ซูฉิงในขณะนี้แตกต่างจากรูปลักษณ์ที่เคยดูอ่อนโยนในตอนปกติ บัดนี้ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเฉยเมยและความจริงจังเฉกเช่นตอนที่อยู่กับฮ่อหยุนเฉิง สีหน้าอิ่มสวยนั้นยังแฝงไปด้วยกรุ่นไอแห่งความน่ากลัว
ครั้งนี้เป็นเพียงการลงโทษเล็กน้อย ถ้าหากยังมีครั้งต่อไปอีกล่ะ เธอคงจะไม่เห็นใจอีกฝ่ายดังเช่นครั้งนี้อีกแล้ว
สวีหว่านเอ๋อร์จ้องมองไปที่ซูฉิงอย่างไม่ลดละ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ความประหลาดใจ และความสับสน
ทุกๆความรู้สึกถูกผสมรวมกันจนกลายเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า “ความเกลียดชัง”
เธอจะไม่ยอมให้ซูฉิงอยู่เหนือเธออีกต่อไป!
“ซูฉิง เธอรอฉันก่อน ฉันจะมาเอาคืนแน่นอน!”
สวีหว่านเอ๋อร์กดเสียงต่ำพลางพูดออกมา เธอหันกลับไปทางประตูด้วยความโกรธเคืองและปิดประตูด้วยเสียงอันดังกังวาล “ปัง”
ซูฉิงมองไปที่ประตูที่ปิดอยู่ เธอส่ายหัวให้กับการกระทำที่ไร้มารยาทของอีกฝ่าย จากนั้นเธอจึงค่อยๆนั่งลงบนโซฟา
ช่างเถอะ เธอคงไม่มีเวลามากพอที่จะไปเกาะติดว่าสวีหว่านเอ๋อร์ทำอะไร สิ่งที่เธอควรทำมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่องธุรกิจ เธอควรจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ภาพยนตร์เรื่อง “พ่าหวังเปี๋ยจี” ได้รับรางวัลภาพยนตร์ที่ดีที่สุด
ณ เมืองใหม่สุ่ยเยว่
นับตั้งแต่วันที่ถังรั่วอิงได้เข้ามาอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของฮ่อหยุนเฉิง เธอเองก็มีความสุขไม่น้อยเลย เหมือนว่าในตอนนี้เธอจะถือว่าตัวเองนั้นได้เป็นนายหญิงของที่นี่ไปเสียแล้ว แต่เธอกลับยังไม่พอใจกับสิ่งนี้สักเท่าไหร่
สิ่งที่เธอต้องการคือการเป็นนายหญิงที่ได้เชิดหน้าชูตาของตระกูลฮ่อในอนาคต
“พี่เฉิง ทำไมเพิ่งจะกลับมาตอนนี้ละคะ?”
ในขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ถังรั่วอิงนั่งอยู่บนโซฟาและมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง จวบจนเธอได้ยินเสียงเปิดประตูถูกเปิดออก เธอจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปส่งยิ้มต้อนรับฮ่อหยุนเฉิง
ฮ่อหยุนเฉิงลูบผมของเธอและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วงนี้ฉันยุ่งกับหลายๆอย่างในบริษัท และฉันก็กำลังทำการค้ากับลูกค้ารายใหม่อยู่ด้วย ดังนั้นฉันจึงกลับมาช้าหน่อย”
ถังรั่วอิงมองดูเขาอย่างกังวล เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ฮ่อหยุนเฉิงกลับมาเยี่ยมเยือนเธอที่นี่ไม่ถึงสองครั้ง ดังนั้นเธอจึงกลัวว่าซูฉิงจะใช้กลอุบายใดๆหลอกให้เธอตายใจ
จนกระทั่งเธอได้ยินผู้ชายตรงหน้าเอ่ยบอก ความสงสัยภายในใจของเธอก็มลายหายไปทันที
ถังรั่วอิงพาฮ่อหยุนเฉิงเดินไปยังห้องรับประทานอาหารและนั่งลง เธอลงมือทำอาหารสองสามจานด้วยตนเอง และเมื่อทุกอย่างถูกเตรียมอย่างพร้อมรับประทาน เธอจึงจัดการวางชามข้าวลงตรงหน้าฮ่อหยุนเฉิง
“พี่เฉิง นี่เป็นอาหารที่ฉันทำเอง พี่ลองชิมสิ”
ฮ่อหยุนเฉิงหยิบตะเกียบและคีบอาหารสองสามชิ้นใส่เข้าไปในปากของเขา หลังจากได้ลิ้มลองรสชาติอาหารตรงหน้าแล้ว เขาก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยปากพูดกับถังรั่วอิงว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้อาการของถังถังจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังต้องดูแลตัวเองมากๆ อย่าละเลยหรือไม่ใส่ใจตัวเองเด็ดขาด ช่วงนี้ฉันงานยุ่งมากอาจจะไม่มีเวลาว่างกลับมาเยี่ยม ฉะนั้นฉันจึงจ้างพยาบาลมาดูแล ถ้าเธอเกิดมีอาการผิดปกติอะไรล่ะก็พยาบาลจะติดต่อมาหาฉันทันที”
ถังรั่วอิงตกตะลึงครู่หนึ่งและพยายามลากสายตาไปมองจุดอื่นแทนการมองชายตรงหน้า
อาการป่วยระยะสุดท้ายของเธอนั้นมันไม่อยู่จริง เธอก็แค่แกล้งทำเพื่อหลอกเขาเท่านั้น ถ้าฮ่อหยุนเฉิงและพยาบาลที่เขาจ้างมารู้ความลับนี้เข้าล่ะ?
