บทที่ 234 – ตามมา ฉันแบกเอง (1)
“ผมได้ยินมาว่าคุณเพิ่งกลับมาจากปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก”
“ใช่ครับ หากว่าคุณดูในกระเป๋าใบนี้…”
การตรวจสอบเงินทุนของทีมในการจัดตั้งองค์กร และรักษาสภาพองค์กรเอาไว้
“มีคนทั้งหมดสิบคน… ก็มาสำหรับทีมอยู่นะ แต่ว่ามันก็น้อยเกินไปสำหรับองค์กร คุณได้คิดจะรับสมาชิกเข้ามาเพิ่มในเร็วๆนี้ไหม?”
ผู้ดูแลราชวงศ์ได้ถามว่าคาเพเดี่ยมได้มีแผนที่จะเสริมกำลังที่ขาดอยู่หรือไหม
คิมฮันนาห์เป็นคนที่ตอบกลับไปตามปกติ
“มันก็จริงที่คนสิบคนก็น้อยไปบ้าง แต่ว่าคุณจะต้องคำนึงถึงมาตราฐานของทีมด้วย ไม่ว่าจะเป็นดาวรุ่งหรือทหารผ่านศึกที่มีชื่อเสียง คาเพเดี่ยมต่างก็แสดงว่ากองกำลังขนาดเล็กประสิทธิภาพสูงที่สร้างขึ้นมาจากชาวโลกที่มีคุณภาพ
“แต่ว่าสิบคนก็ยังน้อยไปหน่อยนะ”
“ฉันไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ใช่องค์กรแรกที่จะเป็นองค์กรที่สร้างจากกลุ่มองค์กรระดับสูงขนาดเล็กนี่นา”
“คุณคงจะพูดถึงเรื่องบัลแฮสินะ คุณก็น่าจะรู้ว่าไม่มีองค์กรนั้นอยู่อีกแล้ว นอกไปจากนี้พวกเขาก็ยังก่อตั้งองค์กรด้วยคนจำนวนยี่สิบคน ที่สำคัญไปกว่านั้นบัลแฮก็เป็นองค์กรในเครือของโกกูเรียวที่ประกอบด้วยคนระดับสูงที่ทรงพลังที่สุด”
“นั่นก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่ว่าที่นัวร์ก็ยังมีองค์กรแม่มดผมขาวอยู่นี่”
“นั่นมันที่นัวร์ ผมเป็นผู้ดูแลของอีวา”
“แม้กระทั่งในอีวา-“
ขณะที่คิมฮันนาห์กำลังจะเริ่มตอบกลับไป ผู้ดูแลราชวงศ์ก็ส่ายหัวออกมา
“พอเถอะ พอแล้วล่ะ ผมเข้าใจในมาตราฐานที่สูงของคาเพเดี่ยม ผมก็แค่อยากจะรู้ว่าพวกคุณคิดที่จะหาสมาชิกเพิ่มอีกไหม”
“แน่นอนว่าเราต้องหาเพิ่มอยู่แล้ว”
คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับไปอย่างสงบโดยที่ยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“ในทันทีที่คาเพเดี่ยมกลายเป็นองค์กร คาเพเดี่ยมจะเข้าร่วมการประมูลเขตพื้นที่เป็นกลางในเดือนมีนาคม”
“หืมม… คุณคงจะมั่นใจมากเลย”
“มั่นใจหีอ? ขาวโลกที่เป็นคนฆ่าผู้บัญชาการที่หนึ่งของปรสิตอยู่ที่นี่เชียวนะ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีชาวโลกคนไหนทำได้นับตั้งแต่ที่พาราไดซ์ถูกเปิดขึ้นมา จริงๆแล้วกระทั่งสหพันธรัฐก็ยังทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย”
คิมฮันนาห์ได้เสริมขึ้นด้วยการบอกว่าไม่ว่าจะมีองค์กรเข้าร่วมมากขนาดไหนเขตพื้นที่เป็นกลางก็จะต้องเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน จากนั้นซอกกูนีร์ถึงได้พยักหน้าออกมา
หลังจากทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมกันและกัน จู่ๆซอกกูนีร์ก็วางเอกสารลง
“…มีเรื่องบางอย่างที่ผมอยากจะรู้เป็นการส่วนตัวอยู่”
เขาได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และมองมาที่ซอลจีฮู
“อย่างที่คุณคิมฮันนาห์ได้พูดเอาไว้ ชาวโลกซอลจีฮูคือวีรบุรุษสงครามของฮารามาร์ค”
“…”
“นับตั้งแต่แรกฮารามาร์คคือที่ตั้งสำนักงานของเขา ผมจะขอพูดตรงๆเลยนะ การทำองค์กรภายในฮารามาร์คของพวกคุณจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะงั้นเหตุผลอะไรกันที่ทำให้คุณอยากจะไปที่อีวากันล่ะ?”
