ตอนที่ 237

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 237 – คู่หูนักต้มตุ๋น

เขาได้เฝ้ารออย่างเหม่อลอยอยู่ประมาณ 20 นาที

[ฮึ่ม เจ้าพวกหน้ามึนพวกนั้น]

ในที่สุดโฟลนก็ออกมา… พร้อมทั้งกำลังสะบัดเลือดในมือ

“เรียบร้อยนะ?”

[เรียบร้อยแล้ว ถึงจะมีปัญหาหน่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรมากหรอก]

ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป

ลองจินตนาการคำว่า ‘ไม่มีอะไรมาก’ ของโฟลนมันน่าจะเกิดขึ้นใหญ่ขนาดไหนกันนะ?

[เดิมทีแล้วฉันกะว่าจะจัดการพวกนั้นให้หมดโดยไม่เหลือไว้เลย แต่ว่าเจ้าพวกนั้นก็เอาแต่คร่ำครวญถึงสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ได้ เพราะงั้นฉันก็เลยทำสัตย์สาบานวิญญาณกับเจ้าพวกนั้น แล้วก็นับจากนี้เจ้าพวกนั้นก็ตัดสินใจที่จะรับใช้ฉัน]

ไม่ว่าจะสัตย์สาบานวิญญาณหรือข้อตกลงอะไรต่างก็เป็นสิ่งที่ซอลจีฮูสงสัย แต่ว่าเขาก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป

…นี่เพราะว่าหากเขาถามออกไปมันจะทำให้เขาต้องเจ็บปวด

โฟลนได้ยิ้มและพึมพำออกมาอีกครั้งหนึ่ง

[ปัญหามันอยู่ที่ฉันเป็นคนใจอ่อนนี่แหละ]

หากว่ากลุ่มวิญญาณที่ในตอนนี้กำลังกอดคร่ำครวญกันอยู่มาได้ยินเข้า พวกมันก็คงจะน้ำลายฟูมปากหมดสติไปแน่ๆ

ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ได้เดินออกไปโดยพูดกับตัวเองซ้ำๆว่า ‘ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’

“เป็นยังไงบ้างล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้ขยิบตาและถามออกมา เธออาจจะหมายความว่าให้เขาควรจะส่งสัญญาณผลลัพธ์ให้กับเธอ

ซอลจีฮูได้ทำนิ้วสัญญาณอยู่บริเวณจี้ จากนั้นก็พูดออกมา

“ไม่รู้สิ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าบรรยากาศข้างในมันน่าขนลุก… รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย”

“เห็นไหมล่ะ? ฉันก็บอกนายไปแล้ว หยุดเสียเวลาแล้วไปดูที่อื่นกันดีกว่า”

“เฮ้อ จากภายนอกมันก็ดูดีจริบงๆนะ…”

“โอ้ ภายในมันดูน่ากลัวหน่อยๆหรอครับ? นั่นมันก็เพราะไม่ได้มีใครอยู่มานานล่ะมั้ง… ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ปาร์คดงชุนได้รีบพูดแทรกขึ้นมาหลังจากเห็นความลังเลของซอลจีฮู เขายังคงเป็นพ่อค้าอยู่ดีต่อให้เขาจะสงสัยอยู่บ้างก็ตาม

ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสกำจัดพื้นที่ว่างเปล่าที่ใช้งานไม่ได้ออกไปแล้ว เขาจะพลาดโอกาสทองนี้ไปได้ยังไงกันล่ะ

จากที่ดูแล้วดูเหมือนว่าข่าวลือยังกระจายไปไม่ถึงฮารามาร์ค เขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีมาก

ปาร์คดงชุนได้ยิ้มออกมา และถูมือเข้าด้วยกันตามนิสัยติดตัว

“ไม่ใช่ว่าบรรยากาศข้างในมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามการตกแต่งภายในหรอกหรอครับ? ที่นี่ก็แค่ไม่ได้รับการดูแลมานาน หากว่าท่านตกแต่งมันใหม่สักหน่อย ถ้างั้นก็จะยอดไปเลยนะ! ทุกๆอย่างมันจะต่างออกไป ดูสิครับ! แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาก็เยี่ยมไปเลยนะ”

เมื่อปาร์คดงชุนได้เห็นซอลจีฮูลังเลขึ้นมาอีกครั้ง ความหวังของเขาก็ได้พุ่งขึ้นมา

“ตาลุง พอได้แล้ว”

แน่นอนว่าเขารู้ว่าคิมฮันนาห์จะไม่ปล่อยซอลจีฮูไว้แน่

“นายคิดว่าฉันไม่รู้หรอกหรอว่านายกำลังจะโยนขี้มาให้คนอื่น? หยุดเสแสร้งได้แล้วนะ”

“โฮ่ ‘ขี้’ อะไรกัน? ที่ดินทุกวันนี้มันไม่ได้หาได้ง่ายๆนะ ต่อให้เธอจะต้องการ เธอก็ไม่มีทางที่จะหาที่ดินดีๆแบบนี้ได้เลย”

