ตอนที่ 238

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 238 – ยามหญิงสามทนต่อไปไม่ไหว ต่อให้จะเป็นฤดูร้อนหิมะก็ตกลงมาได้

ตัวตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าราชินีปรสิตได้หรี่ตาลงเพราะน้ำเสียงจริงจังของราชินี

“นั่นมันดูไม่ดีสำหรับเราเลยนะ”

[ถูกแล้วล่ะ หากเราปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป อนาคตก็จะยิ่งบิดเบี้ยวไป และอีวาก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของความบิดเบี้ยวนี้]

“ท่านพูดว่าพายุสินะ ท่านไม่ประเมินสถานการณ์สูงเกินไปหน่อยหรอกหรอ?”

[ตอนนี้มันยังเป็นแค่สายลมเท่านั้น แน่นอนว่าหากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในตอนนี้ มันก็มีโอกาสที่สายลมจะหยุดลง แต่ว่า…]

ราชินีปรสิตได้เว้นช่วงเอาไว้เพื่อสังเกตกลุ่มดาว

เมื่อเห็นด้ายสีทองกำลังสัมผัสดวงดาวอยู่ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

[มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของดวงดาว]

“ฉันไม่รู้สิ ถึงเขาจะฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ไป-“

[เมื่อขนนกสัมผัสผิวน้ำ มันจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมแค่เพียงเล็กน้อย]

ราชินีปรสิตได้พูดต่ออย่างสงบ

[แต่ว่าด้วยหนึ่งก้าวของยักษาก็จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ได้]

ตัวตนตรงหน้าราชินีได้แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

[ถึงจะแค่เพียงก้าวเดียวก็ทำให้เกิดคลื่นได้แล้ว… เพราะงั้นหากว่าเขากัดฟันและเริ่มวิ่ง…]

มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดหายนะ และพายุลูกเห็บได้

“…เราจะทำยังไงดีล่ะ?”

ตัวตนตรงหน้าราชินีได้กอดอกออกมาเมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญจากราชินี

“ถ้าท่านต้องการ ฉันสามารถจะบุกไปที่อีวาได้เดี๋ยวนี้เลย แค่ให้ฉันมาสองกองทัพก็พอแล้ว”

[นั่นไม่ใช่แผนที่แย่]

ราชินีปรสิตได้เท้าคางด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

[แต่ว่าเราได้ล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง เราจะทำพลาดแบบเดิมไม่ได้]

การรีบเร่งส่งกองทัพไปที่หุบเขาได้กลายเป็นความผิดพลาดร้ายแรง

มันไม่ใช่แค่เธอสูญเสียกองกำลังไปเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ราชินีปรสิตขมขื่นที่สุดนั่นก็คือการที่เธอเป็นส่วนช่วยทำให้ดวงดาวที่ตายไปแล้วฟื้นคืนกลับมา และกระทั่งเร่งการเติบโตของมันขึ้นอีกด้วย

และผลลัพธ์ที่ได้ออกมาทำให้อนาคตส่วนสำคัญที่ราชินีปรสิตวาดหวังไว้บิดเบี้ยวไป

“ท่านกำลังจะบอกให้เรารอดูความเป็นไปก่อนงั้นหรอ?”

[ฉันไม่ได้บอกว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย]

ราชินีปรสิตได้แสยะยิ้มบางๆออกมา

[ราคะกับความโลภดูจะได้เตรียมการเอาไว้มากมาย เพราะงั้นนี่ถึงเวลาที่จะจั่วการ์ดในตอนที่พวกเธอไม่ระวังตัวแล้ว ฉันจะต้องค่อยๆทำอย่างรอบคอบ]

“ตอนไม่ระวัง นั่นหมายความว่า…”

[มันคือเวลา]

“เวลา…?”

ตัวตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย

ราชินีปรสิตก็ยังคงทำเช่นเดิม เธอได้เอียงหัวออกมาและมองขึ้นไปบนเพดาน

มันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่ แต่ว่าก็ไม่มีการสั่นสะเทือนหรือพลังงานที่ทรงพลังหลั่งไหลออกมาเลย

แต่ว่าทั้งสองคนก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

บนท้องฟ้าเหนือเพดานสูงตระหง่านออกไปมีเมฆพายุน่ากลัวกำลังโหมกระหน่ำอยู่

มันเร็วและรุนแรง แต่มั่นคง

[ให้ฉันแนะนำตัวเขาก่อนแล้วกันนะล

ราชินีปรสิตยิ้มออกมา

[เทพคนใหม่ที่จะเป็นคู่หูของเธอ]

“คู่หู?”

[เธอกับเขาจะเป็นคู่ที่ดี]

ราชินีปรสิตพูดออกมาอย่างมั่นใจ

[นั่นเพราะเด็กคนนี้เป็นอีกคนหนึ่งนอกเหนือไปจากเธอที่สามารถจะย่อยพลังแห่งเทพได้ด้วยตัวเอง]

“โฮ่!”

ดวงตาของตัวตนตรงหน้ายิ้มออกมา

ใช่แล้ว คนที่เพิ่งจะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นคือตัวตนเพียงหนึ่งเดียวในผู้บัญชาการกองทีพที่สามารถจะยอมรับในพลังแห่งเทพได้ด้วยตัวเอง

เธอคือผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ที่ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว ผู้บัญชาการกองทัพที่มีพลังทำลายล้างที่เทียบเท่ากับกองทัพกองทัพหนึ่ง มังกรตนสุดท้าย ‘ความกรุณาอันบิดเบี้ยว’

ความกรุณาอันบิดเบี้ยวได้สำรวจร่างกายของเธอทันที ปีกขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากหลังของเธอกำลังหุบอยู่ และหางยาวที่ยื่นออกมาจากบริเวณก้นของเธอ

แค่มองดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้าก็ทำให้ร่างกายเธอมีปฏิกิริยาขึ้นมา

“ตอนนี้…”

ฮ่าาห์ ความกรุณาอันบิดเบี้ยวได้สูดหายใจยาวก่อนจะเสยผมสีเทาขึ้น จนเผยให้เห็นดวงตาสีแดงที่เหมือนสัตว์เลื้อยคลานของเธอ

“นี่มันช่างน่าสนใจ”

มังกรตนสุดท้ายได้เผยรอยยิ้มออกมา

***

คิมฮันนาห์ได้ตัดสินใจจะไปที่อีวาอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากว่าเธอต้องไปหาคนมาทำการก่อสร้าง

เธอได้วางแผนที่จะไปหาโรงแรมพักใกล้ๆพร้อมทั้งคนหาคนมาก่อสร้างไปด้วย

ซอลจีฮูได้อาสาตัวเองไปเป็นคนคุ้มกันให้เธอ แค่ว่าน่าแปลกที่คิมฮันนาห์ได้ปฏิเสธออกมา ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้องการคนคุ้มกัน เพียงแต่ว่าเธอปฏิเสธซอลจีฮูเท่านั้น

เธอมีคำขอหนึ่งที่จะต้องให้เขาทำ

“จงแกร่งขึ้น”

“?”

“อย่างน้อยต้องใช้เวลา 3 เดือนกว่าการก่อสร้างจะเสร็จ มันอาจจะใช้เวลานานกว่านั้นด้วยซ้ำไป”

จากนั้นคิมฮันนาห์ก็หันมาจ้องซอลจีฮู

“นายเป็นคนพูดเองไม่ใชหรอ? ที่ว่านายเป็นระดับ 5 แล้วแต่ว่าทักษะของนายยังไม่สมกับระดับของนายเลย”

ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา มันเป็นเรื่องจริงที่ว่านับตั้งแต่ที่เขาเลื่อนระดับขึ้น เขายังไม่ได้ฝึกเลย

“หากว่าพลังอันน่ากลัวที่นายแสดงออกมาในระหว่างสงครามเป็นผลมาจากทักษะปลุกพลังที่จะเพิ่มพลังที่แท้จริงของนายขึ้นไป ถ้างั้นอย่างน้อยนายก็จำเป็นต้องแกร่งกว่าในตอนนี้สัก 4-5 เท่า”

“มากขนาดนั้นเลย?”