ในที่สุดคำถามที่ซอลจีฮูรออยู่ก็มาถึงแล้ว
คิมฮันนาห์ได้บอกกับเขาไว้แล้วว่าผู้ดูแลราชวงศ์จะต้องถามคำถามนี้กับเขาอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งคิมฮันนาห์ก็เป็นคนแรกที่ตอบกลับมา
“คำถามนี้เกี่ยวข้องกับเอกสารที่เราส่งไปไหม?”
“ในทางเทคนิคแล้วฉันขอยอมรับเลยว่าไม่ แต่ว่าสำหรับฉันและอีวาล้ว นี่คือคำถามที่สำคัญมากๆ”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมากว่าเขาจะต้องได้ยินคำตอบ
คิมฮันนาห์ได้ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“นี่เป็นคำถามที่ดูจะไม่ตรงประเด็นนะ… แต่ว่าฉันก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่คุณกังวล ฉันยังจำได้ถึงสถานการณ์ของอีวา”
“สถานการณ์?”
คิ้วของซอกกูนีร์ได้ขมวดขึ้นมา
“ใช่แล้ว สถานการณ์”
เธอได้พูดออกมาโดยไม่หลบสายตาเขา
“ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณกังวลจริงๆ แต่ว่าหากว่าคุณต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้อีวาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ว่าการลงทุนกับซอลจีฮูมันคุ้มค่าหรอกหรอ? ฉันมั่นใจว่าคุณก็คงจะได้ยินข่าวลือบ้างนะ”
ซอกกูนีร์ได้เงียบลงไปเป็นครั้งแรก และนั่งฟังคิมฮันนาห์
“ฉันจะไม่พูดในสิ่งที่คุณอาจจะรู้อยู่แล้วซ้ำอีก หากว่าคุณคำนึงถึงความสำเร็จของซอลจีฮู ไม่ใช่ในสงครามเท่านั้น แต่ยังเป็นในฮารามาร์ค…”
คิมฮันนาห์ได้ตั้งใจเว้นช่องว่างเอาไว้ให้เขาเติมด้วยตัวเองมันจะเป็นผลดีมากกว่า
หลังจากเงียบอยู่สั้นๆ ซอกกูนีร์ก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“…ในฐานะผู้ประเมินแล้ว ฉันก็มักจะได้ยินในสิ่งดีๆอยู่เสมอ พวกเขาจะทำให้ฉันฝันถึงอนาคตอันสดใสอยู่ทุกครั้งไป แต่ว่าในความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้ามอยู่เสมอ”
“ฉันไม่ได้ขอให้คุณเชื่อฉัน”
คิมฮันนาห์ส่ายหัวออกมา
“ฉันกำลังขอให้คุณดูซอลจีฮูกับเส้นทางที่เขาได้เดินมาตลอดจนถึงตอนนี้ เพราะมันก็คือความจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย”
ซอกกูนีร์ได้ก้มหัวลงไปราวกับเขาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป
ในตอนนั้นเองจางมัลดงก็เริ่มพูดออกมา
“กูนีร์ นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเลิกเกษียณ?”
