“ตอนนี้ยังมีเวลามานึกถึงเรื่องนี้ที่ไหนกัน? หากมีทางเลือกอื่นข้าก็ไม่มีทางตัดสินใจออกมาเยี่ยงนี้หรอก” ฮั่วกังกล่าว เพราะตอนนี้เขาป่วยอยู่ เลยทำให้สีหน้าของเขาไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไรนัก
ฮั่วฮูหยินเองนั่งกำผ้าเช็ดมืออยู่ข้างเตียง ถอนหายใจออกมาพลางพูดขึ้นว่า “ท่านก็รู้จักนิสัยของชิงเอ๋อร์ดีนี่เจ้าคะ นางรู้จักทำเรื่องแบบนี้ไปเพื่อผลประโยชน์ที่ไหนกัน ถึงแม้ท่านจะส่งตัวนางไป แต่นางก็ไม่มีทางเอาใจท่านอ๋องเขาเป็นแน่ สุดท้ายแล้วเรื่องมันก็อาจจะเลวร้ายกว่าเดิมก็ได้นะเจ้าคะ”
“ตอนนี้เราจะมาเป็นห่วงอะไรเยอะแยะแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้นางไปช่วยเชื่อมมิตรสัมพันธ์ไมตรีอะไรนั่นหรอก ข้าเพียงแค่ต้องการคงความสัมพันธ์นี้เอาไว้…” ฮั่วกังกล่าวไปทว่าจู่ๆ สีหน้าก็เคร่งขรึมลง “เจ้าคิดว่าคุณชายเจี่ยนคนนั้นเข้าถึงง่ายนักหรือไง? เรื่องดำเนินมาถึงตอนนั้นแล้ว หากข้าไม่ได้เป็นคนเข้าหาเขาก่อน ไม่นานเขาคงไม่สนด้วยซ้ำว่าข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรเล่า? ครั้งนี้ท่านช่วยอำนวยความสะดวกที่เมืองฉู่ไปให้เขาตั้งเยอะ…” ฮั่วฮูหยินพูดขึ้นมา
“แล้วมันจะอย่างไรล่ะ?” ฮั่วกังตอบ “เรื่องพวกนี้หากมันหลุดออกไป พวกเราทุกคนก็ต้องตายสถานเดียว ตอนนี้สถานการณ์มันเป็นอย่างไรเจ้าก็รู้ดีนี่ ขนาดองค์รัชทายาทที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ยังถูกสงสัยไปด้วยเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าถ้าหากเรื่องมันถูกเปิดโปงขึ้นมา แล้วพบว่ามีคนคอยอยากแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้อยู่ขึ้นมา ถึงตอนนั้นพวกเขาไม่มีทางสนใจพวกเราหรอก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องมาต่อสู้แย่งชิงจนตายกันไปข้าง”
“แต่เมื่อเป็นแบบนี้ ทางจวนอ๋องรุ่ยชินคงไม่คิดว่าท่านข่มขู่เขาหรอกใช่ไหมเจ้าคะ?” ฮั่วฮูหยินเอ่ยถาม
ฮั่วกังสบถเสียงเย็นชาเล็กน้อย รับแก้วน้ำที่นางยื่นให้ขึ้นมาดื่ม “ข้าต้องการจะเตือนเขา ว่าตอนนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน หากเขาคิดจะไม่สนใจไยดีข้าล่ะก็ ก็อย่าได้คิดจะสลัดตัวเองออกจากเรื่องนี้ไปได้”
ฉู่อี้เจี่ยนเป็นคนเจ้าแผนการคิดรอบคอบมาก อีกทั้งหลายปีมานี้เขายังหลบซ่อนอย่างมิดชิดโดยไม่ถูกเปิดโปง นั่นก็เป็นเพราะเขาจัดการปัญหาที่ตามมาอย่างหมดสิ้น ทว่าตอนนี้…
เบาะแสเดียวที่เขาหลงเหลือไว้นั่นก็คือชีวิตของฮั่วกังคนนี้นี่เอง
ฮั่วฮูหยินเองก็รู้ว่าตอนนี้ไม่มีทางให้ถอยหนีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามฮั่วชิงเอ๋อร์เป็นบุตรสาวคนเดียวของนาง นางนั้นทะนุถนอมดูแลฟูมฟักมาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้จะให้แย่งชิงความสุขที่เหลือทั้งชีวิตของบุตรสาวตัวเองไปแบบนี้ นางเองก็ทำใจไม่ลง
“ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านไม่ควรเลือกที่จะทำเยี่ยงนั้น!” ฮั่วฮูหยินรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก จึงตัดพ้อออกมาอย่างอดไม่ได้ “องค์รัชทายาทอุตส่าห์ไว้ใจเรามากขนาดไหน แต่ท่านกลับไปคิดยอมเสี่ยงเพื่อที่จะเอาชนะเขา ไปแย่งชิงเอาความดีความชอบอะไรนั่น ตอนนี้เป็นไงล่ะ กลับกลายเป็นว่าต้องมามีจุดจบอันน่าอนาถแบบนี้ ทั้งยังต้องเอาความสุขที่เหลืออยู่ตลอดชีวิตนี้ของบุตรสาวตัวเองมอบให้คนอื่นอีกด้วย!”