หลังจากกระแอ่มออกมา ปาร์คดงชุนก็หันไปมองซอลจีฮูและยิ้มออกมา

มันชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อาจจะหลอกจิ้งจอกได้ เพราะงั้นเขาจึงต้องมาโน้มน้าวชายหนุ่มตรงหน้าแทน

“หากว่าผมคิดจะหลอกท่าน ผมก็คงไม่บอกความจริงตั้งแต่แรกแล้ว”

หลังจากบอกว่าตัวเขาบริสุทธิ์แล้ว…

“แล้วก็พูดตรงๆเลยนะผมไม่ได้ให้ทุกๆคนมาดูที่ดินตรงนี้ แต่ว่านะ! ใครกันล่ะที่อยู่ตรงหน้าผม? ไม่ใช่ว่าเขาคือวีรบุรุษสงครามที่เอาชนะผู้บัญชาการที่หนึ่งอันน่ากลัวได้หรอกหรอ?”

เขาได้ชมซอลจีฮูออกมาตรงๆจนทำให้ซอลจีฮูรู้สึกเขินขึ้นมา

ปาร์คดงชุนได้แสร้งยิ้มต่อ และพูดต่ออย่างร่าเริง

“ต่อให้มันจะมีอะไรอยู่จริงๆ แต่นั่นก็แค่วิญญาณร้ายตัวเล็กๆเท่านั้นเองนี่นา มันจะมาแตะต้องท่านซอลจีฮูผู้ที่กำลังความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้ยังไงกัน?”

“ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นแค่วิญญาณร้ายไม่กี่ตัว…”

ยิ่งซอลจีฮูเริ่มตัวลอยมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ รอยยิ้มของปาร์คดงชุนก็กว้างยิ่งขึ้นเท่านั้น

ในตอนนี้ถึงเวลาปิดฉากแล้ว

“นั่นแหละ! นี่มันยอดมากเลย ผมมักจะได้เปรียบเสมอในข้อตกลงต่างๆ แต่ว่ากับท่านซอลจีฮูคือข้อยกเว้น เพื่อเป็นการต้อนรับการมาอันยิ่งใหญ่ของท่าน ผมจะขอมอบส่วนลดพิเศษให้ท่านเลย!”

คราวนี้ปาร์คดงชุนได้เล็งเป้าหมายเอาไว้สองอย่าง

อย่างแรกคือการชักจูงให้ซอลจีฮูซื้อที่ดิน พร้อมทั้งแอบใช้คำว่า ‘ต้อนรับ’ เป็นการสอดแนมเป้าหมายในการมาอีวาของพวกเขาอีกด้วย

คิมฮันนาห์ได้มองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่ง

“นี่นายจะบ้าไปแล้วหรอ? นายคิดจะซื้อที่นี่จริงหรอ? นายเป็นคนพูดเองนะว่ามันแปลกๆ!”

“อ๊า ไม่ใช่ว่านั่นมันเพราะที่นี่มันเก่าหรอกหรอ หากว่ามันได้รับการปรับปรุงใหม่ก็น่าจะดีขึ้น แล้วก็ดูที่ตั้งมันสิ! มันไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่าที่นี่อีกแล้ว… ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะขายให้เราในราคาถูกอีกด้วยนะ”

“นายนี่กำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้ว เฮ้ หยุดคิดสักหน่อยเถอะนะ นายไม่รู้จริงๆหรอว่าทำไมที่ดินดีๆแบบนี้ถึงยังไม่ถูกขายไปน่ะ?”

“มันก็อาจจะแค่บังเอิญก็ได้ แล้วก็ฉันน่ะต่างออกไปนะ”

“จีฮู อย่าทำแบบนี้ แล้วไปดูที่อื่นกันสักหน่อยเถอะ เรามาดูที่บ้านนะ แต่นี่เราเพิ่งจะดูได้ที่เดียว แล้วจะซื้อมันทันทีเลยหรอ? ไปดูที่อื่นแล้วค่อยตัดสินใจซื้อมันก็ยังไม่ได้สายไปหรอกนะ?”

“หากว่าฉันไม่ชอบที่ดินนี่ ฉันก็จะเห็นด้วยกับเธอนะ แต่ว่าเราไม่ได้มาดูบ้านไม่ใช่หรอกหรอ? เรามาดูที่ดินกันต่างหาก”

“ซอลจีฮู! นี่นายจะซื้อมันจริงๆงั้นหรอ?”