ฮ่อหยุนเฉิงนั้นปรายสายตาจับจ้องมายังถังรั่วอิงตลอดเพื่อคอยดูปฎิกิริยาของอีกฝ่าย
เขาลองเอ่ยถามเธอออกมา เมื่อเห็นท่าทีนิ่งงันของถังรั่วอิง “เกิดอะไรขึ้น เธอไม่มีดีใจเหรอ?”
ถังรั่วอิงเมื่อได้ยินดังนั้นจึงต้องแสร้งเป็นดีอกดีใจขึ้นมาทันที เธอส่งยิ้มและส่ายหัวปฎิเสธ “ไม่ ฉันแค่กลัวว่ามันจะรบกวนพี่เฉิงมากเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่หรอก ฉันติดต่อเรียบร้อยแล้ว พยาบาลจะเดินทางมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฮ่อหยุนเฉิงได้เข้าไปจัดการงานต่างๆที่ทำค้างไว้ในห้องหนังสือ ทางด้านถังรั่วอิงนั้นก็พยายามคิดแผนการต่างๆที่พอจะทำให้เธอได้มีโอกาสความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่าในตอนนี้กับฮ่อหยุนเฉิง
เพียงแค่เธอก้าวข้ามผ่านขั้นนี้ไป เธอถึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าฮ่อหยุนเฉิงและซูฉิงจะไม่กลับมาจุดไฟรักเก่าของพวกเขาขึ้นอีกครั้ง
เธอสวมชุดนอนลูกไม้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก้าวทางเดินไปที่ประตูห้องหนังสือพร้อมกับชามซุปถั่วเขียวอุ่นร้อนในมือ เธอบรรจงเคาะเบาๆลงที่ประตูและเปิดเข้าไป ร่างบางสวยในชุดนอนลูกไม้ส่งรอยยิ้มอันแสนหวานไปยังชายหนุ่มที่กำลังขมักเขม้นกับการทำงาน
“พี่เฉิง นี่คือซุปถั่วเขียวที่ฉันทำ ลองดื่มนิดนึงนะ”
ถังรั่วอิงวางซุปถั่วเขียวลงบนโต๊ะ ด้วยความที่ชุดนอนด้านบนนั้นค่อนข้างสั้นทำให้ทรวงอกขาวผ่องเธอโผล่พ้นออกมาจากขอบเสื้อ ฮ่อหยุนเฉิงเหลือบมองเธอเพียงเล็กน้อย และกลับไปลงมือทำงานต่อโดยไม่คิดอะไร
“ลำบากเธออีกแล้ว ขอบใจมากนะเอาไว้ก่อน เดี๋ยวฉันจะดื่มทีหลัง”
“อืม…” ถังรั่วอิงรีบปกปิดความผิดหวังในดวงตาของเธออย่างรวดเร็ว เธอถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งและยังมายืนให้ท่าเขาถึงที่นี่ ฮ่อหยุนเฉิงจะไม่หวั่นไหวกับเธอเลยงั้นเหรอ?
