บทที่ 64 พูดบ้าบอไม่ไร้เหตุผล โดย Ink Stone_Romance
หนิงเหยียนรู้สึกว่าตนเองบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงมองเห็นฉากที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้
เขาจำได้ชัดๆ ว่าการขานชื่อจอหงวนเรื่องใหญ่ที่อยู่ในใจแน่นอนแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาอาหลานก็เหมือนเซี่ยอัน[1] ทุกสิ่งล้วนไร้กังวล นั่งประจันหน้าถกบทความหนึ่งคืน วิเคราะห์ดีเลว หลังจากนั้นนอนหลับตอนฟ้าสว่างอย่างเบิกบาน
ตื่นขึ้นมาสีหน้ากระปรี้กระเปร่าเตรียมกลับบ้าน
พวกเขาเดินออกจากกรม มองเห็นเรื่องวุ่นวายบนถนน เรื่องวุ่นวายนี่เดิมไม่สนใจก็ได้ แต่เพราะสำนักผู้ตรวจการรวมถึงฮ่องเต้ส่งคนมา ในฐานะขุนนางใหญ่ที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญ ไปดูสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
แม้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนี้บ้าบอไปบ้าง แต่พวกเขาอาหลานก็ไม่ได้ลนลานเพราะเหตุนี้ สีหน้าอารมณ์ล้วนปกติยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงอวิ๋นเจายังถามว่าลงโทษคนบ้าบอสองคนนี้ได้หรือไม่
ทำไมพูดอยู่ดีๆ พริบตาเดียวหนิงอวิ๋นเจาก็ก้าวออกไปแล้ว พูดประโยคบ้าบอปานนั้นประโยคหนึ่งออกมา
‘เพราะนางเป็นคู่หมั้นของข้า’
‘ข้ากับคุณหนูจวินมีสัญญาหมั้นหมายกันตั้งแต่เล็ก’
‘สัญญากันว่าหลังการสอบขุนนางจะพูดเรื่องแต่งงานกันอีกครั้ง’
เขาก้าวออกไปกะทันหันเช่นนั้น เอ่ยวาจากะทันหันเช่นนั้น กระทั่งโอกาสขวางยังไม่มี
กระทั่งฝันก็ยังไม่มีทางฝันว่าหนิงอวิ๋นเจาจะทำเรื่องเช่นนี้เอ่ยวาจาเช่นนี้
หนิงเหยียนมองดูหนิงอวิ๋นเจา จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าตนเองกำลังฝันอยู่
ฝันบ้าบอนี่
บ้าบอเกินไปแล้ว!
หนิงเหยียนมือฟาดหนักหน่วงลงบนโต๊ะ
เสียงดังกะทันหันไม่ได้ทำให้หนิงอวิ๋นเจาตกใจสะดุ้ง เขายังคงสีหน้านิ่งสงบ ดวงตาใสกระจ่าง
“ท่านอา แน่นอนไม่ได้บ้า แค่ผ่านทางเห็นความอยุติธรรม เกิดเลือดร้อนแบบเด็กๆ น่ะ” เขาเอ่ย
หนิงเหยียนมองเขา
“เลือดร้อนแบบเด็กๆ?” เขาเอ่ย “เจ้าก็รู้เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว? เจ้าก็รู้ว่านี่คือเลือดร้อนหรือ?”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มอับอายอยู่บ้าง ประหนึ่งเด็กน้อยที่ทำผิดถูกผู้ใหญ่ตำหนิคนหหนึ่ง แต่เพียงแค่อับอาย ไม่ได้โกรธรวมถึงหวาดหวั่นวิตกสำนึกเสียใจ
หนิงเหยียนลุกขึ้นยืนเดินหลายก้าว
“เจ้ารู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไรหรือไม่?” เขาหยุดอีกครั้งเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้า
“ย่อมรู้” เขาเอ่ย “เรื่องนี้พูดไปแล้วบ้าบอจริงๆ”
พูดจบสีหน้าจริงจัง
“แต่เพียงตอนนั้นฟังแล้วบ้าบอเท่านั้น ให้หลังทุกคนได้ยินเข้าก็จะรู้ นี่อย่างไรก็คือความจริง”
เรื่องที่หนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินมีสัญญาหมั้นหมายกันเป็นเรื่องจริง นี่เดิมทีเป็นเรื่องส่วนตัวของสองตระกูลที่เกิดขึ้นในเขตเล็กๆ อย่างหยางเฉิงนี้เท่านั้น แต่ที่โชคร้ายก็คือตระกูลฟางเกิดเรื่อง
เพราะตระกูลฟางตามหาศัตรู ทั้งยังหยิบราชโองการออกมา เรื่องเล่าต่างๆ นานาเล่าลือแพร่หลาย คุณหนูจวินในฐานะที่มีบทบาทสำคัญในการตามหาศัตรูของตระกูลฟาง เรื่องของนางย่อมถูกหยิบออกมาเล่าเล่นละครอย่างละเอียดเช่นกัน ในนี้ย่อมมีเรื่องสัญญาหมั้นหมายกับคุณชายสิบตระกูลหนิง อย่างไรเรื่องนี้ตอนแรกก็ถูกคุณหนูจวินผู้นี้โวยวายจนทุกคนล้วนรู้ถ้วนหน้า
แม้เรื่องเล็กน้อยในหยางเฉิงไม่ได้แพร่มาถึงเมืองหวง แต่ขอเพียงมีคนจงใจไปสืบหาย่อมรู้รายละเอียดได้
นี่เป็นความจริงที่สืบหาปุบก็รู้จริงๆ
หนิงเหยียนสบถในใจอีกคำ
“ข้าถามเจ้าว่าเป็นหรือไม่เป็นเรื่องจริงรึ” เขาคิ้วตั้งตวาด “นอกจากนี้เรื่องจริงเป็นเช่นนี้รึ?”
ความจริง สัญญาหมั้นหมายระหว่างหนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินยกเลิกไปแล้ว
ไม่ว่าละครชาวบ้านเล่าทำนองว่าเพื่อหลอกลวงศัตรูตระกูลฟาง ทนความอัปยศแบกภาระหนักหน่วงอะไรก็ตาม สัญญาหมั้นหมายก็ยกเลิกไปแล้วจริงๆ ไม่มีอยู่แล้ว
ตอนนี้หนิงอวิ๋นเจากลับกระโดดออกมาบอกว่าคุณหนูจวินเป็นคู่หมั้นของตนเอง ลอบเสียดสีว่าลู่อวิ๋นฉีฉกชิงภรรยาผู้อื่น แล้วยังทำให้เรื่องที่จูจั้นตีคนกลายเป็นการเรียกร้องความยุติธรรม
หนิงเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม มองหนิงอวิ๋นเจา
“เจ้ารู้ว่านี่หมายความว่าอะไรไหม?” เขาเอ่ย
ฐานะตำแหน่งของลู่อวิ๋นฉี บุตรชายเฉิงกั๋วกงทำไมมาเมืองหลวง ฐานะตำแหน่งของบุตรชายเฉิงกั๋วกงรวมถึงความขัดแย้งระหว่างเฉิงกั๋วกงข้างหลังเขากับราชสำนัก
ความสัมพันธ์ระหว่างสามฝ่ายนี้เกี่ยวพันสลับซับซ้อนทั้งยังเป็นคลื่นใต้น้ำโหมซัดกันอยู่ กระทั่งชาวบ้านธรรมดาล้วนรู้ นับประสาอะไรกับเขาหลานชายของหนิงเหยียน
นอกจากนี้ตรงนั้นตอนนั้นเขาก็บอกกับหนิงอวิ๋นเจาแล้ว ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้แต่ไม่ยุ่ง
ฮ่องเต้ยังไม่ยุ่ง หนิงอวิ๋นเจาเจ้ากลับยุ่งแล้ว นี่หมายความว่าอะไร? ตระกูลหนิงลอบสมคบกับเฉิงกั๋วกงหรือ?
