ตอนที่ 236

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 236 – ธาตุแท้ของโฟลน

หัวหน้าได้ร้องออกมาทันที

“ทะ ทะ ทำไมคุณถึงมาที่นี้…? โอ้ ผมล้างมือจากวงการนั้นแล้วนะ! หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมได้ล้างมือกับทุกๆเรื่อง แล้วก็ไม่ได้เข้าไปใกล้สหพันธรัฐเลยแม้แต่นิด…!”

“…เขาพูดบ้าอะไรเนี้ย?”

ชายตรงหน้าได้ทำตัวอ่อนน้อมขึ้นมาทันที เขาได้โค้งตัว และสารภาพออกมาแม้ว่าจะไม่มีใครถามก็ตาม

คิมฮันนาห์ได้เหลือบมามองซอลจีฮูพร้อมทั้งเดินไปหาชายพุงพลุ้ยตรงหน้า

“นายรู้จักหมอนี่หรอ?”

“ก็นิดหน่อย”

“น่าสนใจ”

คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นราวกับว่านี่เป็นเรื่องเล็กๆ และนั่งลงไปบนเก้าอี้

“หยุดทำตัวขายหน้าได้แล้ว นั่งลงเถอะ นายกำลังทำให้ฉันจะบ้านะ”

แม้ว่าคิมฮันนาห์จะพูดแบบนี้ แต่ชายพุงพลุ้ยตรงหน้าก็ไม่อาจจะละสายตาไปจากชายที่กำลังเดินเข้ามาได้ และเพียงเมื่อซอลจีฮูนั่งลงไปเท่านั้น เขาถึงจะตั้งสติกลับมาได้

“นายยังไม่ตายสินะ”

ขณะที่ซอลจีฮูพูดขึ้น เขาก็ได้ตอบกลับมา “อ่า ใช่แล้ว ใช่เลย” ก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงไป

“ในตอนนั้นผมตกใจมากๆเลย ผมพยายามที่จะนอนหลังจากวิ่งมาทั้งวัน แต่ว่าพวกคนที่หลับไปก่อนจู่ๆก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว… อ่า!”

เขาได้ตัวสั่นขึ้นมาราวกับแค่นึกถึงก็ทำให้เขาหวาดกลัวแล้ว ไขมันทั้งร่างของเขาได้สั่นกระเพื่อมพร้อมๆกับดวงตาที่ดูไม่สบายใจของเขา

“ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็แปลกมาก การที่เห็นคนที่สบายดีจู่ๆก็ล้มลงตายลงไปเหมือนแมงเม่า ผมก็คิดว่าฉันกำลังเสียสติไปแล้ว”

ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา

“ฉันเข้าใจนาย พวกเราก็เจอกับเรื่องนี้เหมือนกัน”

“ใช่ครับ พอฉันคิดถึงสถานการณ์อันน่าตกใจนี้แล้ว จู่ๆผมก็นึกถึงเด็กมนุษย์จิ้งจอก แล้วก็คิดว่า ‘อ่า ทั้งสองคนติดคำสาป หากว่าเราหลับไปเราก็จะต้องตาย’”

ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งขึ้นมา ชายพุงพลุ้ยไม่เพียงแต่จะได้รับคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น แต่เขาก็ยังเข้าใจถึงสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่งอย่างที่คาซุกิบอกเอาไว้จริงๆด้วย

ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าชายพุงพลุ้ยคนนี้คงจะมีความฉลาดที่สูงมากจริงๆ

“เพราะงั้นผมก็เลยไม่ยอมนอน และวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากวิหารอินวิเดียในอีวา… ฮ่าฮ่า!”

ชายพุ่งพลุ้ยได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะแสดงสีหน้าเคร่งขรึม นี่ไม่ใช่ความทรงจำที่น่านึกถึงเลยสักนิด

“ว่าแต่ว่า… ทำไมคุณทั้งคู่ถึงมาด้วยกันหรอ…?”

“อ่า ไม่ใช่ว่าฉันบอกนายไปแล้วหรอกหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

“ฉันได้เข้าร่วมคาเพเดี่ยมแล้ว”

ชายพุงพลุ้ยได้อ้าปากค้างออกมา

“อะ อะไรกัน? ทำไมคุณถึงเพิ่งมาบอกผมตอนนี้?”

