ฮั่วฮูหยินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโมโหจนแทบจะเป็นลม ตัวเซถลาจนถอยไปด้านหลัง
“ฮูหยิน ระวังเจ้าค่ะ!” แม่นมก่วงรีบขึ้นไปพยุงนางเอาไว้
ฮั่วฮูหยินพิงกายลงบนตัวนาง ยกมือขึ้นนวดขมับด้วยมือข้างเดียว ใบหน้าซีดขาวนั้นเผยให้เห็นสีหน้าเจ็บปวดทรมานออกมา ผ่านไปสักพักถึงค่อยรู้สึกดีขึ้น จึงหันไปชี้หน้าข้ารับใช้คนนั้นอย่างกริ้วโกรธ “แม่นมก่วง จับนางข้ารับใช้คนนี้เอาไปขังไว้ก่อน อย่าปล่อยให้นางไปพูดอะไรซี้ซั้วเด็ดขาด!”
เมื่อฮั่วฮูหยินพูดจบก็เดินไปเรือนของฮั่วชิงเอ๋อร์ทันทีโดยไม่รอให้แม่นมกู้ขานตอบ คิดทางที่ดีว่ายังน่าจะยับยั้งทัน
ฝีเท้าของนางเร็วราวกับสายลม จนแทบจะสะดุดชายกระโปรงตัวเองล้ม ทว่าเร่งรีบไปถึงที่พักของฮั่วชิงเอ๋อร์ตอนนั้นสุดท้ายกลับพบแค่เพียงความว่างเปล่า
ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่อยู่ ขนาดข้ารับใช้ข้างกายของนางยังบอกว่าไม่เห็นฮั่วชิงเอ๋อร์สักพักใหญ่แล้ว
ฮั่วฮูหยินยิ่งร้อนรนใจ เดินออกไปด้านนอกอย่างเร่งรีบ สั่งให้คนไปเรียกคนเฝ้าประตูมา แต่ผลสุดท้ายกลับพบว่าฮั่วชิงเอ๋อร์ออกจากจวนไปแล้วตัวคนเดียว
ตอนนั้นแม่นมก่วงจัดการเรื่องข้ารับใช้คนนั้นเสร็จก็รีบตามขึ้นมาพอดี เมื่อเห็นท่าทางของนางโซซัดโซเซจนแทบจะล้มลงนั้น ก็กระวนกระวายใจรีบเข้าไปพยุงแขนนางเอาไว้ทันทีพลางพูดขึ้นว่า “ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ? คุณหนูแค่รักสนุกไปก็เท่านั้น อย่างไรคุณหนูก็รู้ว่าอะไรควรมิควร ถึงแม้นางจะเอาของสิ่งนั้นไป นางจะ…”
“เจ้าไม่เข้าใจ!” ฮั่วฮูหยินกล่าว ใบหน้ายังคงร้อนรนกระวนกระวาย “เจ้าเด็กคนนั้นเป็นดื้อรั้น ช่วงนี้นางคิดอะไรอยู่ ทำไมคนเป็นแม่อย่างข้าจะไม่รู้? แปดในสิบ…เฮ้อ!”
เรื่องของฮั่วกัง ถึงแม้แม่นมก่วงจะเป็นคนสนิทของนาง ฮั่วฮูหยินก็ยังคงปิดเป็นความลับมาตลอด ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องเล่าให้มากความ
ทว่าในใจของนางกลับรู้ดี…
ไม่แน่ฮั่วชิงเอ๋อร์อาจจะเอาสิ่งของชิ้นนั้นไปให้ฉู่สวินหยางหรือฉู่ฉีเฟิงก็เป็นแน่
เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว ฮั่วฮูหยินก็หวาดผวาตกใจขึ้นมาทันที รีบพูดขึ้นอย่างลนลานว่า “แม่นมก่วง ข้ายังไปไหนไม่ได้ เจ้ารีบส่งคนไปวังบูรพาสักสองคน หากระหว่างทางเจอชิงเอ๋อร์เมื่อไรให้รีบไล่นางกลับมาเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าค่ะ!” ถึงแม้แม่นมก่วงจะรู้สึกสงสัย แต่เมื่อเห็นสีหน้าร้อนใจของนางก็ไม่อยากถามอะไรให้มากความ รีบตกปากรับคำแล้วออกไปทันที
ใจของฮั่วฮูหยินเต้นรัว ด้านหนึ่งก็กลัวว่าฮั่วชิงเอ๋อร์จะทำเสียเรื่อง อีกด้านหนึ่งก็กังวลความปลอดภัยของคนในบ้าน และยังต้องคิดหาวิธีจะบอกฮั่วกังอย่างไรไม่ให้เขาโกรธขึ้นมา ไม่งั้น…
ถ้าหากฮั่วกังรู้เรื่องนี้เข้า ไม่แน่ภายหลังอาจจะต้องใช้วิธีที่คาดกันไม่ถึงแน่นอน!