เขาได้ใช้ไม้เท้าชี้ไปที่ซอลจีฮู
“มันก็เพราะเจ้าหนูนี่ การหลอกล่อของเอียนก็ส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลจริงๆที่ทำให้ฉันกลับมาที่พาราไดซ์ก็เพราะเจ้าหนุ่มนี่”
จางมัลดงได้สนับสนุนในคำอธิบายของคิมฮันนาห์อย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินการสนับสนุนในจังหวะพอเหมาะ ซอกกูนีร์ก็พยักหน้าออกมาก่อนจะหันไปมองซอยูฮุย
เขากำลังถามว่าเธอมีข้อมูลอะไรจะเสริมให้เขานำไปคิดด้วยไหม
ซอยูฮุยได้ประสานมือเข้าด้วยกันและยิ้มออกมาอย่างสดใส
“จีฮูของเรา… เป็นเด็กดีจริงๆ”
“…ว่ายังไงนะครับ?”
ซอกกูนีร์ได้กระพริบตา
จากนั้นเขาก็ไอแห้งๆออกมา
“อะแฮ่ม ผมเข้าใจในส่งที่พวกคุณจะบอกนะ ผมก็ยังได้ยินเรื่องของคุณซอลจีฮูมามากมาย และราชินีก็สนใจในตัวเขาอย่างมากเช่นกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคิมฮันนาห์ได้กว้างยิ่งขึ้น
“ผมไม่ได้พยายามจะหาข้อบกพร่อง ที่ผมถามมันเป็นเพราะความสงสัยส่วนตัวล้วนๆเลย ผมอยากจะขอคุยกับหัวหน้าคาเพเดี่ยมเป็นการส่วนตัวจะได้ไหม?”
นี่เป็นคำขอที่กระทันหัน แต่ว่าคิมฮันนาห์กลับลุกขึ้นในทันที
“แน่นอนสิ พวกเราจะออกไปเอง เพราะงั้นเชิญคุยกันได้ตามสบายเลย”
หลังจากลูบหลังซอลจีฮูแล้ว เธอก็ได้มุ่งหน้าไปที่ประตู สมาชิกคนอื่นๆก็ได้ค่อยๆตามเธอออกไปจนภายในห้องเหลือแค่ซอลจีฮูกับซอกกูนีร์เท่านั้นเอง
ซอกกูนีร์ได้เริ่มพูดออกมา
“ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“อะไรนะครับ?”
“คุณเป็นหัวหน้าคาเพเดี่ยม ผมอยากคุยกับคุณ แต่ว่าคุณเอาแต่ให้ตัวแทนคุยกับผมแทน”
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา
“จริงๆแล้วฮันนาห์ค่อนข้างจะมีไฟกับเรื่องอะไรแบบนี้”
“มีไฟงั้นหรอ? ก็นะ เธอค่อนข้างจะดุดันจริงๆแหละ”
ซอกกูนีร์ได้ยิ้มออกมา
“ทุกๆครั้งที่ผมพยายามจะขุดคุ้ยอะไรให้ลึกลงไปด้วยตรรกะที่น่าเชื่อถือ เธอก็จะเบี่ยงประเด็นออกไปเสมอ เธอกระทั่งหาทางตอบกลับมาในทุกๆครั้งและทำให้ผมต้องเงียบลงไป วิธีการที่เธอได้เตรียมคำตอบและค่อยๆหลอกล่อผมให้ไปตามทางที่เธอกำหนดไว้ก็ด้วย นี่มันเหมือนกับผมถูกจิ้งจอกหลอกล่ออยู่จริงๆเลย มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยจากการที่ต้องพูดคุย”
ซอกกูนีร์ได้ส่ายหัวออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
เมื่อเห็นสายตาที่อ่อนล้าของเขายังคงจับจ้องไปที่แก้วชา ซอลจีฮูก็ดันแก้วชาไปข้างหน้า
“ทำไมคุณไม่พักหายใจสักหน่อยล่ะ? ดื่มชาสักหน่อยก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่คุณจิ้งจอกคนนั้นไม่ได้อยู่ก็ทำให้ผมดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
เขาได้พ่นลมออกจากจมูกก่อนที่จะส่ายหัว และเอียงคางออกมา
“ยังไงก็ตามผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ”
‘อีกแล้ว?’