เธอพยายามคิดหาทางเข้าใกล้ฮ่อหยุนเฉิงให้มากกว่านี้ เธอค่อยๆวางฝ่ามือลงบนกระดุมเสื้อของฮ่อหยุนเฉิง ร่างเบาในชุดหวิวค่อยๆนั่งลงในอ้อมแขนของชายร่างใหญ่ ข้อมือบางเริ่มลูบไล้และขยับเลื่อนไปโอบรอบคอของฮ่อหยุนเฉิง และก้มลงกระซิบข้างหูอีกฝ่ายเบาๆ “พี่เฉิง ดึกมากแล้ว ตอนอยู่บริษัทพี่ก็ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ฉันคิดว่าพี่ควรปิดคอมพิวเตอร์แล้วรีบไปพักผ่อนได้แล้ว”
ขณะที่เธอพูดนั้นเธอค่อยๆขยับใกล้ชิดอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น ขณะที่เธอเคลื่อนตัวชิดใกล้ฝ่ายชายไปเรื่อยๆ เธอพยายามจะโน้มตัวลงไปจูบริมฝีปากบางที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ
บรรยากาศในตอนนี้เต็มไปด้วยความคลุมเครือ แต่ก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ฮ่อหยุนเฉิงก็พยายามขยับไหล่ออกห่างเธอ
ถังรั่วอิงมองไปที่ฮ่อหยุนเฉิงอย่างสูญเสียความมั่นใจ นิ้วของเธอที่โอบอยู่บนไหล่และลำคอของชายตรงหน้าเริ่มรัดแน่นขึ้นเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหนีห่าง
ฮ่อหยุนเฉิงพยายามเว้นระหว่างห่างระหว่างทั้งสองเธอและเขา เขาเอ่ยปากพูดอย่างสุภาพและอ่อนโยนว่า “ถังถัง นี่มันก็ดึกมากแล้ว ฉันยังมีเรื่องต้องจัดการ ซึ่งจำเป็นสำหรับการประชุมบริษัทในวันพรุ่งนี้ ร่างกายของเธอมันยังอ่อนแออยู่ ระวังจะเป็นหวัดเอา ฉันว่าเธอควรรีบกลับไปที่ห้องนอนของเธอและพักผ่อนซะ”
“พี่เฉิง…”
ดวงตาของถังรั่วอิงเบิกกว้าง เธอไม่คิดว่าฮ่อหยุนเฉิงจะปฏิเสธการกระทำที่เย้ายวนของเธอ เธอตกตะลึงอยู่เพียงชั่วครู่และยังพยายามเอ่ยปากพูดกับฮ่อหยุนเฉิงอยู่
แต่หลังจากที่เธอเห็นดวงตาที่จริงจังของฮ่อหยุนเฉิง ความมั่นใจที่จะเผด็จศึกฝ่ายชายก็ดับมอดลงไปในพริบตา
ถังรั่วอิงวางมือลงแล้วจึงพยักหน้าน้อมรับ “งั้นฉันจะกลับไปนอนแล้ว พี่เฉิง พี่ควรจะพักผ่อนให้เร็วเหมือนกัน”
ฮ่อหยุนเฉิงพยักหน้าให้กับคำกล่าวของหญิงสาวร่างเล็ก และเมื่อประตูบานใหญ่ถูกปิดลง ดวงตาของเขาก็มีอาการผ่อนคลายลงทันที
แต่แผนการของถังรั่วอิงหาจบลงแค่นั้นไม่ เพียงไม่ถึงสามชั่วโมงถังรั่วอิงก็ร้องตะโกนเสียงดังออกมาอย่างตื่นตระหนก เสียงกรีดร้องตะโกนเรียกแต่ชื่อของฮ่อหยุนเฉิง “พี่เฉิง พี่เฉิง…!”
ฮ่อหยุนเฉิงผลักเปิดประตูและเดินออกไปเพื่อตามหาที่มาของเสียง เขาพบว่าเสียงตะโกนนั้นดังมาจากห้องนอนของหญิงสาว
เขาเดินตรงไปยังห้องนอนและเปิดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้านในห้องพบถังรั่วอิงกำลังลุกขึ้นนั่งบนเตียงกว้างด้วยใบหน้าซีดเผือด ใบหน้าหวานเอาแต่จ้องมองไปที่ประตูบานกว้างที่เขาเปิดเข้ามา ร่างทั้งร่างของเธอแข็งทื่อราวกับว่าเธอได้เห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว
ถังรั่วอิงกระพริบตาและค่อยๆเอ่ยปากพูดในสิ่งที่เธอเห็น เธอร้องไห้ออกมาต่อหน้าฮ่อหยุนเฉิงอย่างหนัก “พี่เฉิง ฉันกลัว … ”
ฮ่อหยุนเฉิงเดินไปที่เตียงกว้าง จับมือบางของถังรั่วอิงและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ถังถัง เธอเป็นอะไรไป เธอฝันร้ายเหรอ?”
ถังรั่วอิงโอบแขนของเธอไว้รอบเอวของฮ่อหยุนเฉิง เธอเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและพูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่เฉิง ฉันฝันร้าย เมื่อกี้ฉันฝันถึงวันที่เราโดนลักพาตัวและถูกขังไว้ในกระท่อม พวกมันไม่ยอมให้ฉันพบพี่ เรื่องวันนั้นมันแย่มาก ”
ฮ่อหยุนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาคมครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์น่าอึดอัดตรงหน้า แต่ไม่นานดวงตาคมก็กลับมาเป็นปกติ
มือของเขาตบลงบนแผ่นหลังของถังรั่วอิงเบาๆ เสียงนุ่มอ่อนโยนขึ้นถนัดตาเพื่อปลอบประโลมคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย “ทุกอย่างมันเป็นแค่ความฝัน ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาแล้ว มันไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว ถังถัง เธอจะไม่เป็นแบบนั้นอีก ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวนะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ถังรั่วอิงตอบรับชายตรงหน้าพลางค่อยๆช้อนสายตาอ้อนวอนไปยังฮ่อหยุนเฉิง “พี่เฉิน แต่ฉันยังกลัวมาก… ฉันนอนไม่หลับ พี่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม?”