ตอนที่ 235

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 235 – ตามมา ฉันแบกเอง (1)

“เราได้นัดกันไว้ช่วงเย็นๆ ฉันบอกเขาไปว่าฉันอยากจะไปเจอเขาเป็นการส่วนตัว แต่ว่านายจะมากับฉันก็ได้”

“ฉันไปได้หรอ?”

“ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ก่อนจะเจอกับเขาจำกัดข้อมูลเอาไว้ให้มากที่สุดจะดีกว่า หมอนั่นมันเป็นคนเจ้าเล่ห์คนนึงเลย”

ในเมื่อคำๆนี้ออกมาจากปากของคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูจึงประเมินฝ่ายตรงข้ามไว้สูงในทันที

“ยังไงก็ตามนี่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะรับนักบวชเข้ามาในทีม… นายมีใครในใจไหม?”

คนๆหนึ่งได้โผล่เข้ามาในหัวของเขาทันที

“คุณมาเรีย”

“ฉันก็คิดไว้แล้วว่านายจะต้องพูดแบบนี้ ถ้างั้นก็รอก่อนแล้วกัน ให้ฉันหว่านแหก่อนจะไปอีวา”

‘แห?’

คิมฮันนาห์ได้หายเข้าไปในห้องอีกครั้งหนึ่ง

แต่ในคราวนี้ซอลจีฮูได้ตามเธอไป

เมื่อเขาเข้าไป เขาก็เห็นคิมฮันนาห์กำลังใช้คริสตัลสื่อสารในมือกำลังติดต่อหาใครสักคนอยู่

ไม่นานนักแสงสว่างก็ส่องออกมา

-โอ้? นี่ใครกันล่ะนี่!?

เสียงพูดของมาเรียได้ดังออกมา

-ยัยคนที่ถูกซินยองไล่ออกมาเหมือนกับหมาหัวเน่านี่นา!?

“เธออยากจะตายงั้นหรอ?”

เมื่อคิมฮันนาห์ได้คำรามออกมาอย่างรุนแรง มาเรียก็นิ่งไป

-ขอโทษ…

“ช่างมันเถอะ”

คิมฮันนาห์ได้มองไปที่คริสตัล และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

“วิ่งมาที่คาเพเดี่ยมเดี๋ยวนี้”

-อะไรนะ? ตอนนี้พี่สาวอยู่ที่ไหน?

“ฉันจะให้เวลาเธอสิบนาที”

คิมฮันนาห์ได้ตัดสายไปหลังจากที่ส่งข้อความออกไปฝ่ายเดียว

ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับเขาได้ยินคำว่า ‘เชี้ย’ ก่อนที่สายจะตัดไปอีกด้วย

***

หลังจากเรียกตัวมาเรียมาแล้ว

“เธออยากจะเข้าร่วมทีมของเราไหม?”

คิมฮันนาห์ได้เข้าประเด็นก่อนที่มาเรียจะได้นั่งลงซะอีก

มาเรียที่ก้นเพิ่งจะถึงโซฟาได้ชะงักไปทันที เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าสีหน้าของเธอมันแสดงอย่างชัดเจนว่า ‘นี่พี่สาวพล่ามเรื่องไร้สาระอะไรออกมาเนี้ย?’

“ระวังเรื่องใบหน้าด้วยนะ”

มาเรียได้รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันทีที่คิมฮันนาห์เตือนออกมา แต่ว่าเธอยังคงแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอยู่

“จู่ๆพี่สาวพูดอะไรกัน? นี่มันยังเที่ยงอยู่เลยนะ พี่สาวเมาไปแล้วงั้นหรอ? นี่ว่ามันเป็นเพราะพี่สาวจมอยู่กับความทุกข์กันนะ?”

“ฉันปกติ เพราะงั้นแค่ตอบคำถามฉันมา”

“อืมม อย่างน้อยก็ช่วยอธิบาย…”

“เร็วๆนี้คาเพเดี่ยมจะย้ายไปที่อีวาเพื่อกลายเป็นองค์กร พวกเราต้องการนักบวช นี่แหละคำอธิบาย”

คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคาง

“คำตอบล่ะ?”

“องค์กร? คาเพเดี่ยมกำลังจะออกไปจากฮารามาร์ค?”

