บทที่ 63 เขาบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ โดย Ink Stone_Romance
ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิสาดพรมด้านนอกด้านในวังหลวง ตู้กงกงผู้งีบกลางวันตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจทีหนึ่งเดินออกมาจากห้อง
ขันทีตัวน้อยนอกประตูรีบเข้ามารับ
“นายท่าน ท่านไม่พักผ่อนอีกสักครู่หรือขอรับ?” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทอนุญาตให้ท่านพักหนึ่งวัน”
ตู้กงกงหัวเราะฮ่ะฮ่ะโบกมือ
“ฝ่าบาทอนุญาตให้พักนั่นเป็นพระกรุณาของฝ่าบาท แต่พวกเราเป็นข้ารับใช้ย่อมไม่อาจเอาตนเองเป็นสำคัญจริงๆ ได้” เขาเอ่ย “หากเจ้าเอาตนเองเป็นสำคัญจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผู้อื่นก็จะไม่ให้ความสำคัญกับเจ้า”
“นายท่านสั่งสอนถูกต้อง” ขันทีตัวน้อยประจบอย่างนอบน้อม
สองคนเลี้ยวผ่านตำหนักข้าง ก็มองเห็นขันทีคนหนึ่งวิ่งมาจากข้างนอกแต่ไกล
“หลิวกงกงกลับมาแล้ว” ขันทีตัวน้อยตาไวเอ่ยขึ้น
ตู้กงกงหยุดฝีเท้ามองขันทีที่วิ่งมา
ขันทีก้าวเท้ารีบร้อน ยิ่งเข้าใกล้ก็มองเห็นสีหน้าตระหนกบนหน้าเขาได้
“โชคดีที่ข้าหลบไว ยุ่งกับท่านชายจู นั่นเป็นการถลกหนังชั้นหนึ่งแท้ๆ นอกจากนี้ยังคว้าอะไรดีๆ ไม่ได้” ตู้กงกงท่าทางยินดีกับหายนะของผู้อื่นเอ่ย แต่จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “ทำไมท่านชายจูไม่ตามเขามา?”
ได้ยินข่าวแจ้งมาว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงกับลู่อวิ๋นฉีตีกันที่กรมสืบสวนฝ่านเหนือ ฮ่องเต้พิโรธนัก
ส่วนทั้งสองคนทำไมตีกัน รายงานว่าคุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิงประโยคนั้นก็ทำให้ฮ่องเต้เข้าพระทัยยิ่งแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีมุ่งมั่นจะรับคุณหนูจวินเป็นอนุภรรยา ส่วนจูจั้นน่ะหรือ ก็คงเรื่องใดๆ ล้วนไม่ต้องการให้ลู่อวิ๋นฉีสมหวัง
ฮ่องเต้ครั้งนี้ตัดสินพระทัยแน่วแน่จะให้บทเรียนครั้งหนึ่งกับจูจั้น ดังนั้นให้ขันทีเป็นตัวแทนพระองค์ไปสอบถาม ไม่ให้จูจั้นมาหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เด็ดขาด
เพราะมาถึงด้านในพระราชวังปุบ ประการแรกจูจั้นมักจะตอแยไม่เลิกหาเหตุผลให้ตนเองได้อยู่เสมอ ประการที่สองฮ่องเต้ไม่อาจไม่สนหน้าเฉิงกั๋วกง เรื่องใหญ่จึงกลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มี
สำหรับฮ่องเต้แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องน่าพอพระทัยนัก
ครั้งนี้เป็นความขัดแย้งเรื่องบุรุษสตรีที่หาได้ยาก ทั้งยังทะเลาะกันต่อหน้าผู้คน ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาเสียหน้าต่อหน้าผู้คน ทะเลาะกันใหญ่โตถูกบรรดาชาวบ้านเล่าลือเป็นเรื่องตลก ถูกราชเลขาธิการกล่าวโทษเสีย เฉิงกั๋วกงย่อมไม่อาจโทษว่าฮ่องเต้ไม่ปกป้อง
แต่ฮ่องเต้ดำริถึงสิ่งนี้ได้ บุตรชายเฉิงกั๋วกงเจ้าเด็กผีนั่นจะคิดไม่อออกรึ?
ก็เหมือนที่เขาหนีจากการคุมตัวมาส่งขององครักษ์เสื้อแพร วิ่งตรงมาเมืองหลวงโวยวายต่อหน้าฮ่องเต้เองอย่างนั้นก่อนหน้านี้ เขาต้องไม่มีทางให้โอกาสคนอื่นลบหลู่ตนเองแน่
ดังนั้นสหายตายข้าไม่ตาย ตู้กงกงหาข้ออ้างหนีทันที เลี่ยงถูกบุตรชายเฉิงกั๋วกงตอแยดิ้นไม่หลุดหลังจากนั้นถูกฮ่องเต้พาลพิโรธ
หลิวกงกงแม้ดูไปแล้วหนังหลุดไปชั้นหนึ่งแต่ถึงกับหนีหลุดจากมือของบุตรชายเฉิงกั๋วกงได้เชียว? ตู้กงกงประหลาดใจยิ่งนัก
“หลิงกงกงงานราบรื่นดีนะ” เขาอดไม่ได้สงสัยใคร่รู้ เตรียมเผชิญหน้าคำเสียดสีเหน็บแนมก้าวเข้าไปเอ่ย
หลิวกงกงกลับเหน็ดเหนื่อโบกมือ
“ราบรื่นผายลมสิ” เขาเอ่ย กลับไม่ได้เสียดสีเหน็บแนมตู้กงกง ราวกับกระทั่งแรงกระทำสิ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว
“เรื่องราวคลี่คลายแล้วรึ?” ตู้กงกงเอ่ยถาม “ท่านชายถึงกับว่าง่ายเช่นนี้ไม่ตามมา?”
ว่าง่าย? หลิวกงกงอดไม่ได้ลูบแขนตนเอง แม้ตอนนั้นไม่เจ็บ แต่กลับรู้สึกว่าแขนชาอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง นี่ก็เหตุเพราะจูจั้นจับไว้เมื่อครู่
“เขาไม่ต้องตามมาแล้ว” เขาเอ่ย คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ สมองก็อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง “เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
ไม่เกี่ยวข้องกับจูจั้น?
ถ้าอย่างนั้นเกี่ยวข้องกับใคร?
“เกี่ยวกับหนิงฉางจอหงวนคนใหม่” หลิวกงกงเอ่ย มองตู้กงกง
ตู้กงกงสีหน้างุนงง
หนิงฉางหนิงอวิ๋นเจาเขาย่อมรู้จัก ต่อให้ไม่ใช่จอหงวน เขาก็รู้ว่าเป็นใคร หลานของหนิงเหยียน ลูกหลานที่ความรู้ดีเยี่ยมที่สุดของตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว ตอนอายุสิบสองปีก็เคยถูกฮ่องเต้เรียกมาเข้าเฝ้า
แต่ เกี่ยวอะไรกับเขา?
ฮ่องเต้ในตำหนักได้ฟังรายงานของหลิวกงกง กำฎีกาในพระหัตถ์แน่น สีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง
“คู่หมั้นของเขา?” พระองค์ตรัสถาม
หลิวกงกงค้อมกายขานตอบพ่ะย่ะค่ะ
“บอกว่าหมั้นหมายกันตั้งแต่เล็ก” เขาเอ่ย พลางเงยหน้าอย่างระมัดระวังมองสีหน้าฮ่องเต้ “บอกว่าเรื่องนี้คนมากมายล้วนรู้ เพราะตอนแรกตระกูลฟางประสบความลำบาก เพื่อจับศัตรูต้องเล่นละครฉากหนึ่ง บอกว่าถอนหมั้นแล้ว ที่จริงเป็นแค่เล่นละคร สัญญากันว่าหลังการสอบขุนนางสิ้นสุดจะคุยเรื่องแต่งงานอีกครั้ง หัวหน้ากองพันลู่อาจเข้าใจผิดแล้ว แต่ท่านชายจูรู้ความจริงดังนั้นถึงโกรธแค้นความอยุติธรรมเพราะการกระทำของหัวหน้ากองพันลู่ นี่เป็นการเข้าใจผิด”
ตู้กงกงที่อยู่ด้านข้างฟังจนตาโตอ้าปากค้าง
ยังคงเป็นบัณฑิตช่างจำนรรจาจริงๆ บอกว่าเป็นเรื่องที่คนมากมายล้วนรู้ แต่หัวหน้ากองพันลู่ที่เป็นองครักษ์เสื้อแพรกลับไม่รู้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เห็นชัดว่าต้องการตำหนิหัวหน้ากองพันลู่รู้แต่แย่งชิงภรรยาผู้อื่น ยังพูดได้เกรงอกเกรงใจปานนี้
แต่หนิงอวิ๋นเจาถึงกับมีสัญญาหมั้นกับคุณหนูจวินคนนี้? จริงหรือหลอก?
ฮ่องเต้พลันทรงพระสรวลแล้ว
“เป็นเรื่องจริง ข้าก็นึกขึ้นมาได้แล้ว” เขาเอ่ย “นักเล่านิทานของหยางเฉิงก็เอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน”
นักเล่านิทานของหยางเฉิง?
ตู้กงกงพยายามคิด ฉับพลันก็นึกถึงเรื่องที่มาของราชโองการตระกูลฟางที่รายงานมาขึ้นมาได้ เพราเป็นเรื่องเล่าเบ็ดเตล็ดเกินจริงของชาวบ้านจึงไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ไม่เชื่อเรื่องเหล่านั้นส่วนใหญ่
ไม่คิดว่าถึงกับเป็นเรื่องจริง
“ในเมื่อหนิงอวิ๋นเจาพูดว่าเป็นเรื่องจริง ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องจริง” ฮองเต้สรวลตรัส ท่าทางมีความนัยลึกล้ำ “ไม่คิดว่าจอหงวนใหม่ของพวกเราจะเป็นคนลุ่มหลงในรักคนหนึ่ง”
ขันทีสองคนในตำหนักร่วมหัวเราะด้วย แต่เสียงหัวเราะไม่น่าดูอยู่บ้าง
พวกเขารู้ว่าฮ่องเต้ต้องการอาศัยโอกาสนี้ให้บทเรียนบทหนึ่งกับจูจั้น ไม่คิดว่าระหว่างทางหนิงอวิ๋นเจาจะเข้ามาขัด
คนลุ่มหลงในรัก
สำหรับจอหงวนใหม่คนหนึ่ง นี่ย่อมไม่ใช่คำชมอันใด
หนิงอวิ๋นเจาคนนี้ก็จริงๆ เลย รอทะเลาะกันเสร็จ มาบอกกับฮ่องเต้ที่นี่ลับๆ คำหนึ่งก็พอแล้ว จะต้องทำต่อหน้าธารกำนัล
อีกอย่างต่อหน้าธารกำนัล เจ้าจอหงวนใหม่คนหนึ่งขัดแย้งกับลู่อวิ๋นฉีองครักษ์เสื้อแพรเพราะผู้หญิงคนหนึ่งไม่น่าดูมากเท่าไร เจ้าไม่สนหน้าสนตาสักนิดเลยรึ?
คราวนี้ดีแล้ว รอตอนสามวันให้หลังประดับบุปผาแห่ขบวนเถอะ ที่ทุกคนอยากมาดูจอหงวนคนใหม่คงไม่ใช่เพราะบทความโดดเด่นแล้ว แต่เพราะต้องการมาดูจอหงวนคนใหม่ที่ถูกองครักษ์เสื้อแพรแย่งคู่หมั้น
นี่เรียกเรื่องอะไรกัน
พาตำแหน่งจอหงวนรอบนี้ให้มีเรื่องตลกเพิ่มด้วยแล้ว
ฮ่องเต้โยนฎีกาลงบนโต๊ะ เสียงป้าบดังกังวาน บรรดาขันทีในตำหนักอดไม่ได้ตัวสั่น
“แล้งนานพบฝนฉ่ำ ไกลบ้านพบสหายร่วมบ้านเกิด คืนเข้าหอจุดเทียนวิวาห์ ยามกระดานทองประกาศนาม” พระองค์สรวลเอ่ย “ยินดีกับจอหงวนหนิงแล้วจริงๆ ไปเตือนหัวหน้ากองพันลู่ อย่าทำเรื่องที่ทำให้คนหมดความรื่นเริง”
…
ฟางจิ่นซิ่วลุกนั่งวิตกอู่ในโรงหมอจิ่วหลิง
“ข้าไปดูสักหน่อยเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย
“ไม่ต้อง” ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนางทีหนึ่ง “เจ้าไปที่ไหนใยไม่ใช่ยิ่งวุ่นวาย”
คุณหนูจวินยิ้ม
“จะวุ่นวายสักเท่าไรกันเชียว” นางเอ่ย
สิ้นเสียงเสียงฝีเท้ารีบร้อนก็ดังขึ้นนอกประตู เฉินชีพุ่งเข้ามา
“เป็นอย่างไร?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถามทันที
“เขา…” เฉินชีอ้าปากเอ่ยตำ
เพิ่งอ้าปาก ก็มีคนเข้ามาด้านหลัง มือเดียวผลักเขาออก ยืนตรงหน้าคุณหนูจวิน
“เฮ้ ข้าว่าเจ้าน่ะ ที่แท้มีสามีกี่คนกันแน่ฮะ?” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“ท่านเคยพบคนหนึ่งแล้ว” นางยิ้มเอ่ย
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ ชูสองนิ้วไปหานาง
“วันนี้ได้พบคนที่สองแล้ว” เขาเอ่ย
คนที่สอง?
เขากำลังพูดอะไร?
“คือว่า เมื่อครู่ที่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือ คุณชายสิบหนิงบอกว่าเขากับท่านมีสัญญาหมั้นกัน” เฉินชีอยู่ด้านหลังเอ่ยเล่าสั้นกระชับได้ใจความ
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นทันที
เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่สีหน้าตื่นตะลึงอย่างมาก
“เขาบ้าไปแล้วรึ” ฟางจิ่นซิ่วหลุดปากเอ่ย
…
ในจวนสกุลหนิง บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้วิตกกังวลยืนอยู่หน้าเรือน ความยินดีบนใบหน้ายังไม่สลาย นายหญิงรองหนิงรวมถึงบุตรชายบุตรสาวหลายคนล้วนสีหน้าวิตกมองไปทางห้องห้องหนึ่ง
เมื่อครู่นี้เองหนิงเหยียนกับจอหงวนหนิงอวิ๋นเจาที่รอคอยมาหนึ่งวันหนึ่งคืนกลับมาแล้ว ไม่รอพวกนางดีอกดีใจเอ่ยคำอวยพรที่เตรียมไว้ออกมา หนิงเหยียนก็หน้าบึ้งห้ามพวกนาง สักประโยคก็ไม่พูดพาหนิงอวิ๋นเจาเข้าห้องหนังสือไปแล้ว
ประตูห้องหนังสือถูกปิดลง
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ในห้องหนังสือหนิงเหยียนหน้าทะมึนมองไปทางหนิงอวิ๋นเจา
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือข้าบ้าไปแล้ว?” เขาเอ่ยถาม
……………………………………….