ส่วนฮั่วฮูหยินเองก็เข้าใจบุตรสาวของตัวเองดี
วันนี้ตอนที่นางไปวังบูรพามา ฮั่วชิงเอ๋อร์เองก็นึกสงสัยแต่แรกแล้ว นางจึงสลัดข้ารับใช้ทิ้ง รอให้ฮั่วฮูหยินเดินเข้าไปหาฮั่วกังตอนนั้น นางค่อยเดินตามเข้าไป แอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่หลังประตู
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ในใจของนางท่านพ่อเป็นคนแข็งแกร่งเสมอ การมีอยู่ของเขานั้นไม่อาจมองข้ามไปได้เลย ทำให้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าพ่อที่นางเคารพนับถือคนนั้น ทำไมถึงตัดสินใจทำเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนี้ออกมาได้
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เมืองฉู่กันแน่ แต่ฟังจากที่ฮั่วกังพูดแล้วก็รู้ได้ว่าเขาได้ทำการเล่นแผนสกปรกตอนที่อยู่ในเมืองฉู่
ส่วนฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงก็ได้รับบาดเจ็บตอนอยู่เมืองฉู่…
เมื่อปะติดปะต่อสองเรื่องราวเข้าด้วยกันแล้ว ความจริงที่นางแบกรับไว้ไม่ไหวก็ปรากฏขึ้น
มิน่าเล่า…ทำไมจู่ๆ ฉู่สวินหยางถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปกับนางถึงเพียงนั้น มิน่าเล่าทำไมฉู่สวินหยางเองถึงได้บอกว่าฮั่วฮูหยินอาจจะไม่กล้ายอมให้เฉินเกิงเหนียนไปตรวจดูอาการของฮั่วกังก็ได้
นั่นก็เป็นเพราะว่า…
พ่อแม่ของนางได้ทำกระทำสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้ลงไปนั่นเอง!
ถึงแม้ชิงเอ๋อร์จะได้ยินฮั่วกังกับฮั่วฮูหยินพูดคุยกัน ตอนนั้นนางยังไม่ปักใจเชื่อ แต่เมื่อแย่งกล่องไม้ในห้องหนังสือของฮั่วกังมาได้ แล้วได้อ่านจดหมายของเขากับฉู่อี้เจี่ยนเข้าตอนนั้น วินาทีนั้น…
ความเชื่อมั่นทั้งหมดที่เคยมีพังทลายลงในพริบตา จู่ๆ ก็สับสนมึนงงทั้งยังหวาดกลัวแม้ใจอยากจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก
ท่านพ่อของนาง…
ทำไมถึงได้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวหน้าไม่อายเยี่ยงนี้?
อีกทั้งยังภาคภูมิใจ ไม่คิดจะแก้ไขเลยสักนิด!
เมื่อคิดถึงท่าทีที่ฉู่สวินหยางมีต่อนางก่อนหน้านั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น…
เรื่องที่ฮั่วกังได้กระทำลงไป ฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงต้องไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน!
จิตใจสับสนขมุกขมัว นางหยิบจดหมายนั้นออกจากกล่องแล้วเก็บไว้อย่างดี แล้วรีบเดินทางไปยังวังบูรพาในทันที
นางทั้งหงุดหงิดสับสนทั้งยังเดินอย่างเร่งรีบ ตอนที่เลี้ยวออกมาจากซอย จึงเกือบชนเข้ากับรถม้าที่มาจากอีกฝั่งอย่างไม่ทันได้ระวังตัว
“อ๊ะ…” คนบังคับรถม้ารีบดึงเชือกเอาไว้
ฮั่วชิงเอ๋อร์พอจะต่อสู้เป็นอยู่บ้าง เดิมทีนางถอยหลังหลบไปก็ได้ แต่ด้วยจิตใจของนางตอนนี้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร จึงไม่ทันได้ตั้งสติขึ้นมา พอปะทะกับรถม้าแบบนั้นเข้าก็ตกใจ ในขณะที่ก้าวเดินถอยหลังไปนั้นเท้าก็เผลอเหยียบชายกระโปรงของตนเองจนลื่นล้มไปบนพื้นพอดี
รถม้าหยุดลง คนขับรถม้ากระโดดลงมาด้วยใบหน้าหงุดหงิด ตะคอกใส่อย่างโมโหว่า “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ทำไมเดินบนถนนไม่หัดดูตาม้าตาเรือบ้าง?”
