ตอนที่ 751

Elixir Supplier

751 ประตูอะไร? ลึกลับ

 

คำพูดของเขาดูเรียบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่

 

เจี๋ยจื่อจายสูบบุหรี่และมองชายที่อยู่ตรงหน้าเขา “แล้วถ้าเกิดนายเปิดประตูบานนั้นไม่ได้ขึ้นมาล่ะ?”

 

“ฉันแตะมันได้แล้ว” จงหลิวชวนพูด “มันเริ่มคลายแล้วล่ะ”

 

เจี๋ยจื่อจายตกตะลึง

 

“สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ นายควรหยุดสูบได้แล้ว” จงหลิวชวนลุกขึ้นยืนและจากไป

 

เจี๋ยจื้อจายคิด นี่มันดูลึกลับมาก ฉันกำลังฟังเรื่องจริงอยู่ แต่ประตูนั้นคืออะไร?

 

เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น ภายในห้องจึงเหลือเขาที่ถูกมัดอยู่เพียงลำพัง

 

“เฮ้ย! อย่าเพิ่งไปเซ่! อยู่คุยกับฉันก่อน!” เจี๋ยจื่อจายตะโกน “ไม่มีอะไรให้ทำสักอย่าง! ทีวี อินเตอร์เนต หรือวิทยุอะไรก็ไม่มีให้! มันอยู่ยากนะโว้ย!”

 

หลายวันมานี้ เขาพยายามคิดหาทางนี้อยู่ตลอด แต่ร่างกายของเขากลับไม่สามารถควบคุมได้ เขารู้สึกอ่อนแรงอยากที่ยากจะอธิบาย มันเกิดขึ้นอยู่ภายในร่างกาย ทำให้เขาไม่สามารถขยับร่างกายของตัวเองได้ แม้แต่การขยับนิ้วมือก็ยังเป็นเรื่องยาก

 

เขาถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง และล้มตัวลงนอนบนเตียง เขาคิด ความจริง การนอนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

 

หลังจากกลับมาถึงที่บ้าน จงหลิวชวนก็เดินเข้าไปในห้องสำหรับการฝึกฝนโดยเฉพาะ ภายในห้องแทบไม่มีอะไรเลย ของมีค่าที่สุดก็คือฟูกที่เขาเพิ่งซื้อมา เขาลงนั่งขัดสมาธิและเริ่มต้นฝึกฝนวิธีการหายใจ

 

เขาไม่ได้พูด เขาแตะไปที่ประตู นี่คือวิธีที่หวังเย้าสอนเขาเอาไว้ หลายวันที่ผ่านมา เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตัวเอง พลังของเขาเพิ่มพูนขึ้น ประสารทสัมผัสของเขาเฉียบคมมากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน

 

ถึงแม้ว่าจงหลิวชวนจะใช้ความพยายามของเขาเพื่อที่จะก้าวผ่านมันไปให้ได้ แต่เขาก็พบว่า การก้าวข้ามคอขวดเป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก ทั้งความพยายามมานะบากบั้นและสิ่งที่เรียกว่าโอกาส ถือเป็นสิ่งจำเป็น

 

มันคือสิ่งที่ต้องใช้ทั้งชีวิตในการไล่ตาม เพื่อความฝันที่แตกต่างกันไปของหลายๆคน ไม่ว่าจะเพื่อชีวิตที่สงบสุข, เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย, หรือมุ่งสู่ความบ้าคลั่ง

 

จงหลิวชวนก็มีฝันของตัวเอง เขาต้องการชีวิตที่เงียบสงบ แต่เขาต้องทำให้คนคิดร้ายเหล่านั้นหวาดกลัวเขาให้ได้ก่อน

 

เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปรวดเร็ว ซูเสี่ยวซวีต้องกลับในตอนบ่าย เพราะพรุ่งนี้เธอมีเรียน

 

หวังเย้าพาเธอไปส่งที่สนามบินที่ห่ายชิว

 

“กลับเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

หวังเย้ากอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนและกระซิบว่า “อาทิตย์หน้าผมจะไปหาเธอนะ”

 

“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีมีความสุข

 

ชูเหลียนมองคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ

 

เครื่องบินทะยานขึ้นมุ่งสู่ท้องฟ้า สภาพอากาศที่ห่ายชิวปกติดี ดังนั้น ท้องฟ้าด้านบนจึงปลอดโปร่ง

 

หวังเย้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า การมองเห็นของเขาดีกว่าคนทั่วไปมาก ดังนั้น เขาจึงมองได้ไกล เขามองขึ้นไปจนกระทั่งเครื่องบินหายลับไป จากนั้น เขาจึงหมุนตัวและกลับบ้าน

 

บนเครื่อง ซูเสี่ยวซวีมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ

 

“คุณหนูทนไม่ไหว” ชูเหลียนพูดเสียงเบา

 

“ค่ะ ฉันไม่อยากจากไปเลย” ซูเสี่ยวซวียิ้ม

 

“ระยะห่างคือผลิตผลของความงดงาม” ชูเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม

 

ซูเสี่ยวซวีกระซิบ “หนึ่งอาทิตย์แปบเดียวก็ถึง”

 

หวังเย้าซื้ออาหารทะเลจากห่ายชิว ก่อนจะเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านกลางเขา

 

“เสี่ยวซวีกลับไปแล้วเหรอจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม

 

“ครับ เธอขึ้นเครื่องกลับไปแล้ว” หวังเย้าพูด

 

“แล้วเธอจะกลับมาอีกเมื่อไหร่เหรอ?” จางซิวหยิงถาม เธอชอบเด็กสาวคนนี้มาก

 

“ถ้าเธอมีเวลา เธอจะกลับมาอีกครับ” หวังเย้าพูด “อาทิตย์หน้า ผมจะไปหาเธอที่ปักกิ่งนะครับ”

 

“จ๊ะ ลูกควรอยู่กับเธอให้มากๆ” จางซิวหยิงพูด

 

ครั้งหนึ่ง หวังเย้าเคยชอบถงเว่ย ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาก็ได้จบกันไป เวลานี้ ในที่สุดเขาก็ได้พบกับเด็กหญิงที่ดีคนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดถึงเธอที่สุด

 

“คืนนี้ อาของลูกจะมาที่บ้านนะ” จางซิวหยิงพูด

 

หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเขาหรือกลับไปที่คลินิก แต่เขากลับไปหาจงหลิวชวน

 

“นายกำลังฝึกอยู่เหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ครับ” จงหลิวชวนพูด

 

เวลาที่เขาอยู่ที่บ้าน เขามักจะฝึกการหายใจที่หวังเย้าสอนอยู่เสมอ ในสองวันที่ผ่านมา เขาได้แตะไปที่บานประตูแล้ว ดังนั้น เขาจึงโล่งใจ

 

“สิ่งที่ผมสอนจำเป็นจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก” หวังเย้าพูด “อย่ารีบร้อนจนเกินไป”

 

“ครับ ผมเข้าใจ” จงหลิวชวนพูด

 

วิธีการหายใจคือพื้นฐานที่สุดในการฝึกจิตวิญญาณ ยิ่งฝึกนาน ก็ยิ่งค้นพบประโยชน์ที่ได้รับ มันคือความพยายามที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ

 

“มาที่คลินิกผม แล้วผมจะเอาหนังสือให้” หวังเย้าพูด

 

“ครับ อาจาย์” จงหลิวชวนพูด

 

“เจี๋ยจื่อจายเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม

 

“เขายังอยู่ในห้องครับ” จงหลิวชวนพูด

 

เขาไม่รู้ว่า หวังเย้าใช้วิธีการอะไร แต่ชายคนนั้นดูไม่ต่างจากกุ้งที่ได้เรี่ยวแรงตัวหนึ่งเลย

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมยังต้องการความร่วมมือจากเขาอีกสักพัก” หวังเย้าพูด

 

ในเมื่อเจี๋ยจื่อจายมาที่หมู่บ้านนี้และอยากจะอยู่ที่นี่ มันจึงดูเหมือนเป็นสถานการณ์ที่ตรงกับใจของหวังเย้า ในการที่เขาจะสามารถทดลองยาตัวใหม่กับเจี๋ยจื่อจายได้

 

จงหลิวชวนเดินตามหวังเย้าไปที่คลินิก หวังเย้าหยิบหนังสือสองเล่มให้กับเขา

 

“นี่คือ…” จงหลิวชวนตกตะลึง “คัมภีร์เต๋า?”