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
“เหตุผลอะไรทำให้คุณมาที่อีวา?”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราเพิ่งจะ-“
“นั่นมันเป็นคำตอบของคุณจิ้งจอกคนนั้น มันไม่ใช่ของคุณ”
ซอกกูนีร์ได้พูดออกมาเรียบๆ
“นี่อาจจะหยาบคายไปหน่อย แต่ว่าผมได้ติดต่อกับราชวงศ์ฮารามาร์คก่อนจะมาที่นี่ และได้ถามคำถามกับพวกเขาอยู่มากมาย”
“…”
“หากว่าคุณเป็นชาวโลกจากข่าวลือมันก็ไม่มีทางที่ฮารามาร์คจะปล่อยคุณไป อย่างน้อยพวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงตัวคุณเอาไว้ แต่ว่าการที่คุณจะมาที่อีวา… บางทีมันอาจจะมีปัญหาบางอย่างที่สาธารณะชนไม่ได้รับรู้อยู่ แต่ยังไงนี่ก็เป็นแค่ในความคิดของผม”
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา
“ผมสงสัยจังเลยว่าคุณจะได้เจอกับคำพูดแบบไหน”
ซอกกูนีร์ก็ยังหัวเราะออกมา
“ฟุฟุ มันค่อนข้างจะยุ่งเหยิงไปหมดเลย โดยเฉพาะคำพูดจากเจ้าหญิงเทเรซ่า นายมันแมวขโมย นายคิดว่าจะมาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตได้งั้นหรอ หากว่านายกล้าพอเขาไป อีวาจะต้องถูกลบไปจากแผนที อะไรทำนองนี้แหละครับ”
“นะ นั่นมันโหดร้ายไปหน่อยมั้ง”
“โดยรวมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เจ้าหญิงเทเรซ่ามักจะทะเลาะกับราชินีของอีวาอยู่บ่อยๆ ผมรู้ดีว่าเธอก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
ใช่แล้ว เทเรซ่าไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ แล้วนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลทำให้ซอกกูนีร์เอามาพูดเล่น
“ยังไงก็ตามผมรู้ว่าเหตุผลที่คุณมาที่อีวาไม่ใช่เพราะปัญหาบางอย่างแล้ว และนี่ก็ยิ่งทำให้ผมต้องสงสัยขึ้นไปอีก”
“หากว่าผมบอกคุณว่าทำเพื่อทั้งพาราไดซ์… นี่จะพอไหมครับ?”
“ผมเกลียดคำตอบที่คลุมเครือแบบนี้ที่สุดเลย”
นี่คือสิ่งที่ซอลจีฮูก็เห็นด้วยเช่นกัน
เขาได้เกาหัวออกมา
ตามปกติแล้วเขาจะตอบออกไปว่า ‘เพราะผมไม่อยากจะสู้กับซิซิเลีย’
แต่ว่านั่นดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่ซอกกูนีร์ยินดีเลย
เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจจะเลือกอีกคำตอบหนึ่ง
“ถ้าคุณสัญญาว่าจะไม่ขำ ผมจะบอกคุณ”
“ตราบเท่าที่ผมรู้สึกว่าคุณจริงใจ ผมจะไม่หลุดยิ้มออกมาเลย”
ซอกกูนีร์ได้ยื่นหน้ามาอย่างช้าๆด้วยความสนใจ
“ผมยังไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่ว่า…”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เผยอีกหนึ่งเป้าหมายที่เขาต้องทำให้สำเร็จในอีวาออกมา
“นั่นก็เพราะสหพันธรัฐ”
“สหพันธรัฐ?”