เขาพูดไปได้ครึ่งเดียวก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร น้ำเสียงนั้นจึงผ่อนเบาลง “แม่นางฮั่วรึ?”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ล้มตัวลงไปแรงพอสมควร บนข้อมือถลอกปอกเปิกเป็นแผลใหญ่และเจ็บข้อศอกมากเป็นพิเศษ บนหน้าผากเองก็มีเหงื่อผุดไหลไม่หยุด เจ็บปวดหัวตาลายนั่งค้างบนพื้นอยู่นานจนลืมลุกขึ้นมา
คนขับรถม้าคนนั้นกังวลเป็นห่วงเล็กน้อย แต่ด้วยสถานะของตน เขาจึงไม่กล้าเข้าไปพยุงให้นางลุกขึ้น
ดูท่าคนที่นั่งอยู่ภายในรถม้าคงได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอกดังขึ้น จึงเปิดประตูชะโงกศีรษะออกมาดู
ทว่ากลับเป็น…
ท่านหญิงฉางหนิงหรือฉู่ซินรุ่ยจากจวนอ๋องรุ่ยชินนั่นเอง
“ท่านหญิง!” คนขับรถม้าคนนั้นรีบถวายความเคารพ พลางพูดขึ้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิดว่า “จู่ๆ แม่นางฮั่วก็วิ่งออกมาจากตรอกนั่น ข้าน้อยเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น”
ฉู่ซินรุ่ยยิ้มขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร นางเพียงแต่เดินเข้าไปก้มตัวลงแล้วช่วยพยุงให้ฮั่วชิงเอ๋อร์ลุกขึ้นมา แล้วเอ่ยถามว่า “แม่นางฮั่วไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เมื่อนางเห็นหน้าผากของอีกฝ่ายเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด ก็หันไปเอ่ยถามสาวรับใช้ว่า “แถวนี้มีโรงหมอไหม? แม่นางฮั่วล้มลงไปแรงมาก จนได้รับบาดเจ็บไม่น้อย!”
น้ำเสียงของนางสงบนิ่งและใจเย็นมาก เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ใครที่ได้ยินก็ต่างต้องรู้สึกดี
แต่ฮั่วชิงเอ๋อร์นั้นตกอยู่ในสถานการณ์รู้สึกผิดไม่มั่นใจในตัวเองแบบนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร นางก็เหมือนกับถูกจู่โจมอย่างไรอย่างนั้น รีบถอยออกไปพลางปัดมือของอีกฝ่ายออกแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร!”
ท่านพ่อของนางกับจวนอ๋องรุ่ยชินวางแผนร่วมมือกัน ตอนนี้ยังเจอเข้ากับฉู่ซินรุ่ยอีก ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ประสงค์ร้าย แต่สิ่งที่นางทำไปนั้นก็เป็นสัญชาตญาณการป้องกันตัวของนางเท่านั้น
นางออกแรงขยับตัวขัดขืนมากเกินไป จนทำให้จดหมายที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อหลุดออกมาอย่างไม่ทันระวัง
ฉู่ซินรุ่ยหูตาว่องไว จึงก้มตัวลงไปเก็บให้นาง
“เอ่อ…” ใบหน้าของฮั่วชิงเอ๋อร์ซีดขาวลงไปในทันที จนเกือบแทบจะส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ
ฉู่ซินรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตได้เห็น เดิมทีนางไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้นางกลับเริ่มสงสัยอะไรขึ้นมาแล้ว
ฮั่วชิงเอ๋อร์รีบเข้ามาแย่งจดหมายฉบับนั้นไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ฉู่ซินรุ่ยก็กวาดตามองขึ้นอย่างว่องไว
จดหมายฉบับนั้นสะอาดสะอ้าน ไม่ได้เขียนอะไรไว้ แต่เมื่อแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา ก็พอจะมองเห็นลายมือของตัวอักษรภายในนั้นอยู่หลายบรรทัดอยู่ลางๆ
ฮั่วชิงเอ๋อร์กลัวอีกฝ่ายจะมองเห็นอะไรเข้า จึงรีบยัดจดหมายนั่นเข้าไปในแขนเสื้อแล้วพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เป็นข้าเองที่วิ่งเข้ามาชน ทำให้ขวางทางของท่านหญิงแล้ว เสียมารยาทแล้ว อย่างไนโปรดท่านหญิงเห็นใจข้าด้วยนะเจ้าคะ!”