“พอได้แล้ว ฉันเป็นคนตัดสินใจนะ นี่เธอเป็นหัวหน้าคาเพเดี่ยมงั้นหรอ?”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของซอลจีฮู คิมฮันนาห์ก็ได้แต่ต้องเงียบลงไป

ปาร์คดงชุนรู้สึกสดชื่นขึ้นทันทีที่ได้เห็นจิ้งจอกคิมฮันนาห์ต้องพูดไม่ออก

‘ใช่แล้วล่ะ ดูเหมือนเธอจะต้องขอการคุ้มครองหลังจากถูกเตะออกมาจากซินยอง… หรือก็คือเธอไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร’

“นี่มันเป็นที่ที่เราต้องจ่ายเงินเพื่อใช้ชีวิตอยู่นะ!”

เมื่อได้ยินคิมฮันนาห์ตะโกนออกมาอีกครั้งหนึ่ง ปาร์คดงชุนที่ฟังอยู่เงียบๆก็ขัดขึ้นมา

“อ๊า! นี่มันเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เพราะงั้นฉันไม่อาจจะให้ย้ายเข้ามาก่อนจ่ายเงินได้ เอาเถอะนะ หากว่าเป็นการเช่า ฉันอาจจะลองให้อยู่ฟรีก่อนหากเป็นการเช่าระยะยาว แต่ว่าสำหรับการขายนั้น ช่วยคิดถึงเรื่องจุดยืนของฉันด้วย…”

นี่มันเป็นไปไม่ได้

โฟลนได้จัดการกับเรื่องวุ่นวายข้างในเรียบร้อยไปแล้ว แต่จะให้อยู่ที่นี่แค่สองสามเดือนเป็นการทดลองฟรีงั้นหรอ? หากว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ปาร์คดงชุนจะเปลี่ยนใจ

ไม่ว่าจะยังไงปาร์คดงชุนก็เป็นคนที่มีกรรมสิทธิ์ของที่ดินในปัจจุบัน

“ไม่ว่าจะยังไงฉันก็จะซื้อมัน หากว่าเธอไม่อยากจะยอมรับ ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดต่อแล้ว”

และเพราะแบบนี้ซอลจีฮูจึงตัดสินใจที่จะดื้อรั้น ปาร์คดงชุนได้แอบยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา

“เฮ้ๆ! จีฮู! ก็ได้ เราจะซื้อมันก็ได้!”

ในท้ายที่สุดคิมฮันนาห์ก็ขอร้องซอลจีฮูให้ปล่อยเธอเป็นคนต่อรอง โดยบอกไว้ว่าเธอจะไม่ยอมอ่อนข้อในส่วนนี้แน่

ปาร์คดงชุนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาดุดันของจิ้งจอกมองมาที่ตัวเขา แต่ว่าเขาก็ยังคงกอดอกแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมา

“หืมม… ในเมื่อเราซื้อมันมาตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว เวลาก่อนจะหมดสัญญาก็เลยเหลืออีก 47 ปี… แล้วก็ในเมื่อเราได้ชนะการประมูลโฉลดที่ดินมาได้ในราคา 102 เหรียญทอง..”

เขาได้เว้นช่วงคำพูดเอาไว้

แน่นอนว่ามันก็เพียงพอทำให้ดวงตาคิมฮันนาห์ลุกเป็นไฟขึ้นมา เธอดูเหมือนกับจะกัดลิ้นตายมากกว่าที่จะซื้อที่ดินในราคานั้นซะอีก

ปาร์คดงชุนที่เห็นแบบนี้ได้แต่กระแอ่มออกมา และแกล้งทำเป็นพูดสิ่งที่คิดออกมา

“ดังนั้นพอคำนึงถึงสิ่งนั้นแล้วราคา 92 เหรียญทองก็น่าจะ…”

ฟู่ววว!

เปลงเพลิงในตาของเธอได้ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ปาร์คดงชุนได้รียเปลี่ยนคำพูดทันที

“…เป็นราคาพื้นฐาน ในเมื่อฉันบอกจะลดราคาให้… 75 เหรียญทอง…?”

คิมฮันนาห์ก็ยังไม่ตอบสนอง

ปาร์คดงชุนได้กลืนน้ำลายด้วยความเป็นกังวล มันเหมือนกับว่าเขากำลังมองไปที่สัตว์ร้ายที่จนมุม

โดยทั่วไปแล้วการเจรจาต่อรองจะเป็นขั้นตอนของการประนีประนอมกัน โดยที่ผู้ซื้อจะค่อยๆเพิ่มข้อเสนอ และผู้ขายก็จะค่อยๆลดราคาลงไป

แต่ว่าจะมีคำพูดหนึ่งที่กล่าวกันเอาไว้ในหมู่พ่อค้าที่อยู่ในพาราไดซ์

ในการต่อรองกับจิ้งจอกคุณจะมีโอกาสแค่สามครั้งเท่านั้น หากว่าคุณทำให้เธอพอใจไม่ได้ในสามครั้ง การจู่โจมที่ไร้ปราณีก็จะเริ่มโหมกระหน่ำเข้ามาภายใต้ข้ออ้างที่ว่าการเจรจา

พูดให้ชัดก็คือคิมฮันนาห์จะเริ่มลดราคาลงไปเป็นราคาต่ำที่สุดที่เธอตั้งเอาไว้ มีนักธุรกิจหลายคนที่ต้องเผชิญหน้ากับความลำบากใจเหล่านี้

‘ละ เหลือแค่โอกาสเดียว’

หลังจากที่ต้องลำบากมาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นด้วยความกลัวแม้ว่าซอลจีฮูจะอยู่ตรงนี้ก็ตาม

“อ่า… 60… 58?”

หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็พูดราคาสุดท้ายออกมา

นี่มันแทบจะครึ่งหนึ่งของราคาตั้งต้น

แต่ว่าสีหน้าของคิมฮันนาห์ก็ยังคงเย็นชาเช่นเดิม

“จีฮู”

ทันใดนั้นเธอก็หันหน้ากลับไปเรียกซอลจีฮู

“เอาแบบนี้แล้วกันนะ เรามาจ่ายมัดจำที่ดินเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ไปดูที่อื่นกันต่อ”

ดวงตาของปาร์คดงชุนได้เบิกกว้างขึ้นทันที

‘ยัยนี่’

เจตนาของเธอมันชัดเจนมา

เธอพยายามที่จะลดความเสียหายให้น้อยที่สุดด้วยการจ่ายแค่เงินมัดจำพร้อมทั้งใช้เวลาที่เหลือชักจูงซอลจีฮูไปด้วย

“นี่มันไม่ใช่จำนวนน้อยๆนะ องค์กรอื่นๆอาจจะมีที่ดินที่ดีกว่าก็ได้ เรามาลองดูกันอีกสักวันหน่อยไหม?”

เธอพูดถูก เพราะงั้นซอลจีฮูจึงเม้มปากออกมา

เขาดูจะไม่เต็มใจ แต่ว่าเมื่อได้ยินว่าองค์กรอื่นอาจจะมีที่ดินที่ดีกว่า เขาก็ถูกชักจูงไปแล้ว

“ถ้าแบบนั้นก็ได้”

ความคิดปาร์คดงชุนได้แล่นขึ้นทันที ไม่มีโอกาสอีกแล้ว เขาเหลือแค่ซอลจีฮูเท่านั้น

‘ไม่มีใครในอีวาจะซื้อที่ดินนี้อีกแล้ว!’

ในท้ายที่สุดเขาก็หลับตาลงและตะโกนออกมา

“หากว่าท่านเซ็นต์สัญญาตอนนี้ ถ้างั้นก็แค่ 29 เหรียญทอง!”

ราคาได้ลดลงไปกว่าครึ่งอีกครั้งหนึ่ง นี่มันเป็นการลดราคาลงไปอย่างมหาศาล มันมากจนถึงขนาดที่คิมฮันนาห์ก็ยังต้องตกใจ

“ยะ ยี่สิบเก้าเหรียญทอง? จริงหรอ?”

ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา

“ผมบอกไปแล้วไงครับว่าผมจะลดราคาให้”

ปาร์คดงชุนได้พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงใจ

“ผมคือปาร์คดงชุน ในฐานะพ่อค้าแล้ว ผมรักษาสัญญาเสมอ นี้เป็นกฎเหล็กของผม และเป็นความเชื่อมันของพ่อค้าดงชุน!”

เขาได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจเหมือนกับเป็นคนทรงคุณธรรม

ซอลจีฮูถึงขนาดแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา

“ไม่ นี่มันน้อยเกินไป…”

“อ๊า ไม่น้อยหรอก จะยังไงเหตุผลที่ผมยังไม่ตาย และยังทำธุรกิจต่อไปได้ก็เพราะท่านซอลจีฮู ดังนั้นแล้วขาดทุนสักหน่อยจะเป็นอะไรไป? กลับกันการได้ตอบแทนท่านทำให้ผมสบายใจกว่ามาก”

เมื่อได้ยิมแบบนี้ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมา

“เยี่ยม ฉันจะซื้อมัน!”

“อย่างที่คิดเลย! ท่านเป็นชายที่สุดอย่างจริงๆ”

ปาร์คดงชุนได้รีบพาพวกเขากลับไปที่สำนักงานพ่อค้าดงชุนทันที และเริ่มเร่งให้พวกเขาเซ็นต์สัญญา

ทุกๆอย่างได้เป็นไปอย่างรวดเร็ว… จนกระทั่งคิมฮันนาห์ที่นั่งอยู่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา

“นี่มันอะไรกันตาลุง? นายบอกว่าจะขายให้เราในราคา 29 เหรียญทอง แล้วทำไมในสัญญาเขียนเอาไว้ว่า 75 เหรียญทองล่ะ?”

“เฮ้ เธอต้องคิดถึงจุดยืนฉันด้วยนะ ฉันไม่อยากจะให้มีข่าวลือที่ว่าฉันขายที่ดินออกไปในราคาถูก… เธอแค่ให้ฉันแค่ 29 เหรียญทองก็พอแล้ว!”

