามรุนแรง ราวกับจะหลุดออกมา ดวงตาดำราวกับอัญมณีของเขามองนางอบอุ่น มองเพียงนาง เดินมายังเบื้องหน้านาง ต่อหน้าทุกคนที่ส่งเสียงโห่ร้องดัง ค่อยบรรจงเสียบดอกซ่อนกลิ่นเข้าหลังใบหูนาง ยิ้มกล่าวว่า “มอบให้เจ้า”

 

 

ลำคอนางส่งเสียงครางอือเสียงหนึ่ง ใบหน้าพลันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ในที่สุดก็รู้สึกเขินอายเป็นแล้ว ในใจทั้งดีใจทั้งแปลกใจ พลันกล่าวอันใดไม่ออก