นางพูดจบก็รีบหันหลังกำลังจะจากออกไป
ฉู่ซินรุ่ยยังคงทำหน้าสงบนิ่งใจเย็นเหมือนเดิม เดินก้าวขึ้นมาด้านหน้าอย่างไร้เสียง แล้วลากแขนของนางไว้พลางพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะคนขับรถของข้าต่างหากที่ไม่ทันได้ระวัง จนเกือบจะชนแม่นางฮั่วเข้าให้ อย่างไรไปดูอาการที่โรงหมอกันหน่อยเถิด อย่าได้เกิดอันตรายกระดูกหักขึ้นเลย”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ…” ฮั่วชิงเอ๋อร์คิดอยากจะปฏิเสธ
แต่ดูแล้วมันก็ปกติดี แขนข้างที่ฉู่ซินรุ่ยจับเอาไว้อยู่นั้นเป็นแขนข้างนั้นที่บาดเจ็บพอดี ภายใต้การถูกจับมันยิ่งทำให้นางเจ็บปวด จนไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืน
จู่ๆ ฮั่วชิงเอ๋อร์ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ถึงแต่สถานการณ์จะเร่งรีบอย่างไร ทว่านางกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
สาวรับใช้ของฉู่ซินรุ่ยเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวแล้วบอกว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ ถนนเส้นด้านข้างมีโรงหมอเจ้าค่ะ เราไปกันตอนนี้เลยไหมเจ้าคะ?”
“อืม!” ฉู่ซินรุ่ยพยักหน้า พลางดึงแขนฮั่วชิงเอ๋อร์ให้ขึ้นไปบนรถม้า
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายยื้อยุดกันอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมาจากด้านหลังรถม้านั่น
ไม่นานเท่าไร ก็เห็นฉู่ฉีเฟิงในชุดสีม่วงนำขบวนทหารองครักษ์ผ่านไป
เมื่อเห็นฉู่ซินรุ่ยที่กำลังลากฮั่วชิงเอ๋อร์พวกนางสองคน เขาก็กระตุกบังเหียนม้าให้หยุดลงแล้วยิ้มออกมา “ท่านอากับแม่นางฮั่วมาทำอะไรกันที่นี่รึขอรับ?”
ฉู่ซินรุ่ยยังคงมีสีหน้าแววตาแบบเดิม เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก รถม้าของข้าชนแม่นางฮั่วเข้าน่ะ เลยกำลังจะพานางไปโรงหมอตรวจดูอาการ! ฉีเฟิงเจ้าเพิ่งมาจากศาลาว่าการพระนคร กำลังเดินทางกลับวังบูรพางั้นรึ?”
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว
เขาไม่ได้ลงจากหลังม้า เพียงแต่ทักทายกันตามมารยาทเท่านั้น
ฮั่วชิงเอ๋อร์เห็นโอกาสขึ้นจึงรีบพยายามสลัดให้หลุดออกจากพันธนาการของฉู่ซินรุ่ย แล้วกล่าวว่า “เป็นเพราะข้าเองที่ไม่ทันได้ระวัง ข้ามิบังอาจรบกวนท่านหญิงหรอก ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ!”
ตั้งแต่ฉู่ฉีเฟิงปรากฏตัว หางตาของนางก็สังเกตสีหน้าเขามาตลอด ทว่ากลับทำเป็นไม่สนใจแบบนั้น
ต่อหน้าฉู่ฉีเฟิง ฉู่ซินรุ่ยเองก็ใจกว้างจึงเอ่ยถามขึ้นไปอีกหนึ่งประโยค ฮั่วชิงเอ๋อร์บอกว่าไม่จำเป็นต้องให้คนไปส่ง ฉู่ซินรุ่ยเองก็ไม่ได้บังคับขัดขืนอีก
ฉู่ฉีเฟิงเองก็ไม่ได้คุยกับนางให้มากความ ฮั่วชิงเอ๋อร์หันหลังวิ่งเข้าไปในตรอก เขาเองก็ร่ำลาฉู่ซินรุ่ยสะบัดแส้ม้าแล้วมุ่งหน้าเดินทางต่อ
ฉู่ซินลุ่ยยืนมองส่งพวกเขาอยู่กับที่
ชิงเกอสาวรับใช้ขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ท่านหญิงทำไมหรือเจ้าคะ? เมื่อกี้แม่นางฮั่ว…”
“จดหมายในมือนางฉบับนั้น!” ฉู่ซินรุ่ยกล่าว ใบหน้ายังคงอ่อนโยนสงบนิ่งและยังดูสง่างาม ไม่หลุดสีหน้าท่าทางอื่นใดออกมาให้เห็น ไม่มีใครคนไหนเห็นอารมณ์ที่แท้จริงของนางได้สักคน
ลายมือในจดหมายฉบับนั้นเป็นของฉู่อี้เจี่ยน นางมองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว
ชิงเกอไม่กล้าถามเรื่องนั้นอย่างละเอียดกว่านี้ เพียงมองสีหน้าของอีกฝ่าย นางก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จึงหยั่งเชิงเอ่ยถามขึ้นว่า “ให้คนตามไปไหมเจ้าคะ?”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ตัวคนเดียวแค่นั้น จะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่รอดแบบนั้นไปได้อีกหรืออย่างไร?
—————————-