“นายรู้ไหมว่านี่เป็นการปลอมแปลงเอกสารนะ?”

“ปลอมแปลงเอกสารอะไรกัน?”

ปาร์คดงชุนได้แค่นเสียงออกมา

มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังหาผู้สมรู้ร่วมคิด แต่อีกฝ่ายดูจะไม่เอาด้วยกับเขา

“ถ้างั้นเอาแบบนี้แล้วกัน โอ้! ฉันเพิ่งจะเจอเหรียญทองตกอยู่ บางทีอาจจะเป็นของท่านซอลจีฮูก็ได้นะ”

ปาร์คดงชุนได้หยิบเหรียญทองออกมา 46 เหรียญและส่งมันให้กับซอลจีฮู

“อ่า จริงสิ ฉันก็กำลังคิดอยู่เลยว่าเอาเงินไปไว้ไหน”

ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา และเพิ่มเงินเข้าไปอีก 29 เหรียญทองก่อนจะส่งมันคืนให้ปาร์คดงชุน

และหลังจากเซ็นต์สัญญากันแล้ว เอกสารเจ้าของก็ตกลงสู่มือของซอลจีฮู

“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วยกันครับ! เดินทางปลอดภัยนะครับ!”

ปาร์คดงชุนได้ยิ้มเจิดจ้าก่อนจะกล่าวลา

การได้เอาขยะไร้ค่าไปทิ้งได้เป็นอะไรที่น่าโล่งใจที่สุดสำหรับเขาแล้ว

แถมในเมื่อเขายังพอได้เงินคืนกลับมาบ้างด้วยจะไม่ให้เขาดีใจได้ยังไงกันล่ะ?

แน่นอนพูดตรงๆเขาก็ขาดทุนไปอย่างมาก แต่ว่าราคาตลอดของสิ่งต่างๆก็มักจะผันผวนไปตามมูลค่าของมันเสมอ

เดิมทีแล้วเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เงินกำจัดที่นั่นอย่างที่คิมฮันนาห์พูดด้วยซ้ำไป แต่ว่าการได้ขายมันออกไปจึงเป็นโชคลาภที่คาดไม่ถึงจริงๆ

เพราะงั้นการได้เงินคืนมา 29 เหรียญทองจึงเป็นอะไรที่เขาพอใจมากแล้ว

‘ฟุฟุฟุ ฉันส่งโฉลดไปแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก’

‘อ่า ไม่ใช่ของฉันแล้วว~’

หลังจากทั้งสองคนออกไปแล้ว ปาร์คดงชุนก็ไม่อาจจะอดกลั้นความสุขไว้ได้ และลุกขึ้นมาเต้นระบำ

***

ในเวลาเดียวกัน

ซอลจีฮู คิมฮันนาห์ และโฟลนที่พึ่งจะออกมาจากสำนักงานพ่อค้าดงชุน…

“คิคิคิคิคิ-!”

“ฮิฮิฮิฮิฮิ-!”

[ฟุฟุฟุฟุ-!]

ในทันทีที่พวกเขาออกมาพ้นประตู ทั้งสามคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมๆกันราวกับตกลงกันไว้แล้ว

“ทำไมทั้งสองคนถึงหัวเราะ- ฟุฮ่าฮ่าฮ่า!?”

“หัวเราะอะไรกัน- ฮ่าฮ่าฮ่า!?”

[หยุดหัวเราะนะ- เฮะๆๆ!]

ทั้งสามคนได้ระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิมฮันนาห์ได้หัวเราะหนักมากจนคนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมามองด้วยสีหน้าแปลกๆ

“ฉันไม่รู้เลยว่าเรามีสิทธิ์จะทำแบบนี้ไหม”

ซอลจีฮูฝืนหยุดหัวเราะก่อนที่จะขึ้นไปบนรถม้า และพูดออกมา

“มีปัญหาอะไรล่ะ? ถ้าทั้งสองฝ่ายพอใจก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

คิมฮันนาห์ได้เช็ดน้ำตาออกไป และพูดออกมาอย่างสงบ จริงๆแล้วการมีบ้านนั้นมีความหมายมากในพาราไดซ์

เหมือนอย่างที่ซอลจีฮูเคยมีประสบการณ์มาก่อนในเขตพื้นที่เป็นกลาง นั่นเพราะ ‘การนอน’

หากว่าการนอนเฉยๆ ถ้างั้นคนเราก็สามารถที่จะเดินทางไปกลับพาราไดซ์ได้ต่อให้จะยุ่งยากหน่อยก็ตาม

ยังไงก็ตามการนอนในพาราไดซ์มีความแตกต่างไปจากบนโลกอย่างมาก

เหมือนอย่างที่ตัวละครจะฟื้นฟูพลังงานกลับมาเต็มหลังจากที่นอนหลับไปในเกม RPG พาราไดซ์ก็ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูพลังงานจากแค่การนอนเช่นเดียวกัน