“อย่างน้อยแรงค์เกอร์ระดับสูงทั่วไปก็จะแข็งแกร่งแบบนั้น”

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องฟีโซราผู้ที่เป็นนักรบระดับสูงระดับ 5 ที่มีเพียง 0.1% เท่านั้น เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

“เรากำลังจะย้ายไปที่อีวา แต่ว่าเขาไม่รู้เลยว่าองค์กรอื่นๆจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็อาจจะต้องปะทะกับพวกเขาอย่างแน่นอน ในตอนที่มันเกิดขึ้นมีแต่พลังเท่านั้นที่เราจะพึ่งพาได้”

นี่ก็คือสิ่งที่ซอกกูนีร์ได้กังวลเช่นเดียวกัน

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือมีโอกาสที่คาเพเดี่ยมจะเปิดสงครามกับองค์กรอื่น

ไม่ว่าจะยังไงเขาก็รอการฝึกอยู่แล้ว และในเมื่อปรสิตสามารถจะบุกมาได้อีกตลอดเวลา การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาอย่างยินดี

“โอเค ฉันจะกลับมาพร้อมกับพลังที่แกร่งกว่าตอนนี้ รอฉันก่อนนะ”

“เฮ้ ถ้านายพูดแบบนี้ มันฟังเหมือนกับเราเป็นคู่รักดราม่าที่ถูกบังคับให้ต้องแยกทางกันเลยนะ”

คิมฮันนาห์ได้บ่นออกมาพร้อมทั้งหัวเราะขึ้น

เพราะแบบนี้พวกเขาจึงแบ่งออกเป็นสองทีม

คิมฮันนาห์มุ่งหน้าไปอีวา โชฮงกับมาแชล จิโอเนียจะไปกับเธอด้วย การที่คิมฮันนาห์มีศัตรูอยู่มากมายทำให้เธอต้องมีคนคุ้มกัน และการมีนักรบระดับสูงกับนักธนูเหล็กกล้าไปด้วยถึงจะทำให้ซอลจีฮูสบายใจ

แน่นอนว่าจางมัลดงจะต้องไปกับซอลจีฮูเพื่อฝึกเขา รวมถึงตัวโฟลนก็ด้วย

สำหรับคนที่เหลือซอลจีฮูได้ให้พวกเขาได้ตัดสินใจจากต้องการ

“ผมอยากจะไปฝึกด้วย”

ยี่ซังจินเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้นมา

“ฉันด้วย”

และน่าแปลกที่ฮิวโก้ก็เสนอตัวเองขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“ฉันเข้าใจซังจินนะ แต่ว่านายด้วยหรอฮิวโก้?”

“นี่นายกินอะไรแปลกๆมางั้นหรอ?”

แม้กระทั่งจางมัลดงกับฮิวโก้ก็ยังประหลาดใจ

“ไม่…”

ฮิวโก้ได้มองไปที่แรงค์เกอร์ระดับสูงแต่ล่ะคนภายในห้อง ก่อนที่จะหยุดที่ซอลจีฮู และหลบตาไป

“ฉันจะไปอีวา-!”

ฟีโซราได้ตะโกนออกมาพร้อมกับยกมือขึ้น

“ไม่ได้”

แต่ว่าเธอก็ต้องอ้าปากค้างกับคำปฏิเสธอันหนักแน่นของจางมัลดง

“ทะ ทำไมล่ะ!? ปู่บอกให้เราเป็นคนเลือกนี่!”