ดวงตาของซอกกูนีร์ได้เบิกกว้างขึ้นมากับคำถามที่คาดไม่ถึง
“ใช่แล้ว ผมมั่นใจว่าคุณก็น่าจะรู้เรื่องของสหพันธรัฐอยู่มากมาย เรื่องความสำคัญของสหพันธรัฐต่อพาราไดซ์ และเรื่องความสัมพันธ์กับมนุษยชาติ”
“ไม่มีอะไรต้องพูดเลย สหพันธรัฐกับมนุษยชาตได้ร่วมชะตากรรมเดียวกันอยู่ แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะห่างเหินกันมากก็ตาม”
ซอลจีฮูกังวลว่าซอกกูนีร์จะพูดอะไรอย่างเช่นสหพันธรัฐเป็นการร่วมตัวกับเผ่าพันธุ์ต่างดาว และเป็นคนนอก แต่ว่าดูเหมือนว่าเขาจะไม่คนประเภทยึดติดอะไรแบบนั้น
ตัดสินจากสิ่งที่เขาพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐกับมนุษยชาติแล้ว มันดูเหมือนว่าเขาขะรู้ถึงสถานะของสถานการณ์ปัจจุบันอยู่
เมื่อคิดได้แล้วว่าซอกกูนีร์เป็นคนที่เขาคุยด้วยได้ ซอลจีฮูจึงพูดต่อ
“หนึ่งในเหตุผลที่ผมพยายามจะย้ายไปที่อีวาก็เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติกับสหพันธรัฐ การก้าวข้ามความสัมพันธ์ในอดีตที่คลุมเครือเพื่อมุ่งหน้าไปสู่พันธมิตรกัน ผมหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้มากยิ่งกว่านี้”
“อืมม แต่ว่าคุณก็ทำเรื่องนี้ในฮารามาร์คได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ? แน่นอนว่าถึงแม้อีวาจะอยู่ติดกับสหพันธรัฐที่สุด และมีความขัดแย้งกันอยู่เล็กน้อย แต่ว่า-“
“แน่นอนว่านั่นคือเหตุผล”
ซอลจีฮูได้พูดออกมานิ่งๆ
“ความขัดแย้งระหว่างสหพันธรัฐกับอีวาไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย ผมเพิ่งจะได้เจอเข้ากับปัญหานั้นด้วยตัวเองด้วยซ้ำไป”
สีหน้าของซอกกูนีร์ได้มืดมนลงไปเมื่อซอลจีฮูได้จี้จุดถึงความชั่วร้ายที่หยั่งรากลึกอยู่ในอีวา
“หากว่าความขัดแย้งพวกนี้ยังไม่ถูกคลี่คลาย การพัฒนาความสัมพันธ์กับสหพันธรัฐก็เป็นได้แค่ฝันเท่านั้น”
“…”
“ต่อให้จัดการปัญหาความขัดแย้งไปได้แล้ว แต่พวกเราก็ยังต้องจัดการกับปัญหาสะสมที่มีกับพันธมิตรมนุษย์สัตว์อีกด้วย…”
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา
ซอกกูนีร์ได้เงียบไปและหลับตาลงไป
“สหพันธรัฐ เขาบอกว่าสหพันธรัฐ…”
เขาได้พูดคำเดิมซ้ำๆอยู่นานก่อนที่ในที่สุดจะผุดรอยยิ้มออกมา
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ยินอะไรแบบนี้”
“ว่าไงนะครับ?”