มาเรียได้ตอบสมองในเวลาต่อมาด้วยสีหน้าขยะแขยง

ไม่นานนักเธอก็พยักหน้าตอบรับ

“มันก็จริง… คาเพเดี่ยมมีแรงค์เกอร์ระดับสูงอยู่ตั้งเยอะ แล้วก็เงินมากมาย…”

“ฉันไม่ได้เรียกเธอมาขอความเห็น ถ้าฉันถามเธออีกครั้ง เธอก็รู้ว่ามันเป็นครั้งที่สามแล้วใช่ไหม?”

มาเรียได้ขนลุกซู่ขึ้นมา ก่อนที่จะผงะถอยไป

“ฉันขอโทษ… เมตตาฉันเถอะนะ… อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เงิน…”

เธอกระทั่งรวบมือเข้าด้วยกันและขอร้องออกมา

มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งคู่กันนะถึงได้ทำให้มาเรียแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา? โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้กระทั่งแอ็กเนส มาเรียก็ยังไม่ได้แสดงความกลัวออกมาเลย

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังสงสัย มาเรียก็แทบจะสลัดความกลัวออกไปไม่ได้ เธอได้ใช้นิ้วปัดปอยผมและพึมพำเบาๆ

“พี่สาวก็รู้อยู่แล้วนี่ ฉันไม่ชอบการที่จะต้องสังกัดกลุ่มไหน นอกไปจากนี้…”

“ฉันรู้ๆ ฉันตอบมาว่าตกลงหรือไม่ตกลงก็พอ”

มาเรียได้เหลือบมองซอลจีฮูก่อนจะตอบกลับไป

“…ไม่”

“โอเค เราเข้าใจ ถ้างั้นเธอก็ไปได้แล้วล่ะ”

คิมฮันนาห์ได้ไล่มาเรียออกมาราวกับว่าเธอกำลังรำคาญ

ดวงตามาเรียได้เบิกกว้างขึ้น ตัดสินจากสีไหน้าเธอแล้ว เธอเหมือนจะกำลังคิดว่า ‘นี่เธอจะปล่อยฉันไปง่ายๆเลย?’

“ฉะ ฉันไปได้จริงๆนะ?”

“ชิ เธอคิดว่าฉันจะฆ่าเธอหรือไงกัน?”

“เชี้ย ถ้าพี่สาวมีจิตสำนึก พี่สาวก็ไม่ควรจะ… อะ โอเค ฉันจะไปแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”

มาเรียได้รีบลุกขึ้นจากโซฟา

“ถ้าพี่สาวต้องการ ฉันจะแนะนำคนอื่นให้ก็ได้นะ”

“ไม่ต้องล่ะ การรับคนที่เธอแนะนำมามีแต่จะทำให้เราแย่ลง ช่างเถอะ ถ้าไปแล้วก็ช่วยปิดประตูให้ด้วยนะ”

มาเรียได้แอบมองคิมฮันนาห์ในระหว่างที่กำลังเดินออกไปจากห้อง

ขณะที่ประตูกำลังจะปิดลงไป

“อ่า จีฮู”

ทันใดนั้นคิมฮันนาห์ก็พูดขึ้นมา

“ปฏิบัติการณ์ที่นายพึ่งจะไปมาน่ะ ฉันอยากจะถามบางอย่างเรื่องมรดกกับวิญญาณที่อยู่ในจี้”

“มรดกของตระกูลรอชเชอร์งั้นหรอ?”

“ใช่แล้ว นายบอกว่ายังมีเหลืออยู่อีกสองสามที่ใช่ไหมล่ะ?”

ซอลจีฮูได้ยอมรับออกมาในทันที

“ใช่แล้ว ครั้งก่อนพวกเราได้เจอกับเทคนิคลับของตระกูลรอชเชอร์ นับรวมเครื่องเซ่น สมุดบัญชี ทรัพย์สิน แล้วก็ที่ที่โฟลนยังไม่มั่นใจแล้วก็มีเหลืออยู่อีกสี่ที่”

“โอ้~ พวกเขาแยกหมวดหมู่เอาไว้ด้วยหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้อุทานออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย

“ถ้างั้นนายจะบอกว่ามรดกที่นายเจอในครั้งนี้เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งงั้นสิ?”

“นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ยินมา…”

ซอลจีฮูได้มองไปที่คิมฮันนาห์แปลกๆ ทำไมจู่ๆเธอถึงถามคำถามพวกนี้กับเขาล่ะ?

‘อ่อ’

เมื่อมองย้อนกลับไปที่ประตู ซอลจีฮูก็ผงะไปทันที

ประตูดูเหมือนจะถูกปิดสนิทแล้ว แต่มันก็แค่เหมือนเท่านั้น หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีช่องว่างเล็กๆถูกเปิดเอาไว้อยู่

นอกประตูไปก็ยังมีเสียงหายใจถี่ๆของมาเรียอยู่อีกด้วย

ไม่ว่าใครก็สามารถจะเดาออกได้เลยว่านอกประตูนั้นมีใครยืนอยู่ บวกกับยิ่งมีเส้นผมสีบลอนด์เล็ดลอดออกมาอีกด้วย

“ไอหย๊าาา~ แค่ได้ยินก็ทำให้ฉันคิดไม่ถึงแล้ว สำหรับปฏิบัติการต่อไปของเรา เราก็ควรจะมุ่งเป้าไปที่ทรัพย์สินของตระกูลรอชเชอร์ พวกเราต้องการเงินมาใช้สร้างองค์กร ยังไงก็ตาม… อ่า อากาศเย็นน่าขนลุกนี่มาจากไหนกันนะ? จู่ๆทำไมถึงรู้สึกหนาวขึ้นมาล่ะ?”

จากนั้นคิมฮันนาห์ก็ยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว

3 2 1… เธอได้ค่อยๆหุบนิ้วลงราวกับกำลังนับเวลาถอยหลังอยู่

หลังจากนิ้วสุดท้ายของเธอหุบลงไป

ตึง ตึง ตึง

เสียงฝีเท้าได้ดังออกมาเหมือนกับกำลังมีคนวิ่งขึ้นบันได จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกมา

ซอลจีฮูมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเบื้องหลังสีหน้าประหลาดใจแล้ว คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา

“อะไรกัน? ทำไมเธอถึงกลับมาล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้ถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

“ฮ๋าห์… ฮ่าห์… ฉันเผลอลืมของเอาไว้”

มาเรียได้พยายามหอบหายใจ

“เธอลืมของไว้? อะไรล่ะ?”

“อ่า… จริงด้วย… อะ อะไรกันนะ?”

เธอได้มองซ้ายขวาด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเดินไปรอบๆห้อง

“อะไรกันเนี้ย? ฉันคิดว่าฉันทำตกเอาไว้แถวนี้นะ…”

เธอได้ขมวดคิ้ว ย่อตัวลง และเริ่มมองดูรอบๆอย่างตั้งใจ

“บอกฉันมาก็ได้ ถ้ามันไม่ได้สำคัญเธอก็ไปเถอะ ไว้ฉันจะหาให้”

“ไม่ได้ มันเป็นของแพงมาก”

เธอยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอทำอะไรหายไป แต่เธอกลับบอกมาว่าแพง

ซอลจีฮูได้จ้องไปที่มาเรียด้วยสีหน้าตกตะลึง คิมฮันนาห์ที่เห็นแบบนี้ก็กระแอ่มขึ้นและทำท่าให้เขาพูดต่อ

“ใช่แล้วล่ะ ฉันเห็นด้วย สมุดบัญชีถูกฝังไว้ในจักรวรรดิ เพราะงั้นเราไม่น่าจะไปเอามาได้ แต่ว่าทรัพย์สิน-“

“เฮ้ เฮ้!”

คิมฮันนาห์ได้ประหลาดใจและรีบหยุดเขาเอาไว้

“นี่นายบ้าไปแล้วหรอ? ทำไมนายถึงพูดตรงนี้?”

‘เธอเป็นคนบอกให้ฉันพูดนะ’

ซอลจีฮูได้หัวเราะอยู่ในใจ

ทันใดนั้นเขาก็มองกลับไปที่มาเรียด้วยความสงสัย เธอได้หยุดหาของที่ไม่มีอยู่จริงเอาไว้ และหูผึ่งขึ้นมาซึ่งมันได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังพยายามฟังอยู่

ไม่นานนักเธอก็แอบหันหน้ามาด้านข้าง และทำสีหน้าเจ้าเล่ห์

“นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?”