และเป็นธรรมดาว่ายิ่งสภาพแวดล้อมดีเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลมากขึ้นเท่านั้น

ในทางกลับกันห่างว่านอนด้านนอกก็จะได้รับผลเสีย

หรือก็คือนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวเลือกเลือกนอนโรงแรมหรือตั้งแคมป์นอนในระหว่างปฏิบัติการอยู่เสมอ

ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ก็ทำให้บางคนพยายามซื้อมันเป็นของตัวเอง แต่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่อาจจะฝันเรื่องการมีบ้านได้เนื่่องจากว่าราคาที่สูงขึ้นจากการผูกขาดขององค์กร

จากการได้ประหยัดไปกว่า 70 เหรียญทอง คิมฮันนาห์ไม่อาจจะลบรอยยิ้มไปจากใบหน้าได้เลย และนี่ก็นับเป็นหนึ่งใน 3 สิ่งยอดเยี่ยมในชีวิตของเธอที่พาราไดซ์

ระหว่างทางกลับคิมฮันนาห์ก็ได้ขอบางอย่างแปลกๆออกมา

“เฮ้! เรื่องการออกแบบกับก่อสร้างให้ฉันจัดการได้ไหม? ทุกๆอย่างรวดไปถึงการตกแต่งภายในด้วย”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าอย่างเต็มใจเนื่องจากว่าเขาไม่มีใครให้จัดการด้านนี้อีกแล้ว

“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอ แต่ว่าเธอรู้เรื่องการออกแบบอาคารด้วยหรอ?”

“ฉันขอก็เพราะฉันรู้ไง ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่ว่าฉันก็จบสถาปัตยกรรมมาจากมหาวิทยาลัยยอนจูนะ นายก็รู้ใช้ไหมว่าที่นั่นเป็นมหาลัยที่มีชื่อเสียงในเรื่องหลักสูตรที่ยาก”

ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา

“ยอนจูมหาลัยที่ติด 20 อันดับมหาลัยของโลกน่ะหรอ!?”

“ถึงจะเป็นแค่อันดับ 3 ของประเทศก็เถอะนะ ยังไงก็ให้ฉันจัดการเอง งบประมาณของเราก็มีเหลือกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก- ฮ่าฮ่า!”

เนื่องจากว่าต้นทุนในการซื้อที่ดินลดลงไป จึงทำให้ต้นทุนสำหรับการก่อสร้างเหลืออยู่อีกมากมาย

“ได้เลยๆ ทำตามใจเธอไปเลย ยังไงเธอก็คงเก่งในด้านนี้อยู่แล้ว สาขาสถาปัตยกรรมของยอนจูก็ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ”

“ก็นะ ครอบครัวของฉันค่อนข้างจะเคร่งเรื่องวิชาการ พ่อแม่กับน้องสาวของฉันก็เป็นศิษย์เก่ายอนจูเเหมือนกัน”

“อ่อ แบบนี้นี่เอง…”

“แต่ก็นะ นายก็จบมาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโซยัง มหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศ… อ่า เมื่อปีที่แล้วมหาวิทยาลัยเฮซอได้อันดับ 1 ไปหรือเปล่านะ?”

“ก็ใช่แหละ มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ สาขาฟิสิกส์ ชีวะ แล้วก็เคมีของที่นั่นดีเกินไปแล้ว”

[ฉันด้วยๆ! ฉันจบมาจากโรงเรียนราชวงศ์นะ!]

โฟลนก็ยังเข้ามาพูดด้วย และเพราะงั้นทั้งสามคนก็ได้พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเพื่อเฉลิมฉลองในความสำเร็จของการต้มตุ๋น

***

เมื่อกลับมาถึงฮารามาร์ค ซอลจีฮูก็ได้ติดต่อไปหาซอกกูนีร์ในทันที

-คุณประสบความสำเร็จในการซื้อที่ดินแล้ว… ภาระใหญ่ได้ถูกจัดการไปแล้ว

“ผมคิดว่าผมก็น่าจะจัดการเรื่องนักบวชได้แล้วเหมือนกัน

-นั่นก็ดีเลย ดีมาก การหาที่ดินคืออุปสรรคใหญ่สุดแล้ว สำหรับนักบวชแค่สัญญาจ้างชั่วคราวก็ไม่น่ากังวลอะไร

“ถูกแล้วครับ ไว้เดี๋ยวผมจะติดต่อไปอีกนะครับ”

-ได้เลย คุณแค่ต้องเตรียมเอกสารในตอนมาลงทะเบียนเท่านั้น ขั้นตอนที่เหลือเดี๋ยวผมใช้อำนาจจัดการให้เอง

เมื่ออัพเดทสถานการณ์กับซอกกูนีร์เรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังติดต่อไปหาซันเหอกับคาซุกิอีกด้วย

