ฉู่ซินรุ่ยไม่อาจทำใจเชื่อ ได้แต่มองตรอกถนนที่เยื้องออกไป สุดท้ายถึงเหลือบตามององครักษ์ร่างกำยำที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ตามไปดูหน่อย!”

“ขอรับ!” คนผู้นั้นรับคำ หมุนตัวแล้วหายเข้าตรอกไป

ฉู่ซินรุ่ยก็ไม่ชักช้า รีบปีนขึ้นรถม้า แล้วสั่งให้คนมุ่งหน้าไปที่จวนอ๋อง

ฮั่วชิงเอ๋อร์เดินเข้าตรอกไปเพียงลำพังอย่างรีบร้อน แม้ไม่รู้ว่าฉู่ซินรุ่ยสงสัยอะไรหรือไม่ แต่ความกังวลใจก็กระจายไปทั่ว เดินไปก็คอยหันกลับไปมองด้านหลัง ขณะที่ลุกลนอยู่นั้นเอง ตอนเงยหน้าขึ้นพลันเห็นคนกระโดดออกมาแล้วกางแขนดักทางนางเอาไว้

ฮั่วชิงเอ๋อร์สะดุ้งโหยง คิดว่าคนของจวนรุ่ยชินอ๋องตามมา จึงรีบถอยหลังหนี

แต่พอเห็นชัดว่าคนผู้นั้นคือจูหย่วนซาน นางจึงถอนหายใจ แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ?”

“ท่านชายให้ข้าน้อยมาแจ้ง ให้คุณหนูฮั่วกลับจวนโดยด่วนขอรับ” จูหย่วนซานตอบอย่างเป็นการเป็นงาน

ฮั่วชิงเอ๋อร์ชะงักไป หลุบตาซ่อนอารมณ์ไม่ให้เห็น ผ่านไปสักพักถึงได้ถามย้ำว่า “เป็น…ท่านชายที่ส่งเจ้ามาใช่ไหม?”

จูหย่วนซานไม่ตอบ เพียงเบนสายตาไปด้านข้างอย่างไร้อารมณ์

ฮั่วชิงเอ๋อร์จิกเล็บกลางฝ่ามือ ลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยถามว่า “ข้า…อยากเจอท่านชายสักครั้ง ได้หรือไม่?”

“ข้าน้อยรับคำสั่งมา!” จูหย่วนซานตอบ “เชิญคุณหนูฮั่วกลับเถอะขอรับ!”

“แต่ข้ามีเรื่องสำคัญมาก!” ฮั่วชิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน

นางก้าวเท้าไปข้างหน้า เกือบจะห้ามตัวเองไม่ให้ดึงแขนเสื้อของจูหย่วนซานด้วยความวิตกไม่ได้ “ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ เจ้าพาข้าไปพบท่านชายที่วังบูรพาหน่อยเถอะ!”

สีหน้าของจูหย่วนซานแข็งทื่อ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

ฮั่วชิงเอ๋อร์เห็นดังนั้น น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

เพราะจูหย่วนซานได้รับคำสั่งมา ทั้งไม่มีเวลามาต่อรองกับนาง พลันฟาดฝ่ามือใส่คนจนสลบ จากนั้นก็แบกคนขึ้นเดินลัดเลาะตามตรอกเพื่อไปที่จวนสกุลฮั่ว

จูหย่วนซานเดินไวมาก ไม่นานก็เดินผ่านไปสองถนนแล้ว ขณะที่กำลังจะเลี้ยวออกมา ตรงถนนยาวเหยียดเบื้องหน้าพลันปรากฏกลุ่มคนและม้าย่ำเท้าเดินเข้ามาใกล้

คนพวกนั้นคือ…

ฉู่ฉีเหยียน

จูหย่วนซานนึกไม่ถึง คิดจะถอยหลังหลบไปก็ไม่ทันการแล้ว

ฝีเท้าเขาเพิ่งชะงัก หลี่หลินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ตะโกนมาว่า “ใครน่ะ?”