คิมฮันนาห์ได้ไล่เธอออกไป

“มันไม่ใช่สิ่งที่คนนอกควรจะรู้”

“เอ๋ คนนอก?”

มาเรียได้คลานเข้ามาหาพวกเขาก่อนที่จะแทรกตัวเข้ามาระหว่างคิมฮันนาห์กับซอลจีฮู เธอได้มองสลับไปมาระหว่างสองคนและพูดขึ้น

“พี่สาว พี่ชาย ทำไมถึงต้องไล่ฉันออกไปแบบนี้ล่ะ? นี่มันทำให้ฉันเศร้าจริงๆนะ?”

“ไสหัวไป”

“อย่าทำแบบนี้สิ~ พี่สาวไม่รู้หรอว่าฉันเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ของทีมนี้น่ะ? แล้วนี่กำลังพูดถึงปฏิบัติการอะไรกันอยู่น้า~”

เมื่อมาเรียได้ถามออกมาโดยไม่ยอมถอย คิมฮันนาห์ก็ปัดผม และถอนหายใจออกมา

“ก็ไม่มีอะไรหรอก เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือเปล่า หรือต่อให้มีจริงของที่อยู่ในนั้นก็น่าจะมีอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของผลลัพธ์ที่ได้มาจากเจดีย์แห่งความฝันด้วยซ้ำไป”

คิ้วข้างหนึ่งของมาเรียได้เลิกขึ้น ความสงสัยได้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเธอ

จากนั้นเอง

[ไม่!]

ทันใดนั้นโฟลนก็พุ่งออกมาจากจี้ของซอลจีฮู

“เชี้ยยยยยย!”

มาเรียได้ตกใจจนล้มลงไปกับพื้น แต่ว่าโฟลนก็ได้ตะโกนออกมาโดยไม่สนใจเธอเลยสักนิด

[เราบอกเธอไปแล้วว่ามันมีอยู่! เธออาจจะไม่รู้เพราะว่าเธอไม่ได้ไป แต่ว่าคนอื่นๆได้เห็นมันแล้ว!]

เมื่อได้ยินเสียงนี้คิมฮันนาห์ก็ผงะไปอย่างรุนแรง

“คุณโฟลน ฉันไม่ได้พูดเพราะฉันไม่เชื่อใจคุณหรอกนะ”

เธอได้เหลือบมองมาเรีย และพยายามหยุดโฟลนเอาไว้ แต่ว่าโฟลนก็ยังไม่ยอมหยุดพูด

[แล้วที่ว่ามีไม่ถึงหนึ่งในสี่นั้นมันอะไรกัน? นั่นมันไม่ถูกเหมือนกัน ที่นั่นก็มีภูเขาทรัพย์สินอยู่! นี่เธอกำลังดูถูกตระกูลดยุคแห่งจักรวรรดิ อย่างตระกูลรอชเชอร์งั้นหรอ?]

ในตอนนี้เองได้มีประกายแสงปรากฏขึ้นในดวงตาของมาเรีย

“อ่า…”

คิมฮันนาห์ได้กดหน้าผากและครางออกมาอย่างไม่พอใจ

“…เฮ้”

เมื่อเธอลดเสียงต่ำลง มาเรียก็รีบลุกขึ้นมา

คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาที่เย็นชาออกมา

“ฉันกำลังเตือนเธออยู่นะ หากว่าเธอพูดเรื่องปฏิบัติการนี้ออกไป…”

“พี่สาวคิดว่าฉันเป็นใครกัน!?”

มาเรียได้กระโดดขึ้นด้วยความตกใจ

“แล้วเธอหาของเจอยัง?”

“หืม? โอ้ อ่า เจอแล้ว”

“ถ้างั้นก็ออกไป”

“โอเคๆ ฉันจะไปแล้ว แต่ว่า…”

มาเรียได้แอบเหลือบมองมาที่โฟลน จากนั้นก็ค่อยๆพูดออกมาเพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นความโกรธของคิมฮันนาห์

“พี่สาวช่วยนับรวมฉันเข้าไปในปฏิบัติการนั้นได้ไหม?”