ฮ่าวอวิ่นได้เตรียมการย้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าคาซุกิดูเหมือนจะมีปัญหาในการหาที่ดินเหมาะๆ

หลังจากได้รับเงินไปแล้ว คาซุกิได้พยายามสร้างทีมขึ้นมาใหม่ และมองหาที่อยู่ แต่ว่าดูเหมือนว่าสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นจะยังคงเข้ามาแทรกแซงอยู่

เมื่อซอลจีฮูได้บอกว่าจะให้ห้องกับคาซุกิหากว่าเขาหาไม่ได้ คาซุกิก็ได้หัวเราะออกมาและบอกว่าจะเก็บไว้คิดดู

หลังจากติดต่อกับพวกเขาเสร็จแล้ว ในที่สุดซอลจีฮูก็บอกกับเพื่อนร่วมทีมว่าการตัดสินใจย้ายของพวกเขาได้สิ้นสุดลงไปแล้ว

สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่การก่อสร้างกับลงทะเบียนเป็นองค์กรเท่านั้น

คิมฮันนาห์ได้แสดงถึงความกระตือรือร้นในการก่อสร้างสำนักงานใหม่แทบจะในทันที

ซอลจีฮูได้แอบมองดูเธอ แต่ว่าพิมพ์เขียวที่เธอทำมันทั้งซับซ้อนและเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด

ที่สำคัญไปกว่านั้นคิมฮันนาห์ได้อดกินหรือดื่มอยู่หลายวันเพื่อทำพิมพ์เขียวให้เสร็จ

“ใครมันกล้าทิ้งฉันไป? ก็ได้ ฉันจะแสดงให้ดูเอง ฉันจะแสดงให้ดูว่าฉันมีชีวิตดีแค่ไหน… ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาได้ยินเสียงพึมพำจากเธอเป็นระยะๆ บรรยากาศน่าขนลุกก็จะลอยออกมาจากห้องของเธอ

แน่นอนว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจทุกๆอย่างเกี่ยวกับสำนักงานพวกเขา

สมาชิกทีมที่เหลือต่างก็แสดงความสนใจในการออกแบบสำนักงานใหม่ และพวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็บอกสิ่งที่ต้องการออกไป

ตัวอย่างเช่นในกรณีของซอลจีฮู

“ฉันได้ยินมาว่ามันมีชั้นใต้ยินอยู่ด้วย ถ้าใช้ที่นั่นเป็นสนามฝึกซ้อมได้ก็จะเยี่ยมไปเลยนะ…”

เขาอยากที่จะเปลี่ยนชั้นใต้ดินให้กลายเป็นที่ฝึก

“ผมก็อยากจะได้ที่ฝึกไว้ยิงธนู อย่างระยะยิงด้วย”

มาแชล จิโอเนียก็ยังแสดงความเห็นออกมา

“ทำบาร์ที่ชั้นหนึ่งดีไหมล่ะ? ถ้าแบบนั้นเราจะได้ไม่ต้องไปบาร์ไง นั่นมันฟังดูเจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ?”

“มีห้องหมักไวน์ด้วยก็เยี่ยมไปเลยนะ!”

โชฮงกับฮิวโก้ก็ยังแสดงความต้องการส่วนตัวออกมา

[ฉันอยากได้ที่ส่วนตัวของฉันด้วย]

โฟลนก็ยังบอกคำขอออกมาอย่างคาดไม่ถึง

[พอได้ยินเรื่องราวของเด็กๆ ฉันก็รู้สึกสงสารพวกเขาเหมือนกัน ถึงจะเป็นมุมเล็กๆก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะงั้นเป็นที่สำหรับอนุสรณ์ก็ดีเหมือนกัน นั่นจะทำให้ฉันจัดการพวกเขาได้ง่ายเหมือนกัน]

ในตอนท้ายดูเหมือนกับเธอจะเผลอหลุดความตั้งใจจริงออกมา แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ได้ยอมรับในคำขอของเธออย่างเต็มใจ

แน่นอนว่าสำรหับคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไร แต่อยากจะได้สิ่งที่ต้องการ เธอก็ได้ยื่นมือออกมา

“ส่งเงินมา”

หากว่าพวกเขาอยากจะได้พื้นที่พิเศษเพื่อตัวเอง พวกเขาจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม

สมาชิกแต่ล่ะคนต่างก็แย่งกันจ่ายเงินกันออกไป สุดท้ายแล้วยังไงมูลค่าที่มากสุดก็แค่เหรียญทองเหรียญเดียวเท่านั้นเอง

ซอยูฮุยก็ยังยืนมองดูทุกๆคนอยู่ไกลออกไป

“พี่สาวอยากจะได้อะไรไหม?”