“ฉันบอกนายไปแล้วนี่ว่าพวกเรามาดูอสังหาริมทรัพย์ ฉันคิดว่าด้วยไหวพริบของคุณปาร์คดงชุนก็น่าจะเข้าใจแล้วนะ”

“ฮ่าห์…”

ชายพุงพลุ้ย ไม่สิปาร์คดงชุนได้แต่พูดอะไรไม่ออก นี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ

ในทันทีที่คิมฮันนาห์ได้ยื่นจดหมายลาออก เธอก็ได้เดินทางไปที่ฮารามาร์ค และขังตัวเองไว้ภายในสำนักงานมาตลอด

เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในสำนักงายโดยไม่ได้ออกไปด้านนอกสำนักงานเลยแม้แต่นิด กว่าเธอจะเริ่มออกมาด้านนอกก็เมื่อไม่นานนี้เอง

เพราะงั้นนี่จึงเป็ฯธรรมดาที่ข่าวเรื่องของเธอยังมาไม่ถึงอีวา

‘พวกเขาคงจะค่อนข้างสนิทกันแน่เลย…’

ซอลจีฮูที่ฟังทั้งคู่คุยกันอยู่ได้ถามออกมาด้วยความสงสัย

“แล้วชื่อของนาย…”

“ใช่แล้ว ผมชื่อปาร์คดงชุน ผมเป็นหัวหน้าขององค์กรพ่อค้าดงชุนที่ไม่ได้เด่นดังอะไรหรอก”

“นายเป็นคนเกาหลี? ฉันคิดว่านายเป็นคนญี่ปุ่นซะอีก”

“อ่า ใช่แล้วครับ คุณพูดถูกเลย ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นเพราะครอบครัว… แต่ว่าผมไม่เคยลืมบ้านเกิดเลย”

ปาร์คดงชุนได้พูดออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างอึดอัดใจ ซอลจีฮูก็ยังยิ้มขึ้นและยื่นมือออกไป

“ฉันซอลจีฮู”

“โอ้ ผมรู้จักคุณเป็นอย่างดีเลยครับ! ผมจะไม่รู้จักวีรบุรุษสงครามผู้ยิ่งใหญ่ได้ยังไงกัน… เป็นเกียรติมากที่ได้พบคุณ!”

ปาร์คดงชุนได้จับมือซอลจีฮูเอาไว้และก้มหัวลง

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังรู้สึกอึดอัดใจ ปาร์คดงชุนก็เงยหน้าขึ้นมาและถามเขาด้วยความเคารพ

“ถ้างั้นคาเพเดี่ยมมาที่นี่เพื่อซื้อที่ดิน?”

“ตาลุง”

คิมฮันนาห์ได้ขัดเขาขึ้นทันที

“ทำไมถึงได้อยากรู้อะไรไปหมดเลยล่ะ? พวกเราไม่ใช่อาชญากรสักหน่อยนะ”

“โอ้ ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”

“ถ้าว่าเรามาที่นี่เพื่อทำธุรกิจ ถ้างั้นก็แค่ทำธุรกิจเท่านั้น การแส่เรื่องของคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกนะ”

เธอได้พูดเข้าประเด็นทันที เนื่องจากว่านี่ก็เป็นหนึ่งในความเชื่อของเขาเช่นกันปาร์คดงชุนจึงเงียบไป

“นายก็รู้นิสัยของฉันใช่ไหม? เรามาทำธุรกิจกันอย่างใสสะอาดเถอะนะ เอาที่ดินมาให้เราดูหน่อยสิ”

คิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมทั้งสะบัดหน้าให้เขานำทางไป

“ใสสะอาด… เธอที่เป็นคนใช้วิธีสกปรกและน่ารังเกียจทุกประเภทเนี้ยนะ…”

ปาร์คดงชุนได้บ่นกับตัวเองก่อนที่จะยกร่างกายขึ้นอย่างไม่เต็มใจ

เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาคิดว่าหากเขาไม่ลุกขึ้นเขาจะต้องถูกโกงแน่

***

‘อะไรกันนะ?’

