เวลาล่วงเลยเข้ายามสอง
ประกายแสงได้ส่องประกายข้ามฟากฟ้า พร้อมกับความรู้สึกเสียวสันหลังวาบของเจียงหยวน
“เกิดอะไรขึ้น”
เจียงหยวนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ เขาได้เร่งมองโดยรอบในทันที
เป็นตอนนี้ที่เจียงหยวนรับรู้ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง
“นะนายน้อย..”
เป็นตอนนี้ที่เสียงอันอ่อนหวานที่ราวกับกำลังหมดแรงได้ดังรอดทะลุกำแพงมาเข้าหูเจียงหยวน
“เฉียวเว่ย”
เจียงหยวนไม่สนใจสิ่งใดอื่นอีก เขาได้ใช้ก้าวย่างดอกบัวครามพุ่งไปในห้องของเฉียวเว่ยตรงๆ
“นะนายน้อย…”
ฉากที่เห็นทำให้เจียงหยวนถึงกับนิ่งอึ้ง
ร่างกายของเฉียวเว่ยในตอนนี้บังเกิดน้ำแข็งเกราะปกคลุม และด้วยน้ำแข็งเหล่านี้ทำให้เฉียวเว่ยตัวสั่นเทา แม้แต่ขนตาของนางก็ยังมีไอเย็นเกาะราวกับนางได้กลายเป็นปีศาจหิมะ ที่พร้อมจะลากผู้คนเข้าสู่ขุมนรกเยือกแข็ง
“เฉียวเว่ยรึ”
เฉียวเว่ยที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้ตั้งแต่นางเป็นเด็ก แต่ในตอนนี้ น้ำแข็งที่เกาะตามตัวของนางนี้บ่งบอกว่ามันเป็นการกลายพันธุ์ของพลังวิญญาณธาตุน้ำในร่างของนาง
และด้วยการที่เฉียวเว่ยไม่เคยฝึกฝนบ่มเพาะมาก่อน นี่ทำให้เจียงหยวนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมจุดตันเถียนของนางถึงได้เต็มเปี่ยมไปด้วยธาตุน้ำแข็งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เจียงหยวนไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
นั่นก็เพราะ พลังชีวิตของเฉียวเว่ยกำลังลดต่ำลงอย่างมองเห็นได้ชัดเจน
หากเขาไม่รีบทำอะไรล่ะก็ เฉียวเว่ยจะต้องตกตายตรงหน้าเขาเป็นแน่
ดังคำกล่าวที่ว่ารักษาม้าตายดั่งม้าเป็น
เจียงหยวนในตอนนี้พอจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบกระตุ้นไฟครามที่คงอยู่ในจุดตันเถียนของเขาแล้วปล่อยคลื่นพลังของมันออกมาจากร่าง หมายที่จะใช้มันละลายน้ำแข็งที่เกาะร่างของเฉียวเว่ยไว้
อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการเกิดน้ำแข็งบนร่างของเฉียวเว่ยนี้ไม่ได้ช้าลงแต่อย่างใด จะเห็นได้จากท่าทางเจ็บปวดของเฉียวเว่ยที่เจ็บปวดมากขึ้น
“หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป นางจะตายเอานะ”
เป็นตอนนี้ที่เสียงหญิงสาวที่เยียบเย็นได้ดังมาจากนอกหน้าต่าง
“ใคร”
เจียงหยวนที่หันไปทางหน้าต่างก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างแล้ว
หญิงสาวคนนี้มีท่าทางที่ดูเย็นชาไร้อารมณ์ นางสวมเสื้อสีน้ำเงินยาวคลุมเพียงชิ้นเดียว พร้อมกับมีกระบี่สะพายอยู่ที่หลัง และเจียงหยวนไม่รู้ว่านางเข้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เจียงหยวนจิตใจสั่นไหวในทันที พร้อมพยายามคิดว่านางมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน
“อยากให้นางรอดรึเปล่า”
หญิงสาวได้เคลื่อนที่เข้าหาเฉียวเว่ยด้วยความเร็วชั่วพริบตา ก่อนจะวางมือขวาของนางลงบนก้อนน้ำแข็งบนร่างของเฉียวเว่ย
“แน่นอน”
ถึงแม้เจียงหยวนจะไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร แต่เขาก็พอจะเชื่อได้ว่านางไม่ใช่ศัตรู เพราะท่าเท้าของนางเมื่อครู่นี้ก็พอจะบ่งบอกได้ว่านางสามารถฆ่าเขาได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
“ถ้าอย่างนั้นจงปล่อยให้ข้าพานางไป นางเป็นผู้ที่มีสุดยอดชีพจรยุทธของผู้บ่มเพาะธาตุน้ำที่หมื่นปีจะปรากฎสักคนหนึ่ง ชีพจรเยือกแข็งเก้าชั้น”
“ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเผลอไปกระตุ้นเส้นชีพจรของนางให้ตื่นขึ้นมาโดยบังเอิญจากการกินผลจันทรา ข้าต้องพานางกลับไปยังสำนักเหมันต์หิมพานต์”
หญิงสาวได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับไม่สนใจว่าในตอนนี้เจียงหยวนรู้สึกยังไงกับตนเองอยู่
“สำนักเหมันต์หิมพานต์รึ”
เจียงหยวนไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “หากข้ามาช้ากว่านี้ในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลังแล้วเจ้ายอมให้ข้าพานางไป มันก็ยังไม่สู้เท่าการที่เจ้าให้ข้าพานางไปในตอนนี้ รีบตัดสินใจเถิด”
-ไม่มีทางเลือกแล้ว-
เจียงหยวนนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันแน่น ก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางดุดัน “ได้ แต่หากว่าสำนักเหมันต์หิมพานต์ของเจ้าทำให้นางต้องเจ็บปวดแม้เพียงน้อยนิด ข้าจะบุกไปยังที่นั่นด้วยตนเอง”
“กล้าปากเสียกับเหมันต์หิมพานต์รึ เจ้านี่ช่างโอหังยิ่งนัก”
หญิงสาวยิ้มกริ่มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่พลิกมือของตนให้หงายขึ้น นี่ทำให้ร่างที่เริ่มจะแข็งค้างของเฉียวเว่ยลอยสูงขึ้นบนอากาศในทันที
“นายน้อย”
เฉียวเว่ยที่เห็นว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรได้อีก นางได้เอ่ยเรียกเจียงหยวนออกมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นดวงตาที่เปียกชื้นของคนที่รัก เจียงหยวนก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “เฉียวเว่ย ไม่ต้องกังวลนะ ข้าจะไปหาเจ้าอย่างแน่นอน แล้วจากนั้น…”
โดยไม่รอให้เจียงหยวนได้พูดจบ หญิงสาวได้ทะยานออกไปนอกหน้าต่างปานไวแสง พร้อมกับเฉียวเว่ยที่ร่างกายจมอยู่ในก้อนน้ำแข็งลอยตามติดห่างออกไป
หัวใจของเจียงหยวนในตอนนี้หวั่นไหวไปมาในขณะที่ยืนมองร่างของคนรักที่ลอยห่างไปไกล
-ทะยานกลางอากาศโดยไม่ร่วงหล่นหรือหยุดพักรึ-
-ยอดยุทธ-
-หญิงสาวคนนี้อยู่ในระดับยอดยุทธงั้นเหรอ-