ลั่วปิงลี่เห็นจู่ๆ เขาก็เอ่ยถามประเด็นสำคัญ สีหน้าของเธอเลยแลดูจืดไปเล็กน้อย
ลั่วปิงลี่ตอบ “นี่คือข้อเสนอจากทางขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขุนเขาเมฆาพยศ ขุนเขาสดับวิญญาณ และขุนเขากระเรียนเทาที่พวกเรายืนอยู่ก็เช่นกัน”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วทางขุนเขาวารีกระจ่างกับ ขุนเขาทำนองเสนาะเล่า?”
ลั่วปิงลี่กล่าว “แน่นอนพวกเราสองขุนเขาคัดค้าน แต่สิทธิ์และเสียงของพวกเราไม่เพียงพอ สุดท้ายถูกบังคับให้ข้อสรุปนี้ผ่านที่ประชุมโดยพวกเขา”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นให้อีกฝ่าย “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ลั่ว แม้ในยามนี้อาจารย์ของข้าจะไม่อยู่ แต่ท่านก็ยังเลือกที่จะบอกเล่าสถานการณ์ของนิกายให้แก่ข้า”
ลั่วปิงลี่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา ในหัวใจของเธอก็บังเกิดความพึงพอใจขึ้นหลายส่วน “ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ และขุนเขาสดับวิญญาณ ได้รับสืบทอดมาจากเทพแห่งชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติตามคำแนะนำของเทพแห่งชีวิต”
“แล้วทางขุนเขากระเรียนเท่ากับขุนเขาเมฆาพยศเล่า?” กู่ฉิงซานถาม
“สองขุนเขานี้ ซื่อสัตย์ภักดีต่อเทพแห่งดวงดารา และเจ้าก็น่าจะทราบดีว่าเทพดารามักจะไม่ลงรอยกับเทพวารี”
กู่ฉิงซานกล่าว “หมายความว่าทางขุนเขาทำนองเสนาะและขุนเขาวารีกระจ่าง ปฏิบัติตามคำแนะนำของเทพวารีใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง กระทั่งอาจารย์ของเจ้าก็ยังฟังคำแนะนำและคำสอนของเทพวารี เทพวารีเป็นหนึ่งในทวยเทพที่วิเศษยิ่ง นับว่าเป็นเทพที่มีทัศนคติที่ดีต่อมนุษย์มากที่สุดองค์หนึ่ง”
“ดังนั้น ในครั้งนี้ ช่วงเวลาที่อาจารย์ของข้าไม่ทราบเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเขาเลยคิดจะสั่นคลอนขุนเขาหลักสินะ?”
“มิผิด บางครั้งอาจารย์ของเจ้า ก็ใส่ใจความเสียหายที่เกิดขึ้นในแนวหน้ามากเกินไป และนิกายวังสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในนิกายที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นหมายความว่านิกายนับไม่ถ้วนย่อมคล้อยตามแนวทางของอาจารย์เจ้า”
“สำหรับบางการดำรงอยู่ชั้นสูง แรงสะท้อนที่อาจารย์ของเจ้าสร้างจึงก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น…”
มิต้องกล่าวสืบต่อ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนมากแล้ว
เซี่ยกู่หงส์ไปยังแนวหน้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่กลับขาดการติดต่อไปอย่างไม่คาดฝัน
ขณะที่ในเวลานี้ ในขุนเขาหลักมีสมาชิกอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น
นี่จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี!
เพราะหากในกรณีที่สาวกทั้งสามมีปัญหากัน มันอาจจะก่อให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียได้ บางทีในการแข่งขันแย่งตำแหน่งกัน มันอาจถึงขั้นก่อให้เกิดสถานการณ์ร้ายแรงที่ไม่อาจแก้ไขได้ก็ได้ หลังจากที่มีคนเติมเชื้อไฟลงในความปรารถนาอันลึกล้ำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมแผ่กระจายไปตลอดทั้งโลกแห่งการฝึกยุทธในทันที
ถึงเวลานั้น เซี่ยกู่หงส์ย่อมต้องถูกตราหน้าว่า ‘มิอาจขัดเกลาสาวกได้อย่างเหมาะสม’ เป็นแน่
ในฐานะที่เป็นถึงผู้นำนิกาย แต่กลับถูกตีตราว่า ‘มิอาจขัดเกลาสาวกได้อย่างเหมาะสม’ หนทางเดียวต่อจากนั้นคงมิแคล้ว เขาต้องเดินลงจากบัลลังก์ผู้นำเหล่านิกายมนุษย์ที่ตนเคยยืนหยัดอยู่เสมอมา
และต่อให้เขาไม่ยอมลง แต่ทางเทพวิญญาณก็จะมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาเอื้อมมือไปคว้าจับใบไม้ที่ลอยมาตามลมและฝน
ครึ่งหนึ่งของใบไม้มีสีเหลืองอ่อนและ แต่ขณะเดียวกันอีกครึ่งยังคงเขียวขจี ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันลอยมาจากที่ไหน และจะไปยังที่ใด
แล้วนี่ตัวเขาจักต้องเป็นเหมือนกับมัน ที่ทำได้แค่เพียงถูกบีบบังคับให้ลอยล่องไปตามกระแสลมเช่นนั้นหรือ?