ปาร์คดงชุนได้ใช้สมองตลอดเวลาที่นำพวกเขาเดินไปยังที่ดินที่เขาได้เลือกเอาไว้ก่อนแล้ว

คาเพเดี่ยม ทีมที่เก่าแก่และยอดเยี่ยมในฮารามาร์คกำลังจะมาที่ฮารามาร์ค นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมาก

แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าทำไม

หากว่าพวกเขาซื้อที่ดิน นั่นก็เป็นไปได้สูงว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะตั้งองค์กร แต่ว่านั่นก็ไม่มีเหตุผลให้พวกเขาต้องออกมาจากฮารามาร์คเลยนี่

‘ฉันจะบ้าตาย…’

ต่อให้เขาจะปล่อยความคิดเรื่องอื่นไป และตั้งสมาธิไปกับการทำธุรกิจ แต่ว่ามันก็มีแต่ทำให้เขารู้สึกซับซ้อนขึ้นมา

นี่มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับการกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพายุใหญ่งั้นหรอ?

เขารู้สึกว่าควรจะขายที่ดิน แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ควรขายออกไปเช่นกัน

นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ปาร์คดงชุนรู้สึกแบบนี้

‘…นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย ในเมื่อเป็นแบบนี้…”

หลังจากคิดอยู่นานปาร์คดงชุนก็หยุดเดินไป ที่ที่พวกเขาได้มาถึงคือใจกลางของเมือง

คิมฮันนาห์ได้มองไปรอบๆ และพูดขึ้นราวกับว่าเธอเจออะไรที่น่าตกใจ

“มันดีกว่าที่ฉันคิดอีกนะ ที่ดินค่อนข้างใหญ่…”

“ฮึ่ม มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ในแง่ที่ตั้งก็ไม่มีไหนในอีวาที่ดีกว่าตรงนี้แล้ว แค่สถานที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมืองก็แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของมันแล้ว”

ปาร์คดงชุนได้กระแอ่มออกมาก่อนจะพูดต่อ

“ราชวงศ์มีสิทธิ์ในที่ดิน แต่ว่ามันได้ถูกปล่อยเช่าเอาไว้เป็นเวลาหลายสิบปี เพราะงั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกเรียกคืนไปได้เลย แล้วก็อย่างที่เห็นไม่มีอาคารอะไรที่ถูกก่อสร้างรอบๆ ทุกๆอย่างต่างก็อยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งช่วงตึก เพราะงั้นหากว่าจะสร้างอาคารอะไรขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาเลย”

หลังจากพูดแบบนี้ปาร์คดงชุนก็แอบมองดูปฏิกิริยาของพวกเขา

“เอาเถอะนะ… ถึงจะมีข้อเสียที่ไม่ได้รับการซ่อมบำรุง แต่ว่าในเมื่อเธอต้องการจะสร้างอาคารใหม่อยู่แล้วมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหมล่ะ?”

จริงๆแล้วอาคารมันเก่ามาและทรุดโทรมจนเหมือนซากอาคารไปแล้วด้วย มันถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกเหมือนกับมองดูบ้านผีสิงที่ผีจะโผล่ออกมาได้ตลอดเวลา

“ยังไม่หมดเท่านี้นะ ชั้นใต้ดิน-“

“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่า-“

คิมฮันนาห์ได้ยกมือดันแว่นและขัดขึ้นมา

“เข้าเรื่องเลยเถอะ”

“…หืม?”