“ช่วยไม่ได้แหละนะ เราต้องการให้เธอไปช่วยการฝึก”

ฟีโซราได้หยุดประท้วงและกระพริบตาออกมา

“ปู่ อย่าบอกนะว่า…”

“หยุด ไว้ค่อยคุยทีหลัง แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องการให้เธอช่วย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ฟีโซราก็เงียบลงไป จากสายตาที่เธอเอาแต่จ้องมองซอลจีฮู มันดูเหมือนกับว่าเธอจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการฝึกที่กำลังมาถึงอย่างแน่นอน

จางมัลดงได้เมินสายตาของเธอ และพูดต่อ

“แล้วที่เหลือล่ะ?”

“อืม ฉัน…”

ยี่ซอลอาได้ค่อยๆพูดออกมาพร้อมกลอกตา

“ฉันอยากจะไปอีวา… ฉันอยากจะรู้ว่าที่นั่นเป็นแบบไหน…”

“ไปเลยสิ เธอกับซังจินไม่ได้ออกไปไหนมานานแล้ว”

จางมัลดงได้เห็นด้วยกับเธอทันที จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหายี่ซังจินและถามออกมา

“ซังจิน นายอยากจะมากับเราจริงๆงั้นหรอ? นายจะใช้โอกาสนี้พักผ่อนก็ได้นะ พูดตรงๆคราวนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาไปดูการฝึกของนายมากนัก”

เขาได้บอกตรงๆว่าเขาจะเน้นไปที่การฝึกให้กับซอลจีฮู

“ไม่เป็นไรครับ”

แต่ว่ายี่ซังจินได้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น

“ผมยังมีหน้าที่ที่ต้องย่อยในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้วอีกมากครับ”

จางมัลดงได้หัวเราะออกมา

“โอเค ตามใจนาย”

ขณะที่จางมัลดงกำลังบอกให้พวกเขาเริ่มเก็บของ-

“คืออาจารย์จาง”

ซอยูฮุยได้พูดออกมาเบาๆ

“อาจารย์จางคิดจะไปที่อื่นนอกจากภูเขาหินยักษ์หรือเปล่าคะ?”

คำขอที่คาดไม่ถึงได้ทำให้จางมัลดงต้องตกใจ

“แน่นอนว่าภูเขาหินยักษ์ก็เป็นที่ที่ดีค่ะ…”

“คุณมีสถานที่ในใจหรือเปล่าล่ะคุณซอยูฮุย?”

“ค่ะ มันก็ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย แต่วว่าเป็นที่ที่ใกล้กับอีวาที่ฉันจะไปสวดภาวนาเป็นบางครั้ง”

จางมัลดงได้เบิกตากว้างขึ้นมา

มันไม่ได้มีกฎให้ต้องไปภาวนาในวิหาร

ตราบใดที่สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยพลังงานก็สามารถจะทำการภาวนาได้ทุกเมื่อ

แต่ปกติแล้วจะมีแค่นักบวชเท่านั้นที่รู้จักสถานที่แบบนี้

ซอยูฮุยตั้งใจที่จะเผยถึงสถานที่ลับแบบนั้นออกมา

“จะไม่เป็นไรหรอกหรอ? หากว่าไม่ได้อยู่ที่วิหาร พลังงานก็เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด…”

“แน่นอนว่าไม่เป็นไรค่ะ”

ซอยูฮุยได้ปรบมือเข้าด้วยกัน และยิ้มสดใสออกมา

“มันจะมีประโยชน์กับการฝึกเป็นอย่างมากเหมือนกันค่ะ”

***

พระราชวังฮารามาร์ค

“พ่อ”

เทเรซ่าได้เรียกกษัตริย์ด้วยความเป็นกังวล

“ผู้ดูแลราชวงศ์อีวาออกไปแล้ว”

“อืม”

ฟีไฮได้พยักหน้าออกมาพร้อมกับยกแก้วชาขึ้น

“ท่านพ่อจะนั่งนิ่งๆจริงๆงั้นหรอ?”

“หืม”

ฟีไฮที่กำลังลิ้มรสชาได้ตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว

“ท่านพ่อ?”