“พวกเราจะจะทำให้เห็นอีวามากมาย พวกเราจะปกป้องอีวา นี่คือคำพูดที่ผมมักจะได้ยินในการประเมิน แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นชาวโลกหวังว่าจะมาอีวาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเรากับสหพันธรัฐ”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบางๆแล้ว มันดูเหมือนว่าซอกกูนีร์จะไม่ได้ไม่พอใจ
“ก็ได้ หากว่าคุณพูดความจริง ถ้างั้นผมมีอีกคำถามที่อยากจะถามคุณ”
ซอลจีฮูไม่ได้แสดงอะไรออกมา แต่ว่าเขาก็คิดว่าซอกกูนีร์ค่อนข้างจะเข้มงวดไปหน่อย
ต่อมาซอกกูนีร์ได้ยื่นหมัดออกมาตรงหน้าซอลจีฮู
“มีความชั่วร้ายอยู่สองฝ่าย”
เขาได้ยกแขนซ้ายขึ้นมา
“ฝ่ายหนึ่งคือควบคุม และดูจะเป็นฝ่ายดี แต่ว่าธาตุแท้ก็คือความชั่วร้าย”
ต่อมาเขาได้ยกแขนขวาขึ้น
“อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นความชั่วร้ายเช่นเดียวกัน แต่ว่าฝ่ายนี้เป็นความชั่วร้ายทั้งหมดทั้งมวล กลุ่มนักเลงและนักต้มตุ๋นที่ไม่สนใจใครทั้งนั้น พวกมันเอาแต่ทำแต่งานที่สกปรกอยู่ทุกประเภท”
จากนั้นเขาก็ประกบมือซ้ายและขวาเข้าด้วยกัน
“สิ่งสำคัญก็คือความชั่วร้ายทั้งสองฝ่ายนี้กำลังป้องกันกันและกันไม่ให้บ้าคลั่งและทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือก้คือพวกเขากำลังคานอำนาจกันอยู่นั่นเอง”
ซอกกูนีร์ได้ถามซอลจีฮูออกมา
“หากว่าคุณต้องเลือกระหว่างความชั่วร้ายสักฝ่ายหนึ่ง คุณจะเลือกฝ่ายหนึ่ง?”
ซอลจีฮูได้หรี่ตาออกมา
นี่ดูเหมือนกับจะเป็นคำถามผ่านๆ แต่ว่าในเมื่อมันออกมาจากปากของผู้ดูแลราชวงศ์อีวาจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้ นี่จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลภายในอีวาอย่างแน่นอน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ซอลจีฮูก็ตัดสินใจจะตอบกลับไปตรงๆ นี่มันดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ซอกกูนีร์ต้องการ
เมื่อเขาจัดระเบียบความคิดได้แล้ว เขาก็ยิ้มออกมา
“ผมไม่คิดเลยว่าจะถูกถามแบบนี้”
“หืมม? เคยมีคนถามคุณมาก่อนงั้นหรอ?”
“ไม่หรอก แต่ว่าผมเคยเห็นมันมาก่อนภายในเกม”
“เกม?”
“อ่า อย่าได้คิดว่ามันเป็นแค่ความบันเทิงธรรมดาๆหรอกนะ เพราะว่ามันเกิดขึ้นในโลกเสมือน”
ซอลจีฮูได้พูดต่อ
“ตัวละครหลักของเกมได้บอกเอาไว้ว่า ความชั่วร้ายก็คือความชั่วร้าย”
ดวงตาของซอกกูนีร์ได้กลายเป็นเฉียบคม
“จะมากหรือจะน้อย… มันก็ไม่ต่าง ความชั่วไม่ว่ายังไงก็คือความชั่ว หากว่าผมต้องเลือกสักฝ่าย ผมก็ขอไม่เลือกมันเลยจะดีกว่า”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา
“มันตราตรึงใจผมมากๆเลย คุณเป็นคนที่ทำให้ผมนึกถึงประโยคนี้”
“…ผมขอถามให้แน่ใจนะ”
ซอกกูนีร์ได้พูดขึ้นหลังจากฟังคำตอบของซอลจีฮูเงียบๆ
“การไม่เลือกนั่นมันหมายความว่าคุณจะเป็นแค่ผู้ชม?”