เมื่อซอลจีฮูหลอกถามเธอออกมา เธอก็ใช้นิ้วแตะคาง และคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“หืมม… ก็คือ ฉันอยากจะได้ห้องอาหารที่เชื่อมกับห้องครัว ฉันอยากได้ห้องครัวหลายๆห้องเหมือนกัน”

“คิมฮันนาห์! ทำห้องครัวกับห้องอาหารติดกันให้มันยิ่งใหญ่ที่สุดเลยนะ!”

“แล้วก็ถ้ามีแปลงดอกไม้ด้วยก็ดีนะ ฉันชอบทำสวนเป็นงานอธิบาย แล้วก็จะได้ปลูกดอกไม้ที่ช่วยให้นอนหลับ แล้วก็ใบชา…”

“เอาทุกๆอย่างที่ออกแบบไว้ในสวนออกไป แล้วก็ทำให้มันเป็นทุ่งดอกไม้”

“นายว่ายังไงนะไอ้เวรนี่?”

“มะ ไม่ต้องหรอกจีฮู ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้…”

หลังจากได้ความคิดเห็นเสริมเข้ามามากมายพิมพ์เขียวก็ได้กลายเป็นเสร็จสมบูรณ์

คิมฮันาห์ได้บอกว่าเธอจะซื้อผืนผ้าใบที่กว้างที่สุดเพื่อที่จะได้สร้างสำนักงานที่ดีที่สุด

เมื่อได้เห็นคิมฮันนาห์ประกาศออกมาอย่างทะเยอทะยาน ในที่สุดซอลจีฮูก็รู้สึกว่าการย้ายไปที่อีวาที่ซึ่งดูเหมือนจะยายนานใกล้จะเป็นจริงแล้ว

ในตอนนี้พวกเขากำลังจะออกไปจากฮารามาร์คจริงๆแล้ว

พวกเขาได้ยุ่งอยู่กับการย้ายสำนักงานจนลืมเรื่องของปรสิตไปสนิทเลย

นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่รู้ พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่า…

…มีแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่มาจากจักรวรรดิที่ซึ่งบ่งบอกถึงการกำเนิดของเทพองค์ใหม่

***

“พูดตามตรงฉันไม่เข้าใจเหตุผลที่ท่านเรียกฉันมาเลย”

น้ำเสียงนิ่งเฉยได้ดังกังวาลไปทั่วทั้งวัง

ราชินีปรสิตยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างเคย และน่าแปลกที่ฝ่ายตรงหน้าที่อยู่ตรงหน้าเธอกำลังยืนอยู่

แม้กระทั่งความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็จะต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าราชินี เพราะงั้นใครกันที่กล้ายืนกอดอกอยู่ต่อหน้าราชินี?

“หากว่าเราโจมตีต่อไปอีกหน่อย เราก็จะยึดอาณาจักรจิตวิญญาณได้แล้ว ทำไมท่านถึง…”

แถมยังถึงขนาดแสดงความเห็นต่อคำสั่งของราชินีอย่างไม่ลังเล

[ฉันก็คิดว่ามันน่าเสียใจเช่นเดียวกัน]

แต่ว่าสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือท่าทีของราชินี

[แต่ว่ามันก็ช่วยไม่ได้ ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้ถอยออกจากแนวหน้า และความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็ถูกกำจัดไปแล้ว ฉันจำเป็นจะต้องเติมช่องว่างนั้น]

“ฉันก็ได้ยินมาคร่าวๆถึงการตายของหัวหน้าแวมไพร์แล้ว แต่ว่า…”

ตัวตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าราชินีได้ส่ายหัวออกมา

“แต่ไม่ว่าจะมองดูยังไง ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านถึงได้ส่งความอดทนอันบ้าคลั่งไปแทนฉัน หรือว่าท่านไม่ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างจิตวิญญาณกับสัตว์โบราณ-?”

[เธอไม่ต้องห่วงหรอก]

ราชินีปรสิตได้โบกมือออกมาและยิ้มบางๆ มันเหมือนกับว่าเธอกำลังคุยกับเพื่อนสนิทอยู่

[ถึงแม้ว่าจะมีบางช่วงที่เขาต้องลำบาก แต่ความอดทนอันบ้าคลั่งก็ได้สวามิภักดิ์ไปแล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นกองทัพของเขาก็ใหญ่มากจริงๆ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงว่าเขาจะทำเสียเรื่องหรอกนะ กลับกันเขาเป็นคนที่เหมาะที่สุดในสถานการณ์นี้แล้ว]

“หากว่าเขาไม่อาจจะกินอาหารที่เตรียมเอาไว้เสร็จสรรพแล้วได้ ถ้างั้นก็เท่ากับเขาได้พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่เหมาะกับการเป็นผู้บัญชาการ”

ตัวตนอันน่าภาคภูมิใจได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ และพูดต่อ

“ถ้างั้นเหตุผลที่ท่านเรียกฉันกลับมาก็คือ…”

[พายุใหญ่กำลังใกล้จะไปถึงอีวาในไม่ช้า]

ทันใดนั้นน้ำเสียงของราชินีปรสิตก็ได้กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา