ตอนที่ 233

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 233 – สายใยที่ถักทอเข้าด้วยกัน (2)

ในคืนนั้นได้มีการจัดปาร์ตี้เล็กๆขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับคิมฮันนาห์ที่เข้ามาร่วมทีม

“ฉันจ่ายเอง เพราะงั้นเอาให้เต็มที่เลย”

โชฮงได้ยกแก้วขึ้นพูดออกมา

เธอที่คิดว่าได้รอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจของซอลจีฮูแล้วได้วางแผนจัดงานนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง

สมาชิกคนอื่นๆต่างก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาอย่างยินดี

ไม่ว่าคนเราจะร่ำรวยยังไง แต่ของฟรีนั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว

ทุกๆคนต่างก็กินดื่มอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งจบงานเลี้ยง

น่าแปลกที่คิมฮันนาห์ไม่ได้ปฏิเสธในความหวังดีของโชฮงเลย

ไม่สิ ไม่ใช่แค่ไม่ปฏิเสธเท่านั้น แต่เธอยังได้เข้าร่วมงานจัดเลี้ยงอย่างสนุกสนานไปพร้อมทุกๆคน ท่าทีที่เป็นทางการของเธอได้หายไปอย่างสิ้นเชิง

“คาดไม่ถึงเลยนะ ฉันคิดว่าเธอจะไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนี้ซะอีก”

เมื่อซอลจีฮูยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด คิมฮันนาห์ที่จมูกแดงแล้วก็ลดแก้วออกจากปาก

“บริษัทก็คือการทำงานร่วมกัน ในเมื่อพวกเขาจัดงานเลี้ยงเพื่อให้ฉัน แล้วหากฉันไม่ร่วมงานเลี้ยงพวกเขาจะคิดยังไงกันล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้พูดว่าการเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ก็เป็นส่วนสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน

ในแง่มุมนี้ได้แสดงให้เห็นแบบว่าเธอได้กลายเป็นหัวหน้าคุมงานของบริษัทอย่างซินยองได้ยังไงกันในเมื่อเธอยังอายุไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำไป

จากนั้นเอง

ขณะที่บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาเบาๆ

ด้วยเสียงโห่ร้องจากงานจัดเลี้ยงทำให้แทบไม่มีใครได้ยินเสียงเคาะประตูนี้ จะมีก็แต่ฟีโซราที่อยู่ใกล้ประตูเท่านั้นที่ได้ยิน

“ดูเหมือนจะมีคนมานะ ใครล่ะ? เข้ามาสิ”

เสียงประตูเปิดได้ดังขึ้น และหญิงสาวงดงามก็ได้โผล่ออกมา

ดวงตาของทุกๆคนได้เบิกกว้างขึ้น

นั่นก็เพราะซอยูฮุยกำลังยืนอยู่พร้อมแบกกระเป๋าอยู่บนหลัง แถมยังมีถุงใส่ของอยู่เต็มมือไปหมดอีกด้วย

ซอยูฮุยได้ค่อยๆเดินมาก่อนที่จะมองดูงานเลี้ยงด้วยสายตาประหลาดใจ

“เอ่อ… สวัสดีค่ะ”

จางมัลดงได้กลายเป็นสับสนจนลืมเคี้ยวแพนเค้กในปาก

ความสนใจนี้อาจจะทำให้ซอยูฮุยอายขึ้นมาจนหน้าเธอแดงขึ้น เธอได้ค่อยๆวางสัมภาระลงไป และพูดขึ้น

“อืมม… คือจีฮูบอกให้ฉันมา…”

เมื่อได้ยินแบบนี้พวกเขาก็มองสลับไปมาระหว่างสองคน ก่อนจะพยักหน้าออกมา

มันไม่ใช่ว่าทีมพวกเขาไม่ได้ไม่รู้จักเธอเลย ด้วยนิสัยของซอลจีฮูแล้ว มันก็เป็นไปได้ที่ซอลจีฮูจะชวนเธอมางานเลี้ยงด้วย

แต่ทำไมเธอถึงแบกสัมภาระพวกนั้นมาด้วยล่ะ?

เธอเอาอาหารมาด้วยหรอ?

ในตอนนั้นเองซอลจีฮูที่เป็นคนเสนอให้เธอเข้าร่วมคาเพเดี่ยมก็ได้ลุกขึ้นยืน

“พี่สาวหมายความว่า…!”

ซอยูฮุยได้ยิ้มอ่อนๆออกมาพร้อมทั้งรวบผมไปไว้ข้างหู

“ใช่แล้ว…”

คำพูดต่อมาของเธอได้ทำให้เกิดความตกตะลึงครั้งใหญ่

“ฉันได้ไปคิดมาดีแล้ว… ฉันตัดสินใจว่าจะพึ่งคาเพเดี่ยมสักหน่อย…”

ความเงียบได้เข้าปกคลุมสำนักงานในทันที

“พรืดดดด!”

ต่อมาคิมฮันนาห์ได้ถึงกับพ่นเครื่องดื่มออกมา และมาแชล จิโอเนียก็สะอึกไป แพนเค้กในปากของจางมัลดงก็หล่นลงไปกับพื้น

“ยินดีต้อนรับครับ!”

จะมีก็แต่ซอลจีฮูที่วิ่งออกไปอ้าแขนต้อนรับเธอ

“เข้ามาสิครับ อ๊าา โอเคเลย พี่สาวมาได้ถูกเวลาพอดีเลย”

เมื่อเขาได้นำทางและถือกระเป๋าให้เธอ เธอก็ค่อยๆเดินเข้ามาอย่างสุภาพ

เพียงเท่านี้งานเลี้ยงต้อนรับคิมฮันนาห์ก็ได้กลายเป็นการแนะนำตัวของซอยูฮุยไปแทน

หลังจากได้เผชิญหน้ากับความตกตะลึงครั้งใหญ่ สมาชิกคนอื่นๆของคาเพเดี่ยมก็พอจะยอมรับความจริงตรงหน้ากันได้บ้างแล้ว

“ไม่มีทาง… นี่คุณจะเข้าร่วมกับพวกเราจริงๆหรอ?”

“นี่มันบ้าไปแล้ว ฉันโชคดีจริงๆเลยที่เข้าทีมนี้มา การมีบุตรแห่งลูซูเรียอยู่ด้วย ทีมๆนี้จะต้องมีอนาคตอันสดใสรออยู่อย่างแน่นอน”

โชฮงได้พึมพำออกมาด้วยความสับสน ในขณะที่ฟีโซราหัวเราะออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ขณะที่เห็นแต่ล่ะคนพึมพำกับตัวเอง ซอลจีฮูก็ได้รีบพูดขึ้นเพื่อชี้แจงสถานการณ์ใหม่

“ไม่หรอก มันไม่ใช่แบบนั้น”

เขาจะต้องอธิบายทุกอย่างตั้งแต่ตอนเพื่อที่จะได้ไม่มีความเข้าใจผิดกันทีหลัง

“พี่สาวยูฮุยจะไม่เข้าร่วมงานใดๆภายนอกของคาเพเดี่ยม พี่สาวยูฮุยจะแค่ตั้งใจอยู่กับการฟื้นตัว และผมจะช่วยพี่สาวให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เท่านั้น นี่แหละคือเงื่อนไขที่พี่สาวยูฮุยเข้าร่วมกับพวกเรา”

ซอยูฮุยได้พยักหน้าออกมาเมื่อคนอื่นๆได้มองมาที่เธอเพื่อยืนยันให้มั่นใจ

“…ใช่แล้ว”

นี่เป็นการเผยความลับเรื่องความสามารถส่วนใหญ่ในฐานะนักบวชของซอยูฮุยได้หายไป พูดง่ายๆก็คือในปัจจุบันเธอแบกรับหนี้ก้อนใช้ที่ต้องชดใช้จากการที่เธอได้ฝืนดึงเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตออกมาใช้

แม้ว่าเธอจะฟื้นตัวมาได้เล็กน้อยจากการภาวนาและเครื่องรางที่ซอลจีฮูให้ไป แต่ว่าเธอก็ยังห่างไกลเกินกว่าที่จะหายดี

ข้อจำกัดความสามารถของเธออาจจะสามารถค่อยๆฟื้นตัวกลับมาเองได้ แต่ว่าความจริงที่เธอเป็นหนี้อยู่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง

และในทุกๆครั้งที่เธอใช้เวทย์ก็มีแต่จะเพิ่มหนี้มาขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการไม่ให้เธอใช้ความสามารถจนกว่าเธอจะชดใช้หนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยืมมาได้หมด

“สิ่งที่จีฮูพูดยังคงฝังอยู่ในใจของฉัน… เพราะงั้นฉันก็เลยตัดสินใจมาอย่างหน้าไม่อาย ฉันจะพยายามไม่รบกวนทุกๆคนนะคะ ฝากตัวด้วยค่ะ”

ซอยูฮุยได้โค้งให้กับทุกๆคนด้วยสีหน้าขอโทษ

บนใบหน้าของแต่ล่ะคนต่างก็มีร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นมา แต่ว่าก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาโดยไม่ระวัง

พวกเขารู้ว่าเธอเสียพลังไปก็เพราะซอลจีฮูผู้เป็นหัวหน้าของพวกเขา เพราะงั้นพวกเขายังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?

นอกไปจากนี้มันก็ชัดเจนว่าหากพูดออกไปอย่างคำว่า ‘อ่อ~ งั้นเธอก็มาอยู่เฉยๆสินะ’ มันก็มีแต่จะทำให้จางมัลดงตะโกนขึ้น และซอลจีฮูไม่พอใจพวกเขาเท่านั้น

จางมัลดงได้รีบลุกขึ้นตามมาทันที

“ยินดีต้อนรับนะ! โอ้ ขอบคุณมากนะที่มา คิดดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณก็แล้วกันนะ จีฮู ทำได้ดีมาก!”

จางมัลดงได้แสดงสีหน้าคึกครื้นขึ้นมาต่างไปจากปกติ

ไม่ว่าซอยูฮุยจะมาเข้าร่วมอย่างเป็นทางการหรือเข้ามาอยู่เฉยๆ แต่แค่การมาของเธอก็ทำให้จางมัลดงต้องตกตะลึงมากแล้ว

นอกไปจากนี้คาเพเดี่ยมก็ไม่ได้จะเสียเปรียบอะไรต่อให้ซอยูฮุยจะไม่ทำอะไรเลยจริงๆ ถึงพลังของเธอจะถูกผนึกอยู่ แต่ชื่อ ‘ซอยูฮุย’ ก็เป็นสัญลักษณ์ในพาราไดซ์ที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้อยู่ดี

แม้ว่าเธอจะเคยทำงานในทีมที่เธอตั้งขึ้นมาชั่วคราว แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่บุตรแห่งลูซูเรียได้เลือกเข้าสังกัดทีม

แค่ข้อจริงเพียงข้อเดียวนี้ก็มากพอจะดึงความสนใจจากสาธารณะชนกันแล้ว และพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ยากจะประเมินด้วยเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น…

“…เฮ้”

คิมฮันนาห์ได้เรียกซอลจีฮูด้วยรอยยิ้มมีความสุข

“นี่นายส่งเอกสารไปหรือยังล่ะ?”

ซอลจีฮูร้อง “อ่า” ออกมาทันที

เขาวางแผนไว้ว่าจะเอาไปส่งตอนเช้า แต่หลังจากแก้โชฮงแล้ว เขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย

“ฉันลืม…”

ซอลจีฮูได้หยิบเอาซองเอกสารออกมาจากกระเป๋า และมองไปที่คิมฮันนาห์ เขาคิดว่าเธอจะตะโกนใส่เขาในทันที…

“ดีมาก!”

แต่น่าแปลกที่เธอกลับชมเขาก่อนที่จะดึงซองเอกสารไปจากมือเขา

“กุญแจผี! นายมีกุญแจผีอยู่ตั้งสามอัน!”