คิมฮันนาห์ได้หันกลับมาจ้องเธอทันที

“นี่เธอกำลังล้อเล่นอะไรอยู่? พวกเรากำลังเตรียมการลงทะเบียนเป็นองค์กรนะ เพราะงั้นเราจะต้องใช้เงินจำนวนมาก และเรายังต้องดูแลสมาชิกทีมของเราอีกด้วย ทำไมเราต้องเอาคนนอกอย่างเธอไปกับเราด้วยล่ะ?”

“ไม่ใช่ว่าพี่สาวต้องการนักบวชหรอ?”

“พวกเราต้องการ แต่ว่าเราจะพาเฉพาะคนในไปเท่านั้น”

“ถ้างั้นฉันก็แค่ต้องกลายเป็นคนในเท่านั้นเอง”

“อะไรนะ?”

คิมฮันนาห์เป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เธอไม่ได้งับเหยื่อแต่เลือกเยาะเย้ยออกไปแทน

“ไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งจะปฏิเสธไปหรอ?”

“ฉันปฏิเสธไปตอนไหนกัน?”

มาเรียได้ตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจ

“ที่ฉันพูดไปคือ อืมม ฉันขอเวลาคิดดูก่อน ใช่แล้วล่ะ ฉันพูดไปแบบนั้น!”

เธอได้พูดขึ้นพร้อมโบกมือไปมา

ซอลจีฮูค่อนข้างจะประทับใจในความสามารถการกลับคำของเธอจริงๆเลย

คิมฮันนาห์ก็ดูจะรำคาญเหมือนกัน ใบหน้าของเธอได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ‘ต่อให้ไม่มีเธอ เราก็หานักบวชดีๆได้’

“แล้วเธอจะเข้าร่วมองค์กรเรางั้นหรอ?”

“ไม่- ชิ ทำไมทุกๆคนถึงรีบแบบนี้ล่ะ?”

มาเรียได้กระแอ่มออกมา

“อืมม… พี่สาวมีสัญญาไหม…?”

คิมฮันนาห์ได้พึมพำออกมาว่าแน่นอนพร้อมทั้งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า

หลังจากอ่านสัญญาแล้ว ใบหน้าของมาเรียก็เริ่มหยุดหงิดขึ้นมา

“สี่ปี? แล้วแบบสามเดือน หกเดือน หรือปีหนึ่งล่ะ?”

“ยัยบ้านี่ เธอเสียสติไปแล้วงั้นหรอ?”

คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจก่อนที่จะบ่นใส่มาเรีย

“เธอคงจะบ้าไปแล้วแน่ๆ พวกเราจะพาเธอไปในปฏิบัติการระดับนั้น แล้วนี่เธอคิดจะมารีดทรัพย์เราไปจนหมด แล้วก็หนีออกไปในเวลาไม่กี่เดือนงั้นหรอ?”

“แต่ว่าสี่ปีมันก็ยังนานไปหน่อย…”

“เงียบไปเลย จีฮูไม่เคยตั้งเงื่อนไขอะไรก็เพราะว่าเขาเป็นคนหัวอ่อน แต่ว่าตราบใดที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไม่มีวันอยู่เฉยๆมองดูเขาถูกเอาเปรียบ”

คิมฮันนาห์ได้พูดนิ่งๆ และเชิดคางขึ้น

“คนเราสามารถจะจูงม้าไปที่บ่อน้ำได้ แต่ไม่อาจจะทำให้ม้าดื่มน้ำได้ หากว่าเธอไม่ต้องการ ถ้างั้นก็ไม่ต้องเข้าร่วม”

มาเรียได้กัดริมฝีปากโดยที่ไม่อาจจะพูดอะไรออกมา

เธอดูจะยังไม่เต็มใจแต่ว่าก็เก็บสัญญาเอาไว้

“พี่สาวจะออกไปจากฮารามาร์คเมื่อไหร่?”