ดังนั้นเรื่องนี้บ้าบอเกินไปแล้ว หนิงเหยียนรู้สึกอับจนวาจาอีกครั้ง
เรื่องนี้ใครที่มีสมองมีตาสักนิดล้วนไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้
หนิงอวิ๋นเจาดันทำไปแล้ว
นอกจากนี่เป็นความฝัน หนิงเหยียนก็ไม่รู้ควรอธิบายอย่างไรแล้ว ที่ยิ่งทำให้คนหมดหนทางยิ่งกว่าก็คือตอนนั้นเผชิญกับสายตาไถ่ถามประหลาดใจของขุนนางมากขนาดนั้น เขาดันไม่อาจพูดสิ่งใดคัดค้านห้ามปรามหนิงอวิ๋นเจาได้ อย่างน้อยนาทีนั้นเขาก็ต้องอยู่ข้างเดียวกับหนิงอวิ๋นเจา ไม่เช่นนั้นการกระทำนี้ยิ่งอธิบายยากแล้ว
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ข้ารู้ว่านี่หมายความว่าอะไร” เขาเอ่ย สีหน้านิ่งสงบ “แต่ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ตรงกันข้ามเป็นเรื่องดี”
เรื่องดี?
หนิงเหยียนมองเขา
“เป็นเรื่องดีอย่างไร?” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“เรื่องหมั้นหมายของข้ากับคุณหนูจวินเป็นความจริง สัญญาหมั้นก็เป็นความจริง ยกเลิกสัญญาหมั้นก็เป็นความจริง นอกจากนี้การยกเลิกสัญญาหมั้นก็เป็นความจริงที่ไม่นับว่าน่าดูนักด้วย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ไม่ว่าถูกเล่าเล่นละครอย่างไร ท่านอา เรื่องนี้เป็นตระกูลหนิงของเราตระบัดสัตย์ละทิ้งคุณธรรม นี่ก็คือความจริง”
หนิงเหยียนเงียบงัน
“เรื่องนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ” เขาเอ่ย
สัญญาหมั้นหมายนี้เกิดเพราะนายท่านผู้เฒ่าหนิง ที่ทำลายสัญญาก็เพราะนายท่านผู้เฒ่าหนิง พวกเขาทำตามเจตนาของนายท่านผู้เฒ่าหนิง ไม่เอ่ยถึง ไม่ยินยอม แต่พูดด้วยใจเป็นกลาง ไม่ว่าตอนแรกนายท่านผู้เฒ่าหนิงตัดสินใจเลอะเลือนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่วาจาเอ่ยออกมาดั่งรถม้าสี่อาชายากไล่ทัน เรื่องนี้เป็นตระกูลหนิงตระบัดสัตย์ละทิ้งคุณธรรมจริงๆ
“ทุกคนขอเพียงรู้ความจริงก็จะคิดเช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ครั้งนี้บุตรชายเฉิงกั๋วกงกับลู่อวิ๋นฉีทะเลาะกันต่อหน้าผู้คน ดูแล้วเป็นเรื่องของพวกเขากับคุณหนูจวิน แต่เกี่ยวพันถึงการแต่งงานของคุณหนูจวิน นั่นย่อมต้องเกี่ยวพันมาถึงอดีตของพวกเราด้วย”
เขามองหนิงเหยียน
“ท่านอา วันนี้ข้าได้เป็นจอหงวน ย่อมต้องกลายเป็นจุดสนใจของคนเมืองหลวง เรื่องนี้ข้าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”
หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือ? หนิงเหยียนครุ่นคิด
“หากจะถูกผู้คนเอามาพูดว่าตอนนั้นตระบัดสัตย์ละทิ้งคุณธรรมต่อคุณหนูจวิน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ “ไม่สู้ข้ายอมรับสัญญาหมั้นหมาย เลี่ยงถูกผู้คนล้อเลียนตั้งข้อสงสัยกับคุณธรรมของพวกเราตระกูลหนิงไม่ดีกว่าหรือ”
กล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ สัญญาหมั้นหมายนี่…หนิงเหยียนขมวดคิ้ว
“คุณหนูจวินปลูกฝีให้เด็กทั่วหล้า ขจัดภัยร้ายความกังวลของชาวประชาหมื่นพัน เรียกได้ว่าข่วยเหลือพสกนิกร” หนิงอวิ๋นเจามองหนิงเหยียน “ผู้ที่คุณงามความดีใหญ่หลวงเมตตามากลั้นเช่นนี้ ท่านอา จะไม่ปกป้องได้หรือ?”
เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ท่านอา ปกป้องคนที่คุณงามความดีใหญ่หลวงเมตตามากล้นเช่นนี้ ไม่ใช่คุณธรรมใหญ่หลวงหรือ?”
“ท่านอา ในเมื่อเป็นคุณธรรมใหญ่หลวง เป็นการกระทำของวิญญูชน แล้วมีเหตุใดให้กลัวมันเล่า?”
เช่นนี้รึ
หนิงเหยียนสีหน้าเคร่งขรึมกลายเป็นนิ่งเงียบอยู่บ้าง
…
“เช่นนี้รึ”
ด้านในโรงหมอจิ่วหลิง คุณหนูจวิน ฟางจิ่นซิ่วก็ฟังเฉินชีเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวจบ สีหน้ายุ่งเหยิงอยู่บ้าง ชั่วขณะล้วนไม่รู้ควรพูดอะไร ด้านในโถงเงียบไปครู่หนึ่ง
“เหอะ”
เสียงเหอะหนักๆ ของบุรุษเสียงหนึ่งทำลายความเงียบนี้
คุณหนูจวินมองจูจั้นที่ยิ้มหยันอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง
“คิดไม่ถึงจริงๆ” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินถึงกับเจ้าชู้เช่นนี้”
นี่วาจาอะไรกัน
ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว ส่วนคุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“คนหนึ่งสหายตัวน้อยผู้ร่ำรวย คนหนึ่งคุณชายจอหงวนผู้มากความสามารถ” จูจั้นลุกขึ้นยืน กอดอกเลิกคิ้วมองคุณหนูจวิน “ทำไมกลายเป็นสามีเจ้าหมดแล้วเล่า? เจ้าที่แท้มีสามีกี่คนกันฮะ?”
คำพูดนี้ถามได้ไม่เข้าท่า ฟางจิ่วซิ่วขมวดคิ้ว
คุณหนูจวินมองจูจั้นพลางชูสามนิ้วขึ้น
“สามคน” นางเอ่ยจริงจัง
คำพูดนี้ก็ตอบไม่เข้าท่า ฟางจิ่นซิ่งถลึงตามองคุณหนูจวินอีกครั้ง
เป็นจริงเป็นจังหน่อยได้หรือไม่?
“สามคน?” จูจั้นมองนาง ขมวดคิ้วด้วย “ยังมีใครอีก?”
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม ยื่นมือชี้ไปทางเขา
“ท่านไง” นางเอ่ย
จูจั้นถลึงตา
รู้อยู่แล้วเชียวว่าเป็นคนไม่ปกติคนหนึ่ง!
……………………………………….
[1] เซี่ยอัน (谢安) นักปกครองผู้มีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ตอนอายุน้อยถูกเรียกตัวไปรับราชการแต่ปฏิเสธ เร้นกายใช้ชีวิตอย่างสงบ ท่องเที่ยวป่าเขาประพันธ์บทกวีสร้างสรรค์งานเขียนกับสหาย ต่อมาตระกูลสูญเสียอำนาจถูกคุกคาม เขาจึงออกรับราชการและสร้างผลงานสำคัญอย่างเช่น ล้มแผนการชิงบัลลังค์ของหวนเวิน เป็นผู้บัญชาการทหารของแคว้นจิ้นใช้กองทัพเล็กชนะกองทัพใหญ่ของแคว้นเฉียนฉินในสงครามเฝยสุ่ย ทำให้รัฐจิ้นตะวันออกสงบสุขหลายสิบปี