วินาทีที่ไหล่สวนกัน สองคนต่างไม่เหลือบตามอง แม้แต่หางตาสักนิดก็ไม่มีเหลียวแล
ดวงหน้าของฉู่ฉีเหยียนเย็นเยือก ก่อนจะบังคับม้าให้ออกเดินต่อ
คนสองกลุ่ม ทางใครทางมัน เพียงสวนทางกันในตรอกแห่งนั้น
พอห่างออกมาระยะหนึ่ง หลี่หลินก็ขมวดคิ้ว เอ่ยปากว่า “ซื่อจื่อ คังจวิ้นอ๋องตามมาด้วยตัวเองอย่างนี้ เกรงว่าคุณหนูฮั่วต้องมีอะไรผิดปกติแน่?”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ น้ำเสียงเย็นชาไร้คลื่นลมและไม่แยแส
หลี่หลินไม่เข้าใจ “แล้วท่านจะปล่อยพวกเขาไปหรือขอรับ?”
“ไม่อย่างนั้นเล่า?” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวพลางดึงบังเหียนม้า เหลือบตามองหลี่หลินทีหนึ่ง
สายตาของเขาหนาวเหน็บ มีกระแสเย้ยหยันอยู่เต็มเปี่ยม ขณะที่พูดก็หันหน้ากลับไปมองอีกฝั่งหนึ่งของถนน
ฉู่ฉีเฟิงทางนั้นเดินจากไปแล้ว ถนนว่างเปล่า สองฝั่งถูกโอบล้อมด้วยบ้านเรือน ไม่ค่อยมีแสงส่องถึงมากนัก
สีตาของฉู่ฉีเหยียนเป็นสีเข้ม เกือบจะมองไม่เห็นถึงอารมณ์หรือความเย็นชาใดใด เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเหตุใดเมื่อครู่ข้าถึงได้เจอท่านหญิงฉางหนิงโดยบังเอิญได้เล่า?”
เพราะเรื่องศึกเมืองฉู่ วันนี้เขากับฉู่ฉีเฟิงจึงถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวัง ต่อมาฉู่ฉีเฟิงมีธุระขอตัวไปศาลาว่าการก่อน ส่วนเขาเพิ่งจะออกจากวังหลวง สองคนบังเอิญใช้เส้นทางเดียวกันพอดี
ถนนเส้นนี้เป็นทางกลับจวนอ๋องหนานเหอที่ค่อนข้างใกล้ แต่เขาไม่ค่อยได้มาบ่อยนัก
เมื่อครู่ที่ด้านนอกตรอก ก็บังเอิญเจอรถม้าของฉู่ซินรุ่ย สองคนจึงแวะทักทายกันสักพัก ฉู่ซินรุ่ยเป็นคนใจกว้าง ทั้งเขากับนางยังมีสายสัมพันธ์เป็นอาหลาน จะหยุดสนทนากันสักสองประโยคก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่า…
ฉู่ซินรุ่ยอย่างไรก็เป็นสตรีในห้องหอ แม้พวกเขาจะเป็นญาติกัน แต่บนถนนที่ผู้คนผ่านไปผ่านมา การที่นางหยุดรถอยู่เป็นนานย่อมไม่ใช่เรื่องสมควร
หญิงผู้นั้นเอาแต่ชวนเขาคุยเรื่อยเปื่อย แม้กิริยาท่าทางจะไร้ช่องโหว่ แต่ก็ไม่สมด้วยเหตุและผล เห็นได้ชัดว่าตั้งใจถ่วงเวลาเขา
ดังนั้นเขาจึงเล่นตามน้ำและเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนี้แทน
“ท่านจะบอกว่าท่านหญิงฉางหนิงจงใจหรือขอรับ?” หลี่หลินประหลาดใจนัก อดจะสูดหายใจลึกไม่ได้ “นางคิดจะ…”
“ไม่มีอะไร ก็แค่ล่อข้าให้มาปะทะกับฉู่ฉีเฟิง” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว
“นางคิดจะ…” หลี่หลินเอาแต่งึมงำ สุดท้ายก็พ่นลมออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “นางคิดจะยืมดาบฆ่าคน? หากเป็นเช่นนั้น คุณหนูฮั่วต้องมีความลับที่ไม่อาจบอกใครได้เก็บไว้กับตัวแน่ขอรับ”
ฉู่ซินรุ่ยลงทุนเพียงนี้ นางที่ดูสุภาพและเพียบพร้อม มองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่มีแผนการอยู่ในใจเลยสักนิด
ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่อยากจะเชื่อ ได้แต่คุมม้าให้เดินหน้าต่อ
หลี่หลินเพิ่งจะได้สติ รีบตามติดมา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่วางใจว่า “แล้วพวกเราจะปล่อยคุณหนูฮั่วไปอย่างนี้จริงๆ หรือขอรับ? ฮั่วกังทางนั้น…”
เพราะอยู่กลางถนน หลี่หลินจึงไม่กล้าพูดให้ชัดเจนเกินไป
ตอนแรกเพราะติดสินบนให้ฮั่วกังลงมือกับหลัวอี้ ในมือของฮั่วกังจึงกุมจุดอ่อนของฉู่ฉีเหยียนเอาไว้
“ไม่เห็นหรือไงว่าฉู่ซินรุ่ยลงมือเองแล้ว? ฉู่อี้เจี่ยนสองพี่น้องคงจะร้อนใจกว่าข้าเสียอีก” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “พวกเรารอดูนิ่งๆ ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง”
พูดตามความจริง ระหว่างเขากับฮั่วกังจะนับว่ามีอะไรต่อกันได้?
หากฮั่วกังคิดจะข่มขู่เขาจริงๆ คงไม่รอจนถึงวันนี้…
“ที่เขาไม่ยอมเคลื่อนไหว ก็เพราะคำนวณกำไรขาดทุนมาดีแล้ว” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว “ไม่มีเสด็จย่าแล้ว หลัวอี้ตายไปแล้วอย่างไร? ถ้าฮั่วกังคิดจะเปิดโปงเรื่องนี้ เขาย่อมต้องโทษตายเป็นคนแรก! ข้ากับเขาไม่มีความแค้นต่อกัน เขาจะทำเรื่องที่สองฝ่ายต้องสูญเสียไปเพื่ออะไร?”
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องระหว่างฮั่วกังกับฉู่อี้เจี่ยนเริ่มมีเงื่อนงำ หากว่าเขาคิดลากตนลงน้ำ ตนย่อมไม่อาจนิ่งเฉย และเปิดเผยเรื่องระหว่างเขากับฉู่อี้เจี่ยน เช่นนี้มีแต่จะทำให้เขาตายเร็วขึ้น
เพราะว่าเบื้องหน้ามีฉู่อี้เจี่ยนขวางอยู่ เรื่องของฉู่ฉีเหยียนจึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
ทว่าเรื่องคาดเดาใจคนทำนองนี้ หลี่หลินไม่ได้ความเอาเสียเลย คิดเพียงว่าไม่ควรให้จุดอ่อนของฉู่ฉีเหยียนไปตกอยู่ในมือคนอื่น
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง คนทั้งกลุ่มขี่ม้ากันต่อไปอย่างเป็นระเบียบ
เดินไปได้สองก้าว เขาพลันนึกบางอย่างออกจึงถามไปว่า “เรื่องที่ให้ไปสืบก่อนหน้านี้ได้ความหรือยัง?”
หลี่หลินสะดุ้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจัง ตอบว่า “ยังไม่พบเบาะแสเลยขอรับ ท่านหญิงสวินหยางปฏิเสธไม่รับแขก แต่ก็มีไปที่จวนของเฉินเหนียนเกิงบ้าง ไปทีก็อยู่ครึ่งค่อนวัน ข้างกายนางมีองครักษ์มือดีอยู่กลุ่มหนึ่ง คนของเราไม่อาจเข้าใกล้ จึงไม่รู้เลยว่านางไปทำอะไรที่นั่นกันแน่”
ฉู่สวินหยางไปหาเฉินเหนียนเกิง? จะมีเรื่องอะไรได้อีก? นางกับตาเฒ่าเฉินเหนียนเกิงหาใช่มีเรื่องสนทนากัน? ก็แค่…
ไปดูสิ่งของต่างหน้าเท่านั้น!
“เหยียนหลิงจวิน!” คำสามคำลอดออกจากฟัน สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนคล้ายจมอยู่ในภวังค์ความคิด…
“ยังไม่มีข่าวของเขาหรือ?” เมื่อได้สติ ฉู่ฉีเหยียนก็เปิดปากถาม
“ยังขอรับ!” หลี่หลินส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ก่อนหน้านี้ท่านหญิงสวินหยางส่งองครักษ์เงาไปเก็บกวาดคนในกองทัพ เพื่อป้องกันการสูญเสียโดยไม่จำเป็น เราจึงถอนคนออกมาหมดตั้งแต่แรก ภายหลังจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่ดูจากที่ท่านหญิงสวินหยางทุ่มสุดตัวเพื่อแก้แค้นจวนรุ่ยชินอ๋องกับพวกหนานฮวา ใต้เท้าเหยียนหลิง…น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีนะขอรับ!”
—————————————-