ฮั่วฮูหยินแค่คิดก็รู้สึกเสียใจทรมาน หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาเอาไว้
ฮั่วกังปิดตาลง มือถือแก้วน้ำไว้ในมือแล้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ไว้ใจงั้นรึ แต่ตอนนี้ข้าในสายตาของเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ล่ะ? ข้าติดตามเขามากี่ปีแล้ว? แต่เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาทำอะไรเพื่อข้าบ้างกัน? ข้าถูกฮ่องเต้เรียกใช้งาน แต่เขากลับบอกให้ข้าอดทน ต่อมาเกิดเรื่องขึ้นกับชิงเอ๋อร์ ข้าทั้งร้อนรนทั้งเป็นห่วงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าเกลียดเขา!”
ฮั่วกังพูดพลางก็เขวี้ยงแก้วใบนั้นลงพื้นด้วยความโมโห แล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ในช่วงเวลาเร่งรีบอันตรายแบบนั้น ข้ายังดูแลลูกเมียของตัวเองให้ดีไม่ได้ หัวหน้าเยี่ยงนี้…ข้าติดตามเขาต่อไปมันจะมีอนาคตที่ดีได้อย่างไรเล่า?”
ฮั่วฮูหยินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “แต่ภายหลังชิงเอ๋อร์ก็ไม่เป็นอะไรนี่เจ้าคะ?”
“หึ!” ฮั่วกังพ่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้นอย่างโมโหต่อว่า “ข้าเองก็มีมือมีเท้า ทำไมต้องไปเป็นขี้ข้าให้คนอื่นเขาด้วย? บุตรสาวของข้าถูกคนอื่นรังแกมา ในฐานะที่ข้าเป็นพ่อ ข้าจะออกหน้าปกป้องแทนนางไม่ได้เลยหรือ? ทำไมยังต้องเอาแต่ไปสังเกตสีหน้าคนอื่นเขาด้วย? ต้องเอาแต่รอดูคนจากวังบูรพาแสร้งทำหน้าเป็นมิตรสงสารมาบีบบังคับเพื่อให้เรายอมเสมออย่างเดียวงั้นเหรอ?”
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ฮั่วชิงเอ๋อร์ถูกจับเข้าคุกเมื่อครั้งก่อนนั้น มันทำให้ความแค้นที่เขาเก็บอัดอั้นเอาไว้ในใจนานนับหลายปีระเบิดออกมา
เรื่องของฮั่วชิงเอ๋อร์เมื่อครั้งก่อนเอง ฮั่วฮูหยินก็ปวดหัวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อพูดถึงจุดนี้ ถึงแม้นางจะคิดว่าสิ่งที่ฮั่วกังทำมันไม่ค่อยถูกต้องมากนัก แต่สุดท้ายนางก็ไม่พูดอะไรออกมา
“งั้นก็ได้!” ลังเลอยู่นานสุดท้ายฮั่วฮูหยินก็กัดฟันพูดขึ้น “งั้นข้าจะไปกับคุยกับชิงเอ๋อร์ดูแล้วกัน!”
ฮั่วฮูหยินลุกขึ้นยืน ทว่าในตอนที่กำลังเดินออกประตูไป ฮั่วกังก็เรียกนางไว้กวักมือแล้วพูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องบอกนางหรอก นิสัยของเจ้าเด็กคนนั้นไม่แน่อาจจะโวยวายขึ้นมาก็เป็นได้ ให้นางอยู่ในการควบคุมดูแลดีกว่า ช่วงนี้สถานการณ์มันวุ่นวายมาก บอกให้นางอย่าไปไหนซี้ซั้ว เรื่องสำคัญอย่างงานแต่งงาน ให้พ่อแม่แม่สื่อแม่ชักตกลงกันมันก็พอแล้ว เดี๋ยวเจ้ากลับไปหยิบกล่องไม้ที่แอบไว้อยู่ในช่องลับด้านหลังรูปภาพต่อสู้กับเสือในห้องหนังสือมาหน่อย ข้าจะเขียนจดหมายสักฉบับ ค่อยสั่งให้คนเอาไปส่งให้จวนอ๋องรุ่ยชินแล้วกัน!”