“นายคิดว่าฉันโง่งั้นหรอ? มันไม่มีทางที่นายจะปล่อยที่ดินขนาดใหญ่ที่อยู่ในศูนย์กลางไว้เฉยๆหรอกนะ”

มีบางอย่างเกี่ยวกับที่นี่แปลกๆอย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะอยู่ย่านใจกลางเมือง แต่ว่ามันค่อนข้างจะปลีกวิเวกอยู่จากส่วนอื่นๆ

“ฉันก็กำลังจะพูดอยู่เลย.. ชิ ใจร้อยซะจริง”

ปาร์คดงชุนได้ยิ้มแห้งๆก่อนจะอธิบายต่อ

สรุปแล้วก็คือบ้านตรงหน้าพวกเขาถูกเรียกกันว่า ‘บ้านผีสิง’ และนับได้ว่าเป็นสถานที่ต้องสาป

เหตุผลก็เพราะว่าทุกๆคนที่ย้ายเข้ามาจะตายอย่างน่ากลัวหลังจากที่อาศัยอยู่เพียง 3-4 เดือนโดยไม่มีข้อยกเว้น

สาเหตุการตายก็มีหลากหลายอีกด้วย

คนสุขภาพดีจู่ๆก็ล้มป่วยอย่างไร้สาเหตุจนกระทั่งตายไป คนๆหนึ่งถูกฆ่าสังหารโหดจากแค่การทะเลาะเรื่องเล็กๆ คนๆหนึ่งจู่ๆก็สิ้นหวังและผูกคอตาย… มีกระทั่งการตายอย่างกระทันหันได้โดยไร้สาเหตุ…

หลังจากมีคนนับสิบตายไปแบบนี้ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แถวนี้อีก

“อ่อ~”

คิมฮันนาห์ได้อุทานออกมาหลังจากได้ยินเรื่องนี้

“เพราะงั้นนายก็เลยจะบอกว่าที่ดินที่นายใช้เงินจำนวนมากซื้อมากลายเป็นไร้ค่า เพราะงั้นนายก็เลยจะโยนมันมาให้เราเพราะว่าเขาโผล่มาพอดีงั้นหรอ?”

“ไม่ ไม่เลย ชิ ทำไมเธอถึงได้พูดแบบนั้นล่ะ? เราไม่ได้รู้จักกันแค่ไม่กี่วันนะ ฉันแค่เอาที่นี่มาให้เธอดูเพราะจะขายเท่านั้นเอง ถ้าเธอไม่ชอบที่นี่ เราก็ไปดูที่อื่นก็ได้”

ปาร์คดงชุนได้รีบหาข้ออ้างออกมา แต่ว่าเขาได้เหลือบไปมองซอลจีฮูราวกับไม่อยากจะพลาดโอกาสดีนี้ไป

“แล้วมันก็ยังเพราะฉันคิดว่าท่านซอลจีฮูต่างไปจากคนอื่นๆ วีรบุรุษที่ได้เอาชนะผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่ง… ฮิฮิ!”

ในสองสามครั้งแรกมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ว่าในครั้งที่สามมันจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ซอลจีฮูได้เริ่มจ้องไปที่อาคารตรงหน้า

“นายได้ลองขอให้นักบวชอินวิเดียมาชำระล้างดูยัง?”

“อันที่จริง… ผมก็เคยจ้างนักบวชระดับสูงมาด้วยเงื่อนไขให้เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ครึ่งปีโดยจ่ายแค่ครึ่งราคาหากว่าเขาแก้ไขปัญหาได้ แต่ว่าเมื่อผมกลับมาหลังจากผ่านไปแค่เดือนเดียว ผมก็ต้องมาเจอเขาท้องแตกตาย และเครื่องในกระจายไปทั่ว…”

“…คงจะมีตัวเลือกที่ทำลายที่นี่ทั้งหมดสินะ”

“ผมก็พยายามแล้ว แต่ว่าคนงานต่างก็เริ่มป่วยทีล่ะคน…”

ปาร์คดงชุนได้เสียงอ่อยไปในช่วงท้าย

ซอลจีฮูได้เริ่มครุ่นคิดทันที

‘มันจะต้องมีอะไรอยู่ที่นี่แน่ๆ มันอาจจะเป็นวิญญาณ… เดี๋ยวนะ วิญญาณ?’

ซอลจีฮูได้มองลงไปที่จี้ของเขา เขาเพิ่งจะคิดอะไรดีๆได้แล้ว

“ฉันขอเข้าไปดูข้างในสักหน่อยได้ไหม?”

“หืม? ได้สิครับ! ดูได้เต็มที่เลย! หากว่าคุณอยากจะซื้อล่ะก็ ผมจะลดราคาให้ต่ำกว่าราคาตลาดเลย… ผมก็คิดว่าที่นี่มันก็ค่อนข้างจะน่าอึดอัดอยู่หน่อยเหมือนกัน”

เมื่อเห็นซอลจีฮูดูจะสนใจ ปาร์คดงชุนก็ได้ยิ้มกว้างและรีบพยักหน้าออกมา

แต่ว่าเขาดูจะไม่ได้จะเข้าไปกับซอลจีฮูเลย

“เฮ้ นายคงไม่คิดว่านายจะซื้อที่นี่จริงๆหรอกนะ?”

ทันใดนั้นน้ำเสียงเฉียบคมก็ดังขึ้นมา

ซอลจีฮูได้หยุดลงก่อนจะอธิบายออกมา นั่นมันก็เพราะว่าเขาเห็นคิมฮันนาห์ขยิบตาและมองมาที่จี้ของเขา

ซอลจีฮูที่เข้าใจเจตนาของเธอได้ยิ้มแห้งๆออกมา

‘เธอเห็นทั้งโลกเป็นเป้าหมายให้ต้มตุ๋นงั้นหรอ?’

ในตอนนี้เขาคิดว่าเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนอื่นๆที่ได้ยินชื่อของเธอถึงกัดฟันขึ้นมา

“ฉันก็แค่จะดูเฉยๆ”

“นี่นายบ้าหรือเปล่า? ทำไมนายถึงต้องไปดูบ้านน่าขนลุกแบบนั้นด้วย? ไปดูที่อื่นเถอะน่า”

“อ๊าา โลกนี้มันไม่มีผีอยู่จริงๆหรอกนะ ทั้งหมดนั่นก็แค่ข่าวลือ”

[เอ๋? แต่ว่าก็มีฉันอยู่นะ?]

เขาได้ยินเสียงพึมพำของโฟลนดังออกมา แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจเธอและพูดต่อ

“ไม่ว่าจะยังไงฉันก็จะลองไปดูก่อน แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะให้ราคาต่ำกับเราด้วยนี่ ยังไงเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะอยู่แล้วนะ”

“ว้าว นี่นายทำตามใจไปแล้วนะ”

เมื่อได้ยินคำตำหนิ ซอลจีฮูก็เดินไปข้างหน้า เมื่อมายืนอยู่หน้าทางเข้าแล้ว ซอลจีฮูก็กระซิบเบาๆ

“โฟลน”

[ได้เลย! รอสักเดี๋ยวนะ!]

โฟลนได้ลอยหายเข้าไปในบ้านราวกับเธอฟังมาตั้งแต่แรกแล้ว

ซอลจีฮูได้เดินไปรอบๆบ้านโดยแกล้งทำเป็นสำรวจดูในระหว่างที่รอโฟลน

‘เป็นที่ดินที่ดีจริงๆเลย’

มีแสงแดดส่องมาถึงทุกจุด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือขนาดของมัน สำนักงานของเขาก็เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจึงทำให้เขารู้สึกแออัดอยู่เล็กน้อย

มันก็คงดีที่จะที่จะสร้างอาคารขนาดใหญ่สักสองสามหลัง และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

‘โว้วว~’

รอยยิ้มได้เบ่งบานขึ้นมาบนใบหน้าของซอลจีฮูราวกับว่าเขากำลังฝันหวานอยู่

ยังไงก็ตามไม่นานนักฝันหวานของเขาก็สลายหายไปเพราะไม่ว่าเขาจะรอนานแค่ไหนโฟลนก็ยังไม่กลับมา

‘เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?’

แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโฟลน แต่ว่ามันก็ยังมีโอกาสอยู่หนึ่งในพันที่จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ได้

‘ไม่มีอันตรายแหะ’

หลังจากใช้นพเนตรแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจที่จะเข้าไป

การเดินวนไปรอบๆบ้านมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาเริ่มเป็นห่วงโฟลน

เอี๊ยดดด…

ในทันทีที่เขาเปิดประตูที่เต็มไปด้วยฝุ่นก็ได้มีเสียงสนิมดังออกมา ภาพตรงหน้าของเขาได้กลายเป็นพร่ามัวไปในทันทีที่ประตูด้านหลังถูกปิดลง

แปลก

ข้างนอกยังกลางวันอยู่เลย แถมในบ้านนี้ก็มีหน้าต่างอยู่ด้วย แต่ว่าภายในบ้านกลับมืดสนิทเลย

ไม่เพียงเท่านั้น

ภายในห้องยังมีความเย็นน่าขนลุกอยู่อีกด้วย เขารู้สึกเหมือนกับว่าเข้ามาในบ้านที่อยู่ท่ามกลางพายุหิมะเลย

“แค่กๆ”

ฝุ่นฟุ้งมากจนแค่สูดหายใจก็ทำให้เขาต้องไอออกมาแล้ว จากความตรึงเครียดอย่างกระทันหันได้ทำให้เขาโคจรมานาภายในร่างขึ้นมา

ต่อให้จะเป็นวิญญาณ แต่อย่างมากสุดก็คงเป็นแค่วิญญาณร้ายเท่านั้น

ด้วยพลังโซม่าที่ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายความชั่วร้ายจึงทำให้เขาไม่มีอะไรให้ต้องกลัว หลังจากโคจรมานาพอแล้ว ซอลจีฮูก็ค่อยๆเดินไปข้างหน้า

เอี๊ยดดด เอี๊ยดดด

ทุกครั้งๆที่เขาก้าวเท้าก็จะมีเสียงแปลกๆดังออกมา

‘แปลก มันแปลกเกินไป’

ยิ่งเขาเดินเข้าไป เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น

แค่การหายใจเอาอากาศชื้นๆเข้าปอดก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบาย และกลิ่นความอาฆาตที่ปะปนอยู่ในอากาศก็ได้ทำลายประสาทของเขาอีกด้วย

มันรู้สึกเหมือนกับว่าหากเขาหันหลังกับไปก็จะเจอกับอะไรบางอย่างที่ยืนอยู่ข้างหลัง

มันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะเจอใครบางคนจ้องเขาอยู่หากเขามองขึ้นไป

ซอลจีฮูได้มั่นใจแล้ว

บ้านหลังนี้ไม่เหมาะให้คนใช้ชีวิตอยู่

‘โฟลน…’

ขณะที่เขาหันกลับไปเพื่อที่จะออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาก็มองเห็นบันไดขึ้นไปสู่ชั้นสอง

และเมื่อซอลจีฮูมองดูราวจับ…

“!”

…เขาก็ชะงักไป

ความน่าขนลุกได้พวยพุ่งออกมา

มันหนาวมากจนทำให้เขาขนลุกขึ้นทั้งร่าง

มีบางอย่างอยู่ตรงนั้น

สิ่งที่อยู่เหนือหัวเขามันไม่ใช่มนุษย์ ถึงเขาจะไม่ได้รู้อะไรอีกเลย แต่ว่านี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เขามั่นใจ

ซอลจีฮูได้จับหอกพิสุทธิ์เอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ เขายังใช้มันไม่ได้เลย แต่ว่าเขาก็ได้พยายามสูดหายใจและโคจรมานาออกมา

‘อันตราย’

ในตอนที่เขายกมือขึ้น และเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง!

ซอลจีฮูก็เบิกตากว้างขึ้นมา

“เฮือก!”

เขาเกือบจะร้องออกมา สายตาของเขาได้จับจ้องไปที่สิ่งที่อยู่เหนือบันไดไปชั้นที่สอง

ดวงตาทั้งสองข้างของมันถูกเย็บเข้าด้วยกันเหมือนกับตะเข็บลูกเบสบอล จมูกของมันกำลังเน่า และปากของมันก็ถูกเย็บปิดเอาไว้

มันกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมทั้งแขน…

“?”

ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอยู่หลายครั้ง

มันยกแขนอยู่? เหมือนกับเด็กถูกลงโทษ?

เมื่อซอลจีฮูได้แสดงความสงสัยออกมาจากทางสายตา…

เพี๊ยย!

ทันใดนั้นเสียงตบก็ได้ดังออกมา ใบหน้าของมันได้สะบัดออกไปด้านข้างทนที

[นี่แกบ้าไปแล้วหรอ?]

น้ำเสียงที่คุ้นเคยได้ดังออกมา เมื่อมองขึ้นไปอีกหน่อยในที่สุดแล้วเขาก็ได้เห็นโฟลน

[นี่แกคงจะเสียสติไปจริงๆสินะ?]

โฟลนที่ปรากฏร่างออกมากำลังจ้องไปที่วิญญาณหลังจากเพิ่งตบมันลงไป

[เฮ้ การเป็นผีมันเป็นเรื่องตลกงั้นหรอ?]

วิญญาณที่กำลังคุกเข่าอยู่ได้สะดุ้งออกมา

[พระเจ้า! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย]

โฟลนได้พูดต่อราวกับว่าเธอคิดว่ามันไร้สาระมากจริงๆ

[ก็ได้ ถ้างั้นฉันขอถามอะไรแกหน่อยแล้วกัน แกกลายมาเป็นผีนานแค่ไหนแล้ว?]

[สองทศวรรษ? ศตวรรษ? นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้แกทำตัวดื้องั้นหรอ?]

[โอ้ นี่เมินกันแล้ว?]

[ก็ได้ แกคงจะกำลังดูถูกคำพูดงั้นสิ?]

วิญญาณตะเข็บได้รีบส่ายหัวออกมา

[เฮ้! แกคิดว่าฉันไร้สาระใช่ไหม? หา?]

[พูดมาสิ แกกำลังดูถูกฉันเพราะว่าฉันถูกสร้างขึ้นมาจากความแค้นที่ถูกจองจำเอาไว้นับร้อยปีใช่ไหม?]

ซอลจีฮูที่กำลังมองขึ้นไปด้วยสีหน้าสับสนได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่าวิญญาณก็ถูกกล่าวหากันได้

[นี่แกยังจะเมินฉันอีกใช่ไหม? หากว่าแกเป็นผีจริงๆ ถ้างั้นอย่างน้อยในตอนที่คุยกันก็ควรจะสบตากันสิ!]

มันได้ผงะไปก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้น…

[หา? นี่แกจ้องฉันหาอะไรกัน? แกมีปัญหางั้นหรอ? ไอ้เจ้าลูกหมา?]

เมื่อเห็นโฟลนยกมือขึ้นมา มันก็รีบก้มหน้าลงไปอีกครั้ง วิญญาณตะเข็บได้ร้องออกมาด้วยความกลัว และความเศร้าเสียใจ

[นี่แกกำลังร้องไห้? น้ำตาพวกนั้นมันอะไรกัน? ว้าว ไม่อยากจะเชื่อเลย เฮ้ ลุกขึ้นมา]

[สนใจกันหน่อย ทำใจให้สบาย แล้วก็มองทางนี้]

[ไอ้สารเลว แกเสียสติไปแล้วหรอ?]

[กลิ้งซ้าย กลิ้งขวา ซ้าย ขวา คลานหน้า คลานหลัง]

ตึง ตึง ปัง ปัง!

โฟลนได้ออกคำสั่งลงโทษวิญญาณทางวินัยออกมา มันไม่มีอะไรจะแปลกไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

ในท้ายที่สุดวิญญาณก็ได้นอนแผ่ไปกับพื้นพร้อมทั้งมองขึ้นไปที่โฟลนทั้งๆที่มันยังคงสะอื้นอยู่

งึมงำ งึมงำ!

เมื่อได้ยินมันพูดอะไรบางอย่าง โฟลนก็กอดยกโน้มตัวไปด้านหน้า

[อะไรนะ? แกขอโทษงั้นหรอ? แกจะจากไปเงียบๆเพราะงั้นช่วยปล่อยแกไปงั้นหรอ?]

โฟลนได้แค่นเสียงออกมา

เธอได้ล้วงมือลงไปในกระเป๋า และถามออกมาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง

[เมื่อไหร่ที่แกขอโทษ ชีวิตวิญญาณของแกมันก็จบลงไปแล้ว]

งึมงำ งึมงำ!

[ว้าว แกนี่มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ระดับชั้นของที่นี่มันน่าสนใจจริงๆเลย]

โฟลนได้ยืดตัวและสะบัดคอไปมา หลังจากหมุนไหล่แล้ว เธอก็เริ่มเตะวิญญาณตะเข็บ

[ลุกขึ้นมา แกไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวใช่ไหม?]

[ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันจะพูดให้ดีนะ]

ทุกๆคนที่อยู่ต่ำกว่าแกแล้วก็สูงกว่าแกด้วย ฉันต้องการให้พวกมันทั้งหมดมาที่นี่]

[แกมีเวลาสามสิบวินาที ถ้าแกทำไม่ทัน ฉันจะทำลายความหวังทั้งหมดของแกทิ้งซะ แกได้ยินใช่ไหม?]

จากนั้น

[เริ่มได้]

ทันทีที่คำพูดของเธอดังออกมาวิญญาณตะเข็บก็พุ่งออกมา

เมื่อเห็นว่ามันได้รีบคลายไปตามกำแพงเหมือนกับแมงมุมอย่างรวดเร็ว ซอลจีฮูก็มั่นใจว่ามันกำลังตั้งใจทำตามคำสั่งของโฟลนอย่างเต็มกำลัง

[หืม? ทำไมนายถึงมาที่นี่ล่ะ?]

โฟลนได้ลอยลงมาจากบันไดราวกับว่าเธอเพิ่งจะเห็นซอลจีฮู ออร่าดุร้ายของเธอจากก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และมีใบหน้าของเด็กสาวไร้เดียงสาเข้ามาแทนที่

[มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?]

เธอได้เข้ามาเกาะเอวซอลจีฮู และเริ่มทำตัวน่ารัก ซอลจีฮูแทบจะพูดอะไรไม่ออก และฝืนหัวเราะออกมา

“พะ พึ่งมาถึง เพราะเธอหายไปนาน ฉันก็เลยเป็นห่วง…”

[อ่อ เพราะแบบนี้นี่เอง]

“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม…?”

[ใช่แล้วๆ ที่นี่มีวิญญาณอยู่ แต่ว่าก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอกนะ~ เมื่อเทียบกับวิญญาณในคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณแล้ว เจ้าพวกลูกหมานี่ก็แค่ปลายแถว]

โฟลนได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมา

[จริงๆแล้วตอนแรกฉันก็พยายามทำตัวดีนะ แต่ว่าก็มีบางคนที่ไม่รู้ถึงจุดยืนของตัวเอง อารมณ์เก่าๆของฉันก็เลยออกมาน่ะ]

‘อารมณ์?’

จริงหรอ?

เขารู้ดีว่าพฤติกรรมของเธอต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมของเขาเป็นการเสแสร้ง แต่ว่าเธอก็เสแสร้งต่อหน้าเขาด้วยหรอ?

นั่นมันหมายความว่าสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อกี้นี้คือธาตุแท้ของเธอ

ขณะที่เขากำลังเต็มไปด้วยความคิดมากมายในหัว โฟลนก็ดันหลังเขา

[ตอนนี้แค่ออกไปรอด้านนอกเถอะนะ เดี๋ยวฉันจะรีบจัดการเรื่องที่นี่ให้เรียบร้อยเอง]

เขารู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะกำลังบังคับให้เขาออกไปเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่ว่าซอลจีฮูก็ปล่อยให้ตัวเองถูกดันออกมาโดยไม่พูดอะไร

ตึง

หลังจากที่เขาพิงกับกำแพง ทั้งร่างเขาก็สั่นขึ้นมา

จากนั้นเขาก็ได้รู้ถึงสิ่งที่คาดไม่ถึง ในอดีตของเธอ โฟลนไม่ใช่ดอกไม้ของสังคมชนชั้นสูงอย่างแน่นอน

‘เธอนจะต้องเป็นนักเลงของสังคมชนชั้นสูงแน่ๆ’

ซอลจีฮูได้พยักหน้ากับตัวเอง และถอนหายใจยาวออกมา