 

“ใช่ พูดตามตรง สิ่งที่ผมสอนนายไปเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น” หวังเย้าพูด “การอ่านคัมภีร์เต๋าดีต่อการฝึกฝนของนาย”

 

ในเมื่อหวังเย้าพูดแบบนี้ จงหลิวชวนก็จะทำตามที่เขาบอก

 

“อันซินอยู่ที่โรงเรียนเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่ เธอชอบมากเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด

 

“โรงเรียนนั้นดีมากจริงๆ” หวังเย้าพูด “แล้วเธอก็จะได้เพื่อนใหม่ด้วย”

 

“ใช่ เธออยู่คนเดียวมานานแล้ว และควรจะได้เวลามีเพื่อนเหมือนคนอื่นเค้าสักที” จงหลิวชวนพูด

 

ในตอนเย็น อาของหวังเย้ามาที่หมู่บ้าน เขายังถือเหล้ามาด้วย

 

“คราวหน้าไม่ต้องเอาอะไรมาหรอกนะ” จางซิวหยิงพูด “ที่บ้านมีของพวกนี้เยอะแยะ”

 

“งานเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม

 

“โชคดีที่ช่วงนี้มีงานเข้ามามากน่ะ” อาของเขาที่ดูเหนื่อยอ่อนพูด

 

“ดื่มสักหน่อยไหมครับ?” พ่อของหวังเย้าถาม

 

อาของหวังเย้ายื่นมือออกไปและส่งเสียงครางเพราะความเจ็บออกมา

 

“เป็นอะไรไป?” จางซิวหยิงถาม

 

“ไม่มีอะไรหรอกพี่” อาพูด

 

“พ่อ อาไม่ค่อยสบาย” หวังเย้ามองดูอาของเขาและพูดว่า “อย่าดื่มเลยครับ”

 

สภาพร่างกายอาของเขาค่อนข้างแย่ ลมหายใจของเขาทั้งร้อนและมีกลิ่นเปรี้ยว ซึ่งเป็นสัญญาณของความร้อนในร่างกายที่เกิดจากปัญหาในระบบทางเดินอาหาร อาการนี้น่าจะเป็นมาได้สักระยะแล้ว ดูเหมือนว่า ช่วงนี้เขาจะดื่มหนักมาก

 

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันดื่มนิดเดียวเอง” อาของเขาพูด

 

“ช่วงนี้ อาน่าจะดื่มหนักสินะครับ” หวังเย้าพูด

 

“อืม ช่วงนี้ต้องเจอลูกค้าบ่อยน่ะ ก็เลยต้องดื่มอยู่ตลอด” อาของเขาพูด

 

ธุรกิจหลายๆอย่างมักพูดคุยอยู่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเหล้า

 

“อามีอาการไม่สบายท้อง แล้วยังท้องเสียด้วย” หวังเย้าพูด

 

“โอ้ ใช่ๆ วิชาแพทย์ของหลานสุดยอดไปเลยนะ แค่มองก็รู้หมดทุกอย่าง” อาของเขาพูด

 

“ผมจะจ่ายยาให้นะครับ” หวังเย้าพูด “อาต้องดูแลตัวเองดีดีนะครับ อย่าดื่มหรือสูบบุหรี่เยอะ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะแย่เอาได้ ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น จะมีเงินเยอะแยะไปเพื่ออะไรล่ะครับ?”

