บทที่ 451 ยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น
บทที่ 451 ยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น
“ฟู่ว…เรียบร้อย”
อวี้ฮ่าวหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พลังวิญญาณที่มีพลังทำลายล้างสูงส่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อร่างกายมนุษย์ธรรมดา
แต่ในที่สุดขั้นตอนที่ยากที่สุดก็เสร็จสิ้น
ชายหนุ่มใช้พลังวิญญาณของตัวเองรักษาอวัยวะภายในของหลิวว่านฉิงให้อบอุ่นขึ้น แถมยังทำให้ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ
ถึงจะเป็นขั้นตอนที่ไม่อันตราย แต่มันก็กินเวลานานหลายชั่วโมง
หลังจากพลังวิญญาณคลื่นสุดท้ายถูกถอนออกจากร่างกายอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็เงยหน้ามองออกไปข้างนอกหน้าต่างแล้วพบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว
เมื่อล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาดู ก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว แถมยังมีสายที่ไม่ได้รับสองสายอีกด้วย
ซึ่งคนที่โทรเข้ามาคือหลี่หรง
“ฮัลโหล?”
“พี่เขย! พี่กับถวนถวนอยู่ที่ไหน? ฉันกลับมาถึงบ้านตั้งแต่ก่อนหกโมงแล้ว ทำไมตอนนี้พี่ยังไม่กลับอีก?”
หลังจากกดรับสาย น้ำเสียงกังวลของหลี่หรงก็ดังขึ้นทันที
“ไม่มีอะไรหรอก ที่บริษัทเกิดเรื่องเล็กน้อยน่ะ ฉันกำลังจัดการมันอยู่”
ถึงปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่อวี้ฮ่าวหรานก็เลือกที่จะปกปิดมันเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวเป็นห่วง
เพราะพิษที่อยู่ในร่างกายของถวนถวนอาจทำให้น้องสะใภ้ไม่สบายใจเป็นเวลาหลายวัน
“อืม แล้วพี่จะกลับกี่โมงล่ะ?”
“เอ่อ… ตอนนี้ฉันกำลังกินข้าวอยู่กับถวนถวนน่ะ ถ้ากินเสร็จแล้วเราจะกลับบ้านทันที เธอไม่ต้องรอหรอก”
อวี้ฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขายังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นจึงกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้
“โอเค อย่ากลับดึกล่ะ พรุ่งนี้ถวนถวนต้องไปโรงเรียน”
ทั้งคู่วางสาย
อวี้ฮ่าวหรานถอนหายใจขณะทอดสายตามองป่าต้นป็อปลาร์ข้างนอกหน้าต่าง
“ไม่รู้ว่าเมื่อไรฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักที”
หลังกลับมาจากโลกเทวะ อวี้ฮ่าวหรานก็เบื่อหน่ายการต่อสู้และฆ่าฟัน ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวมากกว่า
แต่เห็นได้ชัดว่าความปรารถนาของเขาไม่มีวันเป็นจริง ตราบใดที่โลกใบนี้ยังมีการกดขี่และความอยุติธรรม
หลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย ในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็เข้าใจว่าถ้าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ก็ต้องทำให้ทุกคนเกรงกลัว!
“หนทางยังอีกยาวไกล”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นในความมืด ตอนนั้นเองหลิวว่านฉิงก็ฟื้นขึ้น
“แค่ก ๆ ฉัน…”
“คุณไม่เป็นไรแล้วครับ พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราไปโรงพยาบาลกัน”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายฟื้นคืนสติ อวี้ฮ่าวหรานจึงปลอบประโลมเธอด้วยท่าทางอ่อนโยนทันที
ถึงพลังวิญญาณจะรักษากระดูกส่วนที่แตกหักให้สมานกันไม่ได้ แต่อวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่มีเลือดออกภายในได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว
ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีปัญหาอะไร
“มืดมากเลย เปิดไฟหน่อยได้ไหมคะ?”
หลังจากสายตาของหลิวว่านฉิงปรับเข้ากับความมืดแล้ว แต่เธอก็มองไม่เห็นใบหน้าของชายตรงหน้าเลย
อวี้ฮ่าวหรานลืมตัวว่าเขามีสายตาที่เฉียบแหลมจึงสามารถมองเห็นในความมืดได้ชัดเจน แต่คนตรงหน้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
ไม่นาน เขาก็เดินไปเปิดไฟในห้อง
ทันใดนั้นแสงสีขาวนวลก็ขับไล่ความมืดมิดออกไปข้างนอกหน้าต่าง
เมื่อเห็นอย่างนั้น หลิวว่านฉิงที่ตัวขาวซีดที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยกมือขึ้นบังแสงที่แยงตา
“อ๊ะ…แสบตา”
หลังจากสายตาชินกับแสงสว่าง เธอจึงหันมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“ขอบคุณนะคะ”
ถึงก่อนหน้านี้จะสลบไม่ได้สติ แต่เธอก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายทำอะไรลงไป
แม้บาดแผลหลายแห่งจะได้รับการรักษาแล้ว แต่กระดูกส่วนที่แตกหักยังไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นร่างกายจึงยังคงเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว
อวี้ฮ่าวหรานมองใบหน้าซีดเซียวของหลิวว่านฉิงขณะรู้สึกผิดในใจ
อีกฝ่ายต้องได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องลูกสาวเขา ดังนั้นตอนนี้เขาต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเธอต่างหาก
ผู้หญิงคนนี้ประเมินตัวเองต่ำเกินไปจริง ๆ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ถ้าคุณเจ็บตรงไหนก็บอกผมได้เสมอเลยนะ”
เขามองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ
“วันหลังคุณต้องยอมรับความช่วยเหลือนะครับ เพราะคุณช่วยเหลือคนอื่นมากพอแล้ว”
เมื่อเจอหน้ากันครั้งแรก เขาก็สัมผัสได้ว่าหลิวว่านฉิงไม่เคยได้รับการช่วยเหลือเลย
ราวกับว่าเธอโดดเดี่ยวมาตลอดชีวิต
“ค่ะ”
หลิวว่านฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพึมพำออกมาขณะจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา
“โอเค งั้นผมขอตัวไปหาลูกก่อนนะครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ริมฝีปากของอวี้ฮ่าวหรานจึงยกโค้งขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
หลังจากฟื้นขึ้นมาบนโลกมนุษย์ คุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาทำลงไปคงจะเป็นการช่วยเหลือมนุษยชาติ
การมีครอบครัวที่น่ารัก ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปเป็นมหาเทพผู้เลือดเย็นได้อีก
บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีที่มหาเทพอวี้ฮ่าวหรานมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ธรรมดา
หลังเดินออกจากห้อง ไฟสีเหลืองนวลตรงทางเดินก็สว่างขึ้นทันที
แต่แล้วอวี้ฮ่าวหรานก็ต้องประหลาดใจ เพราะเขาเห็นหวังเหยียนยืนพิงประตู ขณะสายตาจับจ้องอยู่ที่ปลายทางเดินอย่างเหม่อลอย
“แค่ก ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานกระแอมเบา ๆ
“ลูกพี่อวี้ ออกมาแล้วเหรอครับ!”
หวังเหยียนหลุดออกจากภวังค์ ก่อนหันกลับไปมองอีกฝ่าย
“ลูกพี่อยู่ในนั้นตั้งห้าหกชั่วโมง รู้ไหมว่าคุณหนูเฉิงชิวอวี้มาเยี่ยมที่นี่หลายครั้งแล้ว”
ตอนนั้นเองเฉิงชิวอวี้ก็ปรากฏขึ้นปลายทางเดิน
“ในที่สุดคุณก็ออกมาแล้ว!”
เมื่อเห็นทั้งสองคนคุยกัน สายตาของเธอจึงเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
“ไปกินข้าวกันค่ะ! อาหารเย็นพร้อมแล้ว ฉันรอพวกคุณมาร่วมโต๊ะอยู่”
“งั้นไปกันเลย”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกหิวเล็กน้อย เขาจึงหันไปชวนหวังเหยียนที่ทำหน้าที่อย่างดี
“ไปกันเถอะ นายไม่หิวเหรอ?”
“ผม…ผมยังไม่หิว ลูกพี่อวี้ไปกินก่อนเถอะครับ”
หวังเหยียนตกตะลึงชั่วครู่ เขาคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะชักชวน
“มาเถอะค่ะ ฉันทำเผื่อคุณไว้แล้ว”
เฉิงชิวอวี้ไม่เข้าใจสถานการณ์ เธอจึงออกปากชวนอีกฝ่ายเช่นกัน
“อืม ถ้านายปล่อยให้ตัวเองหิว มันจะไม่ดีกับการฝึกตนนะ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่พูดมากความ เขาหันหลังแล้วเดินจากไปทันที
หลังจากได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของหวังเหยียนก็เปล่งประกายทันที จากนั้นก็เดินตามทั้งสองคนไปโดยไม่ลังเล
บนโต๊ะอาหารในห้องรับประทานอาหาร จานอาหารหลายเมนูวางเรียงรายเต็มโต๊ะ ซึ่งนับว่ามากเกินไปสำหรับรับประทานแค่สามคน
“เย้! ถวนถวนจะกินให้พุงกางเลย!”
เจ้าตัวน้อยตะโกนด้วยความตื่นเต้น ก่อนยื่นตะเกียบไปคีบอาหารที่วางเรียงรายตรงหน้า ไม่ว่าจานไหนก็น่าอร่อยไปหมด
“ฉันเห็นว่าคุณยังไม่ออกมาเลยทำอาหารเพิ่มอีกสองสามจานน่ะค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเฉิงชิวอวี้ทำอาหารมากเกินไป เธอจึงอธิบายอย่างช่วยไม่ได้
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นคีบอาหารเข้าปากด้วยสีหน้าพึงพอใจมาก
“อร่อยมากครับ”
ทักษะในการทำอาหารของเธอเยี่ยมยอดมาก เมื่อเทียบกับหลี่หรงแล้ว ฝีมือทั้งสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว
หลังจากรับประทานไปเพียงไม่กี่คำ เฉิงชิวอวี้ก็ลุกยืนขึ้นพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณกินกันต่อเถอะค่ะ ตอนนี้คุณหลิวน่าจะตื่นแล้ว ฉันจะไปหาอะไรให้เธอกินสักหน่อย อาหารยังเหลือในครัวอีกเยอะเลย”
พูดจบ เธอก็หันหลังกลับแล้วเดินออกไปโดยไม่รอให้คนที่เหลือตอบโต้
อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้ว เขารู้สึกประทับใจเล็กน้อย
การกระทำของเฉิงชิวอวี้ทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อมนุษย์ด้วยกัน