“ชานี่มันเยี่ยมยอดไปเลย ฟุฟุ…”

เทเรซ่าได้จ้องไปที่ฟีไฮก่อนที่จะยกนิ้วขึ้นพร้อมกับ “อ๊ากกก”

ฟีไฮได้ร้องลั่นออกมา

“ให้ตายสิ นี่ท่านพ่อกำลังคิดอะไรอยู่…”

วีรบุรุษสงครามของฮารามาร์คกำลังจะไปเมืองอื่น เทเรซ่าที่ไม่เข้าใจว่าพ่อของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ได้แต่มุ่งหน้าไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยม

จากเรื่องคราวก่อนที่แยกกันยังคงกวนใจเธออยู่เสมอมา เธออยากจะไปขอโทษและฟังสิ่งที่ซอลจีฮูจะพูด

หลังจากมาถึงสำนักงานแล้ว เทเรซ่าได้หยุดสูดหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป

หลังจากกระแอ่มขึ้นมา เธอก็เคาะประตูทางเข้า

“ฉันมาแล้ว”

ยังไงก็ตามไม่มีเสียงตอบกลับมา

“สวัสดี?”

เธอได้เคาะประตูอีกครั้งหนึ่ง

เทเรซ่าได้เอียงหัวออกมาและแนบหูเข้ากับกำแพง

สำนักงานเงียบสนิท เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด

‘ไม่มีทาง’

ดวงตาเทเรซ่าได้เบิกกว้างขึ้นมาพร้อมทั้งจิตใจที่สั่นไหวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ซอล! ซอล!”

ตึง ตึง ตึง

แม้ว่าเธอจะทุบประตูอย่างบ้าคลั่งก็ไม่มีใครตอบกลับมา

‘ไม่’

เทเรซ่าได้รีบวิ่งลงไปบันไดไปด้วยความตกใจ

“ซอล! ซอลลลล!”

เธอได้เรียกชื่อคนที่เธอคิดถึง พร้อมกับวิ่งอย่างบ้าคลั่ง

เธอได้ไปที่ประตูทางทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือตามลำดับ แต่ว่าเธอก็ไม่เห็นร่องรอยของซอลจีฮูเลย

เธอกระทั่งไปดูที่คอกม้า และก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ สมาชิกทุกๆคนของคาเพเดี่ยมได้ออกเดินทางไปอีวาแล้ว

เมื่อเทเรซ่าได้ยินข่าวนี้ เธอก็แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น และต้องฝืนเดินโซเซออกไปจากคอกม้า

‘เขา… ไปแล้วจริงๆ? โดยไม่บอกอะไรเลย?’

เธอคิดว่าอย่างน้อยเขาจะมาหาเธอสักครั้งก่อนที่จะไป

‘ไม่ใช่ว่านายบอกว่าจะมาโน้มน้าวฉันหรอกหรอ!?’

เทเรซ่าไม่พอใจซอลจีฮูพร้อมทั้งโทษตัวเธอเองเช่นเดียวกัน

ย้อนไปตอนนั้นฉันไม่ควรปล่อยเอาไว้เลย นั่นมันคงจะทำให้เขาเสียใจแน่ๆ ฉันไม่ควรจะทำแบบนั้นเลย

เธอได้เดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมายพร้อมกับพึมพำกับตัวเองไปด้วย

ในท้ายที่สุดเธอก็ได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าสำนักงานคาเพเดี่ยมอีกครั้งหนึ่ง

‘เขา… จากไปแล้ว…’

เทเรซ่าได้มองไปรอบๆด้วยดวงตาที่เปียกชื้น

จากนั้นเอง เธอก็เหลือบมองไปเห็นกระดาษที่มุมๆหนึ่ง

ลมคงจะปัดมันหลุดออกมาจากประตูอย่างแน่นอน

เธอได้รีบเข้าไปหยิบอย่างสับสน และได้เห็นข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ในกระดาษ-

-พวกเรากำลังจะไปฝึก! ถ้ามีอะไรก็ใช้คริสตัลสื่อสารคติดต่อเราได้เลย! ?

“…”

เทเรซ่าได้หยุดหายใจพร้อมกับใบหน้าที่ค่อยๆแข็งขึ้นมา

ตุ๊บ

เธอได้ทิ้งตัวลงไปบนพื้น

“นาย…!”

