“การมาของตระกูลหม่านี่เหมือนฝูงลิงดีจริงๆ เพียงแค่คนเพียงคนเดียวก็แตกพ่ายกลับไปทั้งตระกูล”

“ใครจะกล้ามาหาเรื่องเจียงหยวนแห่งเมืองเทียนหยางแห่งนี้ได้อีกกัน”

“เจียงหยวนจะเป็นแบบอย่างของข้านับจากนี้ไป”

“ช่างดูดีนัก”

เจียงหยวนได้หันกลับไปมองก็เห็นฝูงชนพากันโห่ร้องยินดี

เจียงเหวิ่นได้มองไปที่ลูกชายของตนด้วยใบหน้าเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยชื่อของเขาออกมาราวกับมีอะไรจะบอก “หยวนเอ๋อร์…”

“ท่านพ่อ มีอะไรหรือขอรับ”

เจียงหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าพ่อของตนต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับตนเอง

เจียงเหวิ่นในตอนนี้ราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ “มีบางอย่างที่พ่อไม่เคยบอกเจ้า มันเกี่ยวกับแม่ของเจ้าน่ะ”

“ท่านแม่เหรอ…”

นับแต่เด็ก เจียงหยวนที่พอจะจำความได้เขาก็เติบโตมากับพ่อของตนเท่านั้น และพ่อของเขาเองก็ไม่เคยที่จะพูดถึงแม่ของเขาเลยสักนิด แม้ตอนที่เขาเคยถาม พ่อของเขาก็พาลากเข้าเรื่องอื่นเสียทุกที แต่เป็นตอนนี้พ่อของเขากลับ…

“ใช่ เรื่องเกี่ยวกับแม่ของเจ้า เมื่อหนึ่งปีก่อน ตัวเจ้ายังทำตัวราวกับเทพเซียนพันปีที่รู้จักกันไปทั่ว ตัวเจ้านั้นเป็นอัจฉริยะบุคคลที่มากล้นจนพ่อเกรงว่าถ้าบอกเจ้าไปแล้วเจ้าจะทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป แต่ตัวเจ้าในตอนนี้ที่เปรียบได้ดั่งกระบี่คมในฝัก มันทำให้พ่อเปลี่ยนความคิดไป”

“ตอนนี้ พ่อจะบอกเจ้าในทุกเรื่องเกี่ยวกับแม่ของเจ้า แม่ของเจ้าเป็นคนของเมืองหลวง นางเป็นลูกสาวของคนรับใช้ในตระกูลหวัง ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอันใด”

“ตอนที่พ่อยังหนุ่มและทำตัวเช่นเจ้าเมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าที่ไปยังเมืองหลวงเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องราวต่างๆก็ได้พบเจอกับแม่ของเจ้า หวังเสวี่นเย่ว พวกเราตกหลุมรักกันแต่แรกเห็น จนกระทั่งจบจากสำนักอัคคีครามที่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว แต่ข้าได้พบว่าแม่ของเจ้ากลับถูกหมั้นหมายไว้แล้ว…”

“จากที่พ่อได้เคยฟังมา นายหญิงของตระกูลนั้นต้องการให้แม่ของเจ้าแต่งงานเพื่อสายสัมพันธ์ของตระกูลโดยที่นางเองก็ไม่เต็มใจ พวกเราจึงได้พากันหนีกลับมาที่เมืองเทียนหยางด้วยกัน”

“นึกไม่ถึงว่าตระกูลหวังไม่คิดปล่อยพวกเรา แต่ในตอนนั้น แม่ของเจ้าเองก็ได้ตั้งท้องของเจ้าแล้ว นี่ทำให้พวกนั้นอาศัยจังหวะที่นางคลอดเจ้าออกมา จับตัวแม่ของเจ้านำตัวนางกลับไป”