กู่ฉิงซานกางมือออก ปล่อยให้ใบไม้ใบนั้นถูกพัดพาไปตามสายลมแห่งขุนเขา
ในช่วงเวลานี้ ลั่วปิงลี่กล่าวต่อ “ประสงค์ของเทพวิญญาณมิอาจละเมิด พวกเราได้รับคำสั่งนี้ ดังนั้นเราจะต้องคัดคนเพื่อไปฝึกยุทธในพระราชวังเทวะ”
“กู่ฉิงซาน เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งขุนเขาหลัก และทางขุนเขาหลักเอง ไม่ว่าศิษย์คนใดก็ล้วนยอดเยี่ยม อย่างไรเสียก็ต้องจัดการประลองขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นปรมาจารย์ขุนเขาหลายคน คงไปรับชมด้วยตนเอง เจ้าจะต้องคิดหาหนทางออกในครั้งนี้”
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “หากเป็นทางออกของเรื่องนี้ มันย่อมง่ายดายยิ่ง -ข้าขอสละสิทธิ์”
“สละสิทธิ์?”
“ใช่ ก็ในเมื่อขุนเขาหลักมีสมาชิกโดยสิ้นเชิง สามคน แต่ทว่ากลับต้องประลองกันต่อหน้าปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ นี่มันคงจะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไม่น้อย ดังนั้นข้าขอสละสิทธิ์”
“สำหรับการได้ฝึกยุทธและชี้แนะโดยเทพวิญญาณ …ก็มอบให้หวงซานกับเฉินหยางไป”
ลั่วปิงลี่ตกตะลึง
การตัดสินใจของอีกฝ่าย รวดเร็วกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้นัก
“กู่ฉิงซาน เจ้าต้องทราบนะว่าการที่ได้เทพวิญญาณเป็นผู้ชี้นำ ฝึกยุทธให้เป็นการส่วนตัวมันยอดเยี่ยมขนาดไหน -เจ้าสามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ และความลี้ลับมากมาย แม้กระทั่งอัตราเร็วในการฝึกยุทธก็ยังพรวดทะยานขึ้น นี่เจ้าไม่รู้สึกเสียดายเลยหรือ?” ลั่วปิงลี่เค้นถาม
“มันไม่เป็นไรหรอก สิทธิ์พวกนี้ปล่อยให้พวกเขาไป อาจารย์ได้ขอให้ข้าสอนเรื่องวินัยให้กับพวกเขา ดังตอนนี้ หากมีเทพวิญญาณคอยรับหน้าที่นั่นแทน ข้าเองก็จะได้ผ่อนคลายมากขึ้น และสามารถมีสมาธิในการฝึกยุทธได้ดีขึ้น ฉะนั้นเรื่องนี้นับว่าได้รับผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย” กู่ฉิงซานกล่าว
ลั่วปิงลี่พยักหน้าอย่างช้าๆ
เธอรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง และหาได้เศร้าเสียใจใดๆ ไม่
กู่ฉิงซานกล่าว “แต่ข้อร้องขอเพียงหนึ่งเดียวของข้าก็คือ ข้าอยากจะให้พวกเขาไปฝึกยุทธกับเทพวารี”
“ข้ายินดีช่วยเหลือ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา”
“ในเมื่อได้แบบนั้น ข้าก็โล่งใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
ลั่วปิงลี่มองเขา
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย แต่กลับละทิ้งสิทธิ์ของตน และเปิดโอกาสให้กับสองศิษย์น้อง เพียงเท่านี้เรื่องราวของขุนเขาหลักก็ไม่อาจมีผู้ใดมายุยงได้
“ฉิงซาน เจ้านี่มันเป็นคนดีจริงๆ”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ขอบพระคุณปรมาจารย์ลั่ว ข้าจะขอจดจำเรื่องในวันนี้เอาไว้ แต่ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลาก่อน”
แล้วเขาก็หันหลัง เตรียมจะเดินจากไป
ดวงตาของลั่วปิงลี่บังเกิดระลอกคลื่น เร่งถามขึ้นทันใด “กู่ฉิงซาน พวกเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสคุยกันแบบนี้อีกแล้วในอนาคต ฉะนั้นข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถามเจ้า”
“เชิญกล่าว”
“เจ้ามีความคิดอย่างไรกับเทพวิญญาณ?”