 

“แต่อาก็มีเธอเป็นหมอคอยดูแลอยู่นี่นา” อาของเขาพูด “ถ้าอาป่วย แค่มาให้เธอรักษาก็ได้แล้ว”

 

“ผมไม่ใช่พระเจ้านะครับ” หวังเย้าพูดนิ่งๆ “ใช่ว่าทุกโรคจะสามารถรักษาให้หายได้เหมือนกันหมด”

 

อาของเขาไม่ได้ฟังคำแนะนำเลยแม้แต่น้อย ถ้าเขาไม่ใช่ญาติละก็ หวังเย้าคงไม่คิดจะใส่ใจ

 

จางซิวหยิงเก็บแก้วเหล้ากลับไป “โอเค งั้นก็ห้ามดื่ม กินอย่างอื่นดีกว่านะ”

 

“เรามีแต่ผักนะครับ” หวังเย้าพูด

 

อาของเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร

 

หวังเย้าทานอาหารเสร็จก็กลับไปที่คลินิก เขาหยิบเอาสมุนไพรบางตัวออกมา ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษากระเพาะและขับร้อนใน จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้าน

 

เขาเอาสมุนไพรเหล่านี้มอบให้กับอาของเขาและพูดว่า “เอายานี่กลับไปด้วยนะครับ อย่าเพิ่งกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะของเผ็ดๆ แล้วก็เลี่ยงพวกบุหรี่กับเหล้าด้วยก็จะดีมาก”

 

อาของเขาขับรถจากไป

 

“ขนาดเมาก็ยังจะขับรถอีก” หวังเย้าพูด

 

“เขามีเพื่อนเป็นตำรวจจราจรน่ะ” จางซิวหยิงพูด

 

“เพื่อตัวเขาเองและคนอื่น เขาไม่ควรดื่มแล้วขับเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “ที่มาวันนี้เพราะมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?”

 

“ไม่มีหรอกจ๊ะ แค่แวะมาเยี่ยมเท่านั้น” จางซิวหยิงพูด

 

หวังเย้าโล่งใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะยังไงก็เป็นอาของเขาเอง

 

 

ซูเสี่ยวซวีกลับมาถึงที่บ้านก็กดโทรหาหวังเย้า ทั้งสองคุยกันได้สักพัก จากนั้นก็วางสาย

 

“มีความุขไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“มีความสุขสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างพอใจ “หวังเซียนเชิงบอกว่า อาทิตย์หน้าเขาจะมาหาด้วยค่ะ”

 

“อืม ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมบอกให้เขาแวะมาเยี่ยมเราที่บ้านด้วยนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“นั่งเครื่องมาลูกคงจะเหนื่อยแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด “ลูกขึ้นไปพักที่ห้องเถอะจ๊ะ”

 

เธอบอกฝันดีกับลูกสาว จากนั้นก็กลับลงมาที่ชั้นล่างเพื่อคุยกับชูเหลียน

 

“เขาไม่ตกลงที่จะรักษาโฮ่วชื่อต๋าค่ะ” ชูเหลียนพูด

 

“ถ้าเขาไม่ตกลงก็ไม่มีอะไรต้องกังวล” ซงรุ่ยปิงพูด เธอไม่ได้รับฝ่ายนั้นอยู่แล้ว “เด็กคนนั้นไม่ใช่คนดี นี่อาจจะเป็นบทลงโทษสำหรับเขาก็ได้”

 

“เอ่อ ค่ะ” ชูเหลียนพูด

 

“เธอก็กลับไปพักเถอะ คงจะเหนื่อยมากแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“จริงๆแล้วก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่หรอกค่ะ” ชูเหลียนพูด “ที่หมู่บ้านนั้นน่าอยู่มาก ทั้งยังเงียบสงบ พอได้อยู่ที่นั้นสักพัก ฉันก็รู้สึกว่าทั้งร่างสงบขึ้นกว่าเดิม”

 

“คราวหน้า เธอก็พักอยู่ที่นั้นนานสักหน่อยก็แล้วกัน” ซงรุ่ยปิงพูด

 

ค่ำคืนนั้น เมืองหลวงปักกิ่งคึกคักยิ่งกว่าตอนกลางวัน เพราะผู้คนล้วนเลิกจากงานที่ทำอยู่ในตอนกลางวัน พวกเขาออกมาผ่อนคลายที่บาร์, ร้านอาหาร, และร้านคาราโอเกะ ไกลออกไปหลายพันไมล์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนปิดไฟเพื่อเข้านอน มีเพียงเสียงสุนัขเห่าดังให้ได้ยินเป็นครั้งคราวเท่านั้น