“เร็วๆนี้แหละ พวกเรากำลังจะออกไปดูที่ดินในวันนี้”

นั่นมันหมายความว่าคาเพเดี่ยมได้ผ่านขั้นตอนการคัดกรองของอีวาไปแล้ว

มาเรียได้เม้มปากอยู่นาน

“…โอเค…”

ในท้ายที่สุดเธอก็หันหน้าไปพร้อมความขัดแย้งในใจที่ชัดเจนก่อนที่จะเดินออกไปจากประตู

คราวนี้เธอดูเหมือนจะไปจริงๆแล้ว

“เย้”

[เย้]

คิมฮันนาห์กับโฟลนที่มองไปที่ประตูได้ยิ้มออกมา

‘หืม?’

เขาเข้าใจว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงยิ้ม แต่ว่าทำไมโฟลน?

ไม่นานนักหญิงสาวทั้งสองคนก็มองกันและยิ้มออกมา

คิมฮันนาห์ได้ยื่นมือออกมาก่อน

“เยี่ยม”

[เย้!]

แปะ! โฟลนกับคิมฮันนาห์ได้ปรบมือกัน

“คุณนี่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีจริงๆ ฉันประทับใจมาก”

[ฮึ่ม ถึงฉันจะดูเป็นแบบนี้ก็เถอะนะ แต่ในตอนฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็เคยปกครองแวดวงสังคมชนชั้นสูงด้วยกระสุนที่มองไม่เห็นมาก่อน อย่าได้ดูถูกฉันเชียวล่ะ]

จากน้ำเสียงแล้วโฟลนคงจะชอบในแผนของคิมฮันนาห์และยื่นมือเข้ามาช่วย

ซอลจีฮูได้แต่เกาหัวออกมา

“เธอคิดว่าคุณมาเรียจะตกหลุมพรางหรอ?”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันก็คงจะไม่ได้ผลเลยสักนิด แต่ว่าเธอเพิ่งจะได้ลิ้มรสเงินก้อนใหญ่มาเพราะนาย แล้วเธอจะปล่อยนายไปได้ยังไงกันล่ะ?”

[ฟุฟุฟุ ถึงในใจเธอจะพูดว่า ‘ไม่’ แต่ว่าร่างกายเธอน่าจะซื่อตรงมากกว่า]

“ฮ่าฮ่า! ก็ทำนองนั้นแหละ!”

โฮ่โฮ่! ฮ่าฮ่า!

เมื่อเห็นทั้งคู่หัวเราะออกมา ซอลจีฮูก็เริ่มจะรู้สึกผิดกับมาเรีย

“พวกเราได้หว่านแหออกไปแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็แค่รอเท่านั้น เอาล่ะ เราไปที่อีวากันเถอะ ตามฉันมา”

คิมฮันนาห์ได้เดินนำทางเข้าไปที่ประตูอย่างร่าเริง

ซอลจีฮูได้รีบไล่ตามเธอไปทันที

“ลูกพี่ฮันนาห์…!”

“อ่า ชิ!”

***

คิมฮันนาห์กับซอลจีฮูได้ขึ้นไปในรถม้าในวันนั้น และมาถึงอีวาในเวลาไม่กี่วันต่อมา คิมฮันนาห์ได้นำทางซอลจีฮูอย่างเชี่ยวชาญเนื่องจากว่าเธอเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง

จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คืออาคารดูดีที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักของอีวา

มันก็คือสำนักงานพ่อค้าวสันต์แห่งตะวันออก หนึ่งในองค์กรของอีวา

เมื่อเดินเข้าไปภายในและถูกนำทางไปที่ห้องแล้ว พวกเขาก็ได้เจอเข้ากับชายหนุ่มลงพุง

เขาได้มองมาที่คิมฮันนาห์ด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ไอหย๊า~ ใครจะคิดว่าคุณจิ้งจอกที่ทุกๆคนจะติดต่อไปก่อนจะ…?”

เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหย่อหยิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินมากับเธอ เขาก็ต้องชะงักไป

ซอลจีฮูก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาได้มองสำรวจดูชายตรงหน้าก่อนจะพูดออกมา

“อ่า นายจาก…!”

หากว่าเขาจำไม่ผิด คนๆนี้ก็คือหัวหน้าของทีมลักลอบที่ทีมเขาเจอในระหว่างปฏิบัติการล่าสุด

หัวหน้าคนนั้นก็ยังจำซอลจีฮูได้ และอ้าปากค้างออกมา

“เฮือกกก!”