อย่างไรฮั่วชิงเอ๋อร์ก็เป็นคุณหนูมีชาติตระกูล หากว่าอีกฝ่ายคิดจะสืบสาว ย่อมไม่เป็นผลดีแน่

จูหย่วนซานพลันกระสับกระส่าย กลัวจะก่อเรื่องใหญ่โต สองจิตสองใจไม่กล้าหลบหนีเข้าตรอก

ขณะที่ลังเลอยู่นั้น ฉู่ฉีเหยียนก็ขี่ม้ามาถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว

“คนของวังบูรพา?” เขาเปิดปากด้วยอารมณ์เย็นชา สายตามองไปทางอื่นคล้ายไม่แยแส

จูหย่วนซานเม้มปากแน่น ในใจก็ระวังตัวทุกขณะ พร้อมจะลงมือทุกเวลา

ฉู่ฉีเหยียนเห็นเขาเงียบก็ไม่ได้ซักไซ้ เพียงนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสบายอารมณ์…

เมื่อมองจากที่สูง ท่าทางจึงคล้ายจะวางอำนาจอยู่ในที

จูหย่วนซานไปต่อไม่ได้ถอยก็ไม่ดี เสื้อผ้าบนกายเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ

เวลาคล้ายเดินอย่างเชื่องช้า ทว่าความจริงผ่านไปเพียงชั่วขณะ ตอนที่จูหย่วนซานตั้งท่าเตรียมพร้อมจนตึงเครียดไปหมดนั้นเอง อีกด้านหนึ่งของฝั่งถนนก็มีเสียงฝีเท้าม้าอันฟังเพราะเสนาะหูดังขึ้น

หัวใจของจูหย่วนซานลุกโชนด้วยไฟแห่งความหวัง รีบเงยหน้ามอง…

เป็นกลุ่มของฉู่ฉีเฟิงที่กำลังขี่ม้าผ่านมา

“ซื่อจื่อ!”

“คังจวิ้นอ๋อง!”

 ฉู่ฉีเหยียนเงยหน้ามอง ไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด

สองคนต่างพยักหน้าทักทายกันเล็กน้อย

จากนั้นมุมปากของฉู่ฉีเหยียนก็กระตุกคล้ายยิ้ม มองจูหย่วนซานที่ถูกขวางอยู่ในตรอก

“ท่านชาย!” จูหย่วนซานร้องเรียกเบาๆ ไม่กล้าแสดงท่าทีมากเกินไป…

หากว่าฉู่ฉีเหยียนคิดจะหาเรื่อง เช่นนั้นย่อมไม่อาจลากฉู่ฉีเฟิงมาเกี่ยวข้องด้วย

สายตาของฉู่ฉีเฟิงตวัดไปมอง เอ่ยถามว่า “ไม่ใช่สั่งให้เจ้าไปส่งคุณหนูฮั่วรึ? มัวมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

“ข้า…” จูหย่วนซานอึกอัก ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

ฉู่ฉีเหยียนขยับมุมปากเป็นรอยโค้ง คล้ายว่าอารมณ์ดีนักหนา วางท่าเป็นผู้รอชมละครคนหนึ่ง

“ไปสิ!” ฉู่ฉีเฟิงไม่สนใจว่าใครจะมองอยู่ เพียงสั่งอย่างเย็นชา

จูหย่วนซานลอบมองสีหน้าของเขา เห็นว่าทั้งสองคนไม่มีท่าทีขัดขวางถึงได้แบกคนไปต่ออย่างกังวล และพยายามหลีกเลี่ยงพวกเขาอย่างเต็มที่

ฉู่ฉีเหยียนมองตามไป พักหนึ่งก็หัวเราะเย็นเยือก เอ่ยว่า “ต่อหน้าคนมากมาย คังจวิ้นอ๋องทำเช่นนี้เกรงว่าไม่ค่อยงามกระมัง? หากว่ามีคนเห็นเข้าอาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากได้ คุณหนูฮั่วยังไม่มีเหย้ามีเรือน เจ้าเองก็ยังไม่มีคู่หมาย หากมีข่าวลือหลุดออกไป คงไม่ดีต่อทั้งสองฝ่ายแน่”

“โชคยังดีที่ข้าได้เจอซื่อจื่อเข้า ใช่หรือไม่?” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว มุมปากก็ขยับเป็นยิ้มเย็นชา

ขนตาของฉู่ฉีเหยียนหลุบลงเสี้ยววินาที ตอนที่เงยหน้าสบตากับเขาอีกครั้ง นัยน์ตาก็เหลือเพียงความกระจ่างใส ตอบว่า “ข้ารีบกลับจวน!”

“เชิญ!” ฉู่ฉีเฟิงผงกศีรษะ ไม่ยอมหลีกทางให้เขา แต่กลับบังคับม้าให้เดินผ่านด้านข้างเขาไป

————————