เจียงเหวิ่นเล่าเรื่องต่างๆด้วยท่าทางที่โศกเศร้า หลังจากระลึกความหลังแล้วทำให้ใบหน้าของเขาแสดงออกมาอย่างเศร้าหมอง

“ท่านแม่เป็นคนของเมืองหลวง ตระกูลหวังอย่างนั้นรึ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของเจียงหยวนก็ราวจะหวาดหวั่นและหนักอึ้ง หลายปีที่ผ่านมา พ่อของเขาต้องเก็บซ่อนเรื่องนี้เอาไว้อย่างเจ็บปวด ทนเจ็บปวดเพื่อตัวเขามานับสิบปี ทั้งๆที่รู้ว่าคนรักของตนอยู่ที่ใด แต่ก็ไม่รู้ว่าในตอนนี้จะเป็นเช่นใดบ้าง

“ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวล ข้าต้องช่วยท่านแม่และพานางกลับมาเป็นครอบครัวกันอีกครั้ง”

เจียงหยวนพยักหน้าราวกับต้องการตอบรับในความในที่พ่อของตนต้องการจะสื่อด้วยท่าทางแข็งขัน

“หยวนเอ๋อร์ ไม่ต้องรีบเร่งไปหรอก พวกเรารอมาได้นับสิบปี จะรออีกไม่กี่ปีจะเป็นอะไรไป”

เจียงเหวิ่นพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจพร้อมพูดออกมาด้วยความกังวลความปลอดภัยของลูกชายสุดที่รัก ถึงแม้เจียงหยวนในตอนนี้จะมีฝีมือสูงล้ำก็ตาม แต่เขาก็กลัวว่าจะเป็นไปตามคำกล่าวโบราณที่ว่ารุ่นเยาว์มักร้อนแรง

“….อ่ะแฮ่มมม…”

“ในตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนตระกูลเจียงอีกแล้ว และข้าก็ยังไม่รับกลับเข้ามาภายในตระกูล เจ้าที่ไม่ใช่คนของตระกูลแล้ว เจ้าสามารถไปทำอะไรก็ได้ตามใจของเจ้า จนกว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่หวังไว้ให้เสร็จสิ้น อย่าได้ให้ความเป็นตระกูลเจียงมากีดขวางทางของเจ้าซะล่ะ”

….

ค่ำคืนมาเยือน

ภายในห้องของเจียงหยวน โรงเตี๊ยมประตูเมือง

“นายน้อย ท่านมีเรื่องอะไรกังวลอยู่เหรอเจ้าคะ”

เฉียวเว่ยเองอดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าของเจียงหยวนที่นั่งต้องลมอยู่ที่ขอบหน้าต่างในตอนนี้

“อีกไม่กี่วัน หลังจากที่พวกเราจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว พวกเราจะจากที่นี่ไปยังเมืองหลวงกัน…”

เจียงหยวนได้ถอนลมหายใจออกมาอย่างยาว เขาที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายสุดในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา

หลังจากที่พึ่งจัดการเจียงหวู่และเจียงหลี่ไปได้ แถมยังตีคนตระกูลหม่าที่กล้ามาหาเรื่องตระกูลเจียงของเขาจนแตกพ่ายไปแล้วก็จริงเลยคิดจะใช้โอกาสนี้ไปจัดการกับหลี่ชูชูที่ไปอยู่เมืองหลวงเช่นเดียวกัน

แต่เมื่อเขานึกถึงเส้นทางที่ยังทอดยาวของเขาแล้วก็อดที่จะรู้สึกแบบนี้ไม่ได้

แม่ของเขาอยู่ที่เมืองหลวง

ตระกูลหลี่เองก็ย้ายไปเมืองหลวง

แม้แต่คนที่ชิงเส้นชีพจรยุทธของเขาไปก็เช่นกัน

แม้ความแค้นของเขาจะยังไม่ได้รับการสะสาง แต่ด้วยความช่วยเหลือของระบบ เจียงหยวนเชื่อว่าเขาจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จได้โดยเร็ว