“ไม่ครับ”
ซอลจีฮูส่ายหัวออกมา
“มันหมายความว่าผมจะไม่ปล่อยทั้งสองฝ่ายไป อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่ผมจะบอก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ซอกกูนีร์ก็ครางออกมา
“เพื่อประโยชน์กับสหพันธรัฐ… ความชั่วร้ายก็คือความชั่วร้าย…”
เขาได้ทิ้งตัวลงไปบนโซฟา และถอนหายใจยาวออกมา
เตาะ เตาะ เขานั่งครุ่นคิดพร้อมเคาะโต๊ะออกมา จากนั้นก็มองไปที่แก้วชาก่อนจะยกมันขึ้นมา
เขาได้ค่อยๆยกมันขึ้นดื่มอย่างช้าๆ
มันราวกับว่าเขากำลังลิ้มรสคำตอบของซอลจีฮู
“คุณจะไม่ปล่อยทั้งสองฝ่ายไป…”
หลังจากผ่านไปหลายนาทีเขาถึงได้วางแก้วชาลงและพูดออกมา
“พูดตรงๆเลยนะ ระดับของเรื่องในมือมันเกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจได้ชัดเจน”
ปากของเขาได้ขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับกำลังฝันดี”
“แต่ว่าการที่คำพูดมันมาจากชายที่ฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ผู้มีชื่อเสียง มันคงไม่ใช่คำพูดปากเปล่าอย่างแน่นอน”
ก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ
หากว่าเป็นโชฮงหรือฟีโซราที่เป็นคนพูดคำเหล่านี้ล่ะ?
ซอกกูนีร์ก็อาจจะเคารพในความกล้าของพวกเธอ แต่ว่ามันคงไม่ได้ทำให้เขาประทับใจมากขนาดนี้
แต่ว่าซอลจีฮูต่างออกไป
นับตั้งแต่ที่เขาได้เอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อในหุบเขาอาร์เดนไปจนถึงสงครามครั้งล่าสุด เขาได้ก้าวออกไปข้างหน้าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง และส่องประกายออกมาในท้ายที่สุด
“พูดตามตรงเลยนะ ความรู้สึกของผมได้ตัดสินใจแล้วนับตั้งแต่ที่ได้รับเอกสาร คุณจะเรียกมันว่าความหวังของคนแก่ก็ได้”
“คุณหมายความว่า…”
“แต่ว่านะ-“
ซอกกูนีร์ได้เม้มปาก และค่อยๆพูดออกมา
“ในการประเมินนี้มีปัญหาอยู่เล็กน้อย…”
เมื่อรู้สึกความลำบากใจในน้ำเสียงของผู้ดูแลราชวงศ์ ซอลจีฮูก็เอียงหัวออกมา ซอกกูนีร์ได้รีบปฏิเสธทันที
“อย่าเข้าใจผิดไป ปัญหามันไม่ใช่เพราะคาเพเดี่ยม แต่ว่ามันเป็นเรื่องภายในของอีวา”
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน
***
เมื่อคุยกับจบ ซอกกูนีร์ก็ได้กลับไปที่อีวาหลังจากทิ้งคริสตัลสื่อสารเอาไว้ และบอกให้เขาติดต่อมาหากแก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว
สมาชิกคนอื่นๆของคาเพเดี่ยมได้รีบเข้ามาในห้องทันทีที่การประเมินจบลงไป แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงนั่งเงียบอยู่บนโซฟา
ในตอนนี้เขากำลังสับสน
จากคำอธิบายของซอกกูนีร์มีปัญหาอยู่สองอย่าง
อย่างแรก
[ในตอนนี้อีวาไม่มีที่ดินเหลืออยู่เลย]
[พวกเราไม่มีที่ดินไว้ให้คาเพเดี่ยมเช่าเลยเนื่องจากกลุ่มพันธมิตรในอีวาได้ขโมยที่ดินไปหมดแล้ว นี่รวมกระทั่งที่ดินพระราชวังของอีวาด้วย…!]