ยิ่งได้เห็น ‘:D’ ก็ยิ่งทำให้เธอโกรธขึ้นอีก

หลังจากสะอื้นอยู่สักพัก…

“ฉันขอให้ระหว่างการฝึกนายแหลกสลายไปเลย!”

เทเรซ่าได้หลับตาแน่น และตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ

***

ซอลจีฮูที่ตื่นเต้นกับการจะได้ฝึกจนลืมเรื่องเทเรซ่าไปหมดได้นำสมาชิกคาเพเดี่ยมเดินทางไปที่อีวา

ที่นั่นเขาได้ยแกทางกับคิมฮันนาห์ โชฮง ยี่ซอลอา และมาแชล จิโอเนียก่อนที่จะเดินทางต่อทันที

ซอลจีฮูรู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว

ความตื่นเต้นส่วนหนึ่งมาจากการได้ฝึกในที่ใหม่ แต่เหตุผลสำคัญที่สุขก็คือการที่ในที่สุดเขาก็ได้ฝึกแล้วหลังจากที่ต้องรอมานาน

“อีวาเป็นเมืองที่สร้างขึ้นที่เชิงภูเขาใหญ่ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าภูเขาเพลเอี่ยม หากว่าผ่านภูเขาไฟนั่น…”

ขณะที่ซอยูฮุยกำลังอธิบาย ทั้งกลุ่มก็ได้ผ่านภูเขาที่สูงเชิดฟ้าไป และหลังจากนั้นสักพัก พวกเขาก็ได้เห็นสันเขาที่กระจายตามที่ราบกว้างใหญ่

หลังลงจากรถม้าแล้ว ซอยูฮุยก็ได้นำทางทั้งทีมเข้าไปในหุบเขา

ภูมิประเทศไม่ได้มีความขรุขระเหมือนกับที่ภูเขาหินยักษ์ แต่ว่าความลึกของมันเทียบกันไม่ติดเลยสักนิด

หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง… หลังจากเดินตามซอยูฮุยเดินลึกเข้าไปในหุบเขา ในที่สุดทั้งกลุ่มก็ได้มาถึงจุดหมายและต้องพูดไม่ออก

ภาพตรงหน้าได้แสดงให้เห็นถึงความลงตัวกันของธรรมชาติ และไม่มีร่องรอยของมนุษย์ให้เห็นเลยแม้แต่นิด

แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้อยู่บนยอดเขา แต่หมอกสีขาวอันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ กระแสน้ำใสที่ไหลลงมา และต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้สุกมากมายอัดแน่นไปหมด มันดูเหมือนกับว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์สำหรับเหล่านักปราชญ์อย่างแท้จริง

“เหลือเชื่อ!”

จางมัลดงได้อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ

ซอลจีฮูได้สูดหายใจเข้า และไม่อาจจะซ่อนความตกตะลึงเอาไว้ได้เลย

“น่าทึ่ง! การฝึกที่นี่จะต้องได้ผลดีกว่าการฝึกที่ภูเขาหินยักษ์หลายเท่าแน่ๆ ด้วยพลังงานชีวิตที่มีตามชั้นบรรยากาศ การฟื้นฟูของการนอนหลับก็น่าจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ฉันจะได้ฝึกเขาได้อย่างเต็มที่ไปเลย!”

ช่วงท้ายมีส่วนที่ทำให้ซอลจีฮูต้องกังวลอยู่สักหน่อย แต่ว่าเขาก็ยังคงแน่วแน่ นี่มันคือสิ่งที่เขาหวังเอาไว้นานแล้ว

‘อืม.. มันหนาวอยู่หน่อยนะ’

ซอลจีฮูได้ตัวสั่นอยู่เล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกับมีน้ำแข็งเกาะอยู่บนตัว

แต่ว่าต่อจากนั้นเขาก็แค่หัวเราะออกมากับจินตนาการของเขาที่มากเกินไปของเขา