ฮั่วฮูหยินเองก็รู้ว่าเรื่องนี้อย่างไรก็ต้องทำแบบนี้ เมื่อนึกถึงภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นแบบนี้ เบ้าตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดหางตา จากนั้นฮึดแรงสู้ขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปกำชับให้ทางห้องครัวต้มยาให้ท่านดื่ม จะรีบกลับมานะเจ้าคะ”
“อืม!” ฮั่วกังพยักหน้าจากนั้นก็หลับตาลงพักผ่อน
ฮั่วฮูหยินหันไปมองเขาอีกครั้ง แล้วก็แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
นางไปที่ห้องครัวก่อน กำชับให้ข้ารับใช้ต้มยาให้ฮั่วกังดื่ม จากนั้นจึงเลือกยาบำรุงอีกหลายอย่างส่งให้แม่ครัวต้มเป็นน้ำแกง สุดท้ายถึงค่อยเดินทางไปห้องหนังสือของฮั่วกัง
ในขณะที่นางเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูเรือนตอนนั้น กลับเจอเข้ากับข้ารับใช้คนหนึ่งที่เดินออกมาจากเรือนนั้นด้วยท่าทีหวาดหลัว ทั้งยังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนเผลอเดินชนนางเข้า
“ถวายบังคมเจ้าค่ะฮูหยิน ขอฮูหยินได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย!” ข้ารับใช้คนนั้นรีบกล่าวขอโทษขอโพย
“ทำไมถึงได้รีบร้อนแบบนี้ ระวังหน่อยสิ!” ฮั่วฮูหยินสั่งสอนไปหนึ่งที ไม่ได้ซักไซ้เอาเรื่องกับเธอให้มากความ นางรีบเดินเข้าไปในห้องหนังสือ เมื่อหารูปภาพนั้นที่ฮั่วกังบอกเจอแล้ว แต่ทว่าช่องลับตรงนั้นกลับถูกเปิดออก ด้านในนอกจากมีตั๋วเงินวางอยู่หนึ่งปึกแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดหลงเหลืออยู่อีก
ถึงแม้ฮั่วฮูหยินจะไม่ค่อยรู้เรื่องของฮั่วกังละเอียดมากเท่าไร แต่นางก็รู้ว่าในกล่องไม้นั่นต้องเป็นหลักฐานการไปมาหาสู่ระหว่างเขากับฉู่อี้เจี่ยนที่น่าเชื่อถือได้แน่นอน
สิ่งของหายไปราวกับมีปีกบินหนีได้ ฮั่วฮูหยินตกใจจนหน้าถอดสีเหงื่อตกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
“แม่นมก่วง!” ฮั่วฮูหยินรีบตั้งสติ ตื่นตระหนกจนแทบทำตัวไม่ถูก สาวเท้าก้าวยาวออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
แม่นมก่วงคนสนิทที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูนั้นก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ “ฮูหยินเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?”
ฮั่วฮูหยินตื่นตระหนกจิตใจกระวนกระวาย เมื่อกลับมาคิดวิเคราะห์ดูก็นึกถึงข้ารับใช้ที่เพิ่งออกเรือนไปคนนั้นได้ขึ้นมา จึงชี้นิ้วออกไปด้านนอกมือสั่น “เร็วเข้า! รีบไปไล่ตามนางข้ารับใช้กลับมาให้ได้!”
นางพูดยังไม่ทันจบ ตัวเองก็ก้าวเท้าออกไปไล่ตามก่อนคนแรกแล้ว
แม่นมก่วงเองเพิ่งได้สติ นางจึงรีบตามออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
แต่ระยะเวลาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้มันไม่ได้ห่างกันมากนัก ตอนที่แม่นมก่วงกำลังจะเลี้ยวออกจากตัวเรือนนั้นเอง ก็จับข้ารับใช้คนนั้นได้ที่ปากทางเข้าสวนดอกไม้ทางขวานั้นได้พอดี
ฮูหยินใหญ่เองก็รีบตามขึ้นมา
ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนโอบอ้อมอารีตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยความโมโหอย่างเห็นได้ชัด นางง้างมือขึ้นตบลงไปบนหน้าของข้ารับใช้คนนั้น แล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าคนชาติชั่ว ถึงขนาดมาลงไม้ลงมือที่นี่แล้วงั้นเหรอ ยังไม่เอาของนั่นออกมาคืนอีก!”