[พวกเราได้พยายามปกป้องสิทธิในที่ดินเอาไว้เต็มที่แล้ว แต่ว่าพวกเราก็จะต่อต้านอย่างรุนแรงหากว่าพวกเราพยายามบังคับไล่พวกเขาออกไป ผมไม่อาจจะรับประกันได้ว่าราชินีจะเห็นด้วย]
[คุณพอจะสามารถหาที่ดินด้วยตัวเองได้ไหม? พวกเราไม่ขออะไรมากหรอกนะ ตราบใดที่อย่างน้อยที่ดินตรงความต้องการขั้นต่ำไป ผมก็จะใช้อำนาจของผมเป็นคนรับรองให้เอง]
อย่างที่น้อย
[แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ คุณก็ควรจะรับนักบวชเข้าร่วมทีมด้วยเช่นกัน]
[คาเพเดี่ยมมีความสมดุลระหว่างนักธนูกับนักรบอันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ว่าจุดอ่อนใหญ่ที่สุดเลยก็คือการไม่มีนักบวชอยู่เลย]
[แน่นอนว่าบุตรแห่งลูซูเรียก็เป็นนักบวช แต่ว่าทุกๆคนต่างก็รู้ว่าในปัจจุบันเธอไม่อาจจะทำหน้าที่ในฐานะนักบวชได้]
[ถึงคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่ว่าอีกไม่นานข่าวลือเรื่องการย้ายไปที่อีวาของคาเพเดี่ยมก็จะกระจายออกไป และผมก็ไม่มั่นใจว่าองค์กรในอีวาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร]
[พวกเขาอาจจะพยายามกดดันพวกคุณ หากว่ามันเกิดขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะยกความผิดเรื่องสมาชิกของคาเพเดี่ยม]
[หากว่าคาเพเดี่ยมได้นักบวชที่มีทักษะมาสักคน มันก็จะมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และผมก็จะช่วยพูดด้วยอีกแรงได้]
จากสิ่งที่เขาพูดก็สรุปออกมาสั้นๆได้ว่า
พวกเขาจะต้องหาที่ดินด้วยตัวเอง และถ้าเป็นไปได้ก็ให้หานักบวชเข้าร่วมทีมด้วย
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาถึงจากไปโดยไม่พูดเรื่องที่ดินเลยล่ะ?”
เมื่อคิมฮันนาห์กลับมาหลังจากส่งซอกกูนีร์กลับไปแล้ว ซอลจีฮูก็บอกกับเธอถึงปัญหาทั้งสองอย่าง
หลังจากได้ยินคำอธิบายแล้ว คิมฮันนาห์ก็แค่นเสียงขึ้น
“นี่มันไม่นับเป็นปัญหาเลย”
“จริงหรอ?”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ราชวงศ์จะให้เช่าที่ดินไปหมดแล้ว ทำให้เราต้องไปหาซื้อที่ดินมาจากองค์กรอื่น สำหรับการหานักบวชก็แค่ต้องดูว่าในทีมเรามีใครบ้าง แล้วก็มีเงินอยู่เท่าไหร่ นายคิดว่าการจะหานักบวชมาทำสัญญาระยะสั้นมันจะเป็นเรื่องยากงั้นหรอ?”
จากท่าทางการพูดของคิมฮันนาห์ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่ควรจะหนักใจเลยสักนิด
“ลูกพี่ฮันนาห์…!”
“นายพูดบ้าอะไรเนี้ย”
ซอลจีฮูได้พุ่งเข้าไปกอดเธอ ในขณะที่คิมฮันนาห์ใช้เท้ายันเขาออกไป
“เอาล่ะ มาทำงานกันเถอะ ฉันจะไปติดต่อหาคนๆหนึ่งสักหน่อย”
“ใครหรอ?”
“นายจะหาที่ดินไม่ใช่หรอ? ถ้างั้นมันก็แน่นอนว่าฉันจะต้องติดต่อไปหาองค์กรในอีวาไงล่ะ”
“เธอมีเส้นสายอยู่ที่นั่นด้วยหรอ?”
“ก็นะ ถึงฉันจะได้ทิ้งหมายเลขติดต่อที่เคยทำไว้กับซินยองทั้งหมดไปแล้ว แต่ว่า…”
มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ยกยิ้มขึ้นมา
“นายคิดว่าฉันจะไม่เก็บอะไรเอาไว้หน่อยเลยหรอกหรอ? หลังจากได้ยินว่านายกำลังจะไปอีวา ฉันก็ได้พกมาด้วยสักสองสามเบอร์ก่อนจะลาออกไป ยังไงก็ตามรอก่อนนะ”
คิมฮันนาห์ได้หายเข้าไปในห้องของเธอ และในเวลาไม่ถึง 20 นาที เธอก็ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
จากนั้นเธอก็พูดขึ้น
“นัดหมายเรียบร้อยแล้ว”