คำถามนี้ ถือเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดของวันนี้เลย
ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานเคยพูดถึงเทพวิญญาณ แต่ก็ถูกเธอตำหนิไป ดังนั้นอาศัยช่วงเวลาสุดท้าย ลั่วปิงลี่จึงเอ่ยถามกู่ฉิงซานถึงเรื่องของเทพวิญญาณ
กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด
เขามองลงไปยังแม่น้ำ มองข้ามผ่านไปยังขุนเขา และในที่สุดก็ตกลงบนขุนเขาหลัก
นั่นสินะ
ตนเองคิดอย่างไรกับเทพวิญญาณกันแน่?
ช่วงจังหวะนั้นเอง ภาพในอดีตก็เริ่มหลั่งไหลมาในจิตใจของเขา
คำกล่าวของเซี่ยกู่หงส์กังวานขึ้นในหูเขา
“หากวันใดที่นางตื่นขึ้นมา จงบอกนางออกไปแทนข้า ว่าชื่อของนางคือเซี่ยเต๋าหลิง”
แล้วเสียงนี้ก็กระจายออกไป สลับเปลี่ยนเป็นอีกภาพฉากหนึ่งในอดีต
ณ วังร้อยบุปผา
บนบัลลังก์หมื่นบุปผาที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยกวิญญาณ หญิงงามทรงอำนาจเปล่งคำถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “หากยังไม่มีนิกายอื่นใดในใจ…เจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผาหรือไม่?”
…
ท่ามกลางกระแสลมแรงบนยอดเขา กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มออกมา
“ปรมาจารย์ลั่ว ข้าได้ยินมาว่าทางขุนเขาทำนองเสนาะของท่านครอบครองเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงมากมาย ฉะนั้น ข้าอยากจะขอขลุ่ยหยกสักชิ้นจะได้หรือไม่?”
ลั่วปิงลี่ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายหยิบเอาขลุ่ยหยกสีม่วงออกมา และมอบมันให้แก่เขา
“ขลุ่ยนี่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันโดยข้า ฉะนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลมันเป็นอย่างดี”
“ขอบพระคุณท่าน”
“…แล้วเจ้าเล่นมันเป็นหรือไม่?”
“เป็นอยู่แล้ว”
กู่ฉิงซานรับขลุ่ยหยกมา หยุดกล่าวคำใด ประกบมันลงบนริมฝีปากของเขา
วู้ม…
ได้ยินแค่เพียงเสียงหนึ่งดังลอดออกมาจากในขลุ่ยหยก ทว่าเสียงนี้กลับแฝงเจตดาบอันอ้างว้างและลึกซึ้ง มันขจรขจายตัดผ่านสายน้ำทั้งเจ็ด
ลั่วปิงลี่พยักหน้าเล็กน้อย เพราะการเอ่ยถึงเทพวิญญาณมันไม่ค่อยจะสะดวกเท่าใดนัก ดังนั้นการใช้เสียงของขลุ่ยแทนที่ความหมายของคำพูดย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เธอรับฟังมันอย่างตั้งใจ
เสียงที่ดังออกมาจากขลุ่ยหยก ช่างฟังดูโดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก
ปราณดาบกระเพื่อมไหวไปตามเสียงขลุ่ยที่ดังขึ้น คล้ายกับกระแสน้ำที่ตัดผ่านเมฆหมอกบนยอดเขากระเรียนเทา ทะยานไกลไปสุดขอบฟ้า
แล้วเสียงขลุ่ยก็สิ้นสุดลง
ทันใดนั้น ปราณดาบที่ท่วมทับไปทั่วผืนฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นกระแสลมแรง กวาดข้ามไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก ปัดเป่ามวลเมฆหมอกที่ครอบคลุมท้องฟ้าเสมอมา ปลิดปลิวหายไป
พายุฝนคะนองหยุดตกลง ท้องฟ้าก็พลันกลายเป็นกระจ่าง
แสงแดดสดใสที่แสนจะอบอุ่นค่อยๆ สาดส่องลงมา สะท้อนกับใบหน้าอันงดงามของลั่วปิงลี่
หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ในแววตาบังเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย
ทว่าบัดนี้ ตรงข้ามกับเธอ มันว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่อีกต่อไป…
…………………