ข้ารับใช้คนนั้นกุมใบหน้าร้อนผ่าวของตนเอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ รีบส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้นว่า “ฮูหยินกำลังพูดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ? ข้าไม่ได้ทำอะไรสกปรกต่ำช้าเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ!”
“เจ้ายังคิดจะแก้ตัวอีกงั้นรึ? ฮูหยินเป็นใครมีตำแหน่งอะไร? นางจะใส่ร้ายเจ้าอย่างไม่มีมูลแบบนั้นได้อย่างไรกัน?” แม่นมก่วงพูดขึ้นอย่างโมโห สะบัดท่อนแขนตบหน้านางอีกครั้ง
ข้ารับใช้คนนั้นเองก็ตัวเล็กบอบบาง เมื่อถูกแม่นมก่วงตบก็ล้มลงไปกับพื้นทันที
ฮั่วฮูหยินเองก็ไม่พูดมาก นางชี้นิ้วใส่ข้ารับใช้คนนั้นแล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว “บอกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าเอาของสิ่งนั้นไปให้ใคร?”
ข้ารับใช้คนนั้นทนเจ็บแล้วพยายามลุกขึ้นมา รีบคุกเข่าลงตรงหน้านาง ร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดออกมาว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านได้โปรดเชื่อข้าน้อยด้วยเถิด ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าท่านหมายถึงอะไรอยู่!”
“ไม่รู้งั้นหรือ? ถ้าไม่รู้แล้วเมื่อกี้เจ้าร้อนรนทำไม?” แม่นมก่วงพูดอย่างโมโห จากนั้นเตะนางไปอีกหนึ่งทีจนอีกฝ่ายกลิ้งอยู่บนพื้น
“ข้าน้อย…ข้าน้อย…” ข้ารับใช้คนนั้นคลานอยู่บนพื้น ร้องไห้อย่างเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าเดิม สีหน้าหวาดผวาแต่สุดท้ายก็ไม่ปริปากพูดคำใดออกมา
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก ฮั่วฮูหยินเองก็จะมาสนใจอะไรมากไม่ได้ จึงสั่งการลงไปเสียงแข็ง “แม่นมก่วง เฆี่ยนนางจนกว่านางจะยอมพูดออกมา!”
“เจ้าค่ะ! ฮูหยิน!” แม่นมก่วงขานตอบอย่างแข็งขัน ยกมือแล้วถลกแขนเสื้อขึ้น
ถึงแม้ฮั่วฮูหยินจะเป็นคนใจดี แต่ในเรื่องการจัดการดูแลท้ายเรือนนั้นนางเข้มงวดมาก ไม่ใจอ่อนไว้หน้าผู้กระทำผิดคนใดทั้งนั้น
นางข้ารับใช้คนนั้นเห็นสีหน้าเหี้ยมโหดของแม่นมก่วงเข้าก็หน้าถอดสีไปในทันที ทนไม่ไหวรีบคลานเข้าไปกอดขา นางเอาไว้แล้วพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ข้าน้อยไม่ได้ขโมยของไปจริงๆ เมื่อครู่ข้าน้อย…ข้าน้อยเห็นคุณหนูอยู่ในห้องหนังสือของนายท่านน่ะเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกแปลกใจถึงได้ขาดสติไปแบบนั้น!”
“ชิงเอ๋อร์งั้นรึ?” ฮั่วฮูหยินมึนงงยังไม่ได้สติดี เสียงพึมพำวนเวียนอยู่ในหัวชั่วครู่ จากนั้นก็ร้องเสียงสูงขึ้นพูดอย่างโมโหว่า “เจ้าบอกว่าอะไรนะ? เจ้าเห็นชิงเอ๋อร์เข้าไปในห้องหนังสือของนายท่านรึ? นาง…”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางเองก็พอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว แต่จู่ๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรขึ้นมา นางก้มตัวลงไปดึงข้ารับใช้นางนั้นขึ้นมา จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ตะคอกถามอย่างรุนแรง “ตอนที่นางเดินออกมา ในมือของนางถืออะไรไว้หรือเปล่า?”
“เอ่อ…” ข้ารับใช้นางนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ถึงแม้จะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเจ้านายตัวเอง แต่เวลานี้นางทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดความจริงออกมา “คุณหนูกอดกล่องเอาไว้ใบหนึ่งเจ้าค่ะ ทั้งยังบอกว่า…ห้ามไม่ให้ข้าน้อยพูดถึงเรื่องนี้!”
——————–