เธอได้พูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจออกมา ก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นั่ง

ซอลจีฮูได้แต่มองดูคิมฮันนาห์วิ่งออกไปจากห้องอย่างสับสน

ในเวลาเดียวกัน…

“อ่า… ไม่นะ.. เวรเอ้ย ทำไมกัน…”

โชฮงได้ยกมือก่ายหน้าผากด้วยความสิ้นหวัง

***

“มากินข้าวกัน”

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ซอยูฮุยได้ปลุกทุกๆคนด้วยน้ำเสียงใจดี

แต่ว่าเธอก็ได้ยิ้มแห้งๆในเวลาต่อมาเนื่องจากว่าเธอรู้สึกว่ามีคนแอบมองเธออยู่อย่างลับๆ

แม้ว่าจะผ่านไปวันหนึ่งแล้ว แต่ตวามตกตะลึงของเมื่อวานก็ยังไม่ได้จางหายไปจนหมด

นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันก็เหมือนกับดาราดังระดับโลกได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาๆ

ซอลจีฮูที่้เป็นคนชวนเธอเข้ามากำลังนั่งมองซอยูฮุยด้วยรอยยิ้ม

ซอยูฮุยที่รู้สึกได้ถึงสายตาของเจาจึงหันกลับมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ทำไมถึงยิ้มแบบนั้นล่ะจีฮู?”

“ไม่มีอะไรครับ”

“หืมม?”

“ก็แค่ผมชอบแบบนี้”

ซอลจีฮูตอบกลับพร้อมมองไปมา แม้กระทั่งขาของเขาก็ยังแกว่งไปมา มันชัดเจนมากว่าตอนนี้เขากำลังเต็มไปด้วยความสุข

“ทำไมนายถึงมีความสุขแบบนี้ล่ะ?”

ซอยูฮุยได้หัวเราะ และบีบแก้มซอลจีฮูเบาๆ

“ไปกินข้าวเถอะ รีบกินก่อนมันจะเย็นนะ”

“โอเคครับ”

“ตอนเที่ยงนายอยากจะกินอะไรล่ะ? ฉันทำได้หมดเลยนะ ขอแค่บอกมาก็พอ”

“ไม่ครับ”

ทันใดนั้นซอลจีฮูก็จับมือซอยูฮุยเอาไว้

“พี่สาวไม่ใช่แม่ครัว ผมไม่ได้ชวนพี่สาวเข้าทีมให้มาทำอาหารให้เรานะครับ”

ซอลจีฮูได้มองไปที่เธอ และพูดออกมาด้วยสายตาครุ่นคิด

“พี่สาวไม่ต้องกังวลอะไรเลยนะตอนที่อยู่ที่นี่ แล้วก็หากต้องการอะไรก็แค่บอกผมมา”

“โอ้ จริงหรอ? ดีจังเลยนะที่ได้ยินแบบนี้”

“แน่นอนสิครับ!”

ซอลจีฮูไม่ได้แค่พูดให้ดูเท่เท่านั้น

ระดับความนึกคิดส่วนที่สามของเขาคือบัญญัติทองคำ

ซอลจีฮูจะตอบแทนน้ำใจที่เธอมอบให้เขากลับคืนไป

ใช่แล้ว นี่คือความตั้งใจดีของเขา… แต่ปัญหานั่นก็คือวิธีการ

“ถ้าพี่สาวต้องการต่อให้เป็นดวงดาวหรือดวงจันทร์บนท้องฟ้าผมก็จะเอามาให้ได้ นับจากนี้ไปผมจะไม่ปล่อยให้มือพี่สาวต้องสกปรกเลย “

ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของซอยูฮุยได้กลายเป็นผงะไป

“ดะ ได้เลย ฉันดีใจมากเลยนะที่นายทำให้ฉันถึงขนาดนี้”

“จริงๆนะครับ ผมพูดจริงๆ”

“งะ งั้นสินะ แต่ว่านะจีฮู นายรู้ไหมว่านั่นมันหมายความว่ายังไง…?”

“แน่นอนสิว่าผมรู้ ผมจะไม่ปล่อยให้มีใครมาแตะต้องตัวพี่สาวได้แม้แต่ปลายนิ้ว แม้กระทั่งราชินีปรสิตก็ไม่มีวัน”

เมื่อซอลจีฮูเผยความตั้งใจออกมาตรงๆ ซอยูฮุยก็ได้มองเขาในมุมใหม่ เธอได้ยิ้มออกมาจากความสุขและความรู้สึกที่เธอไม่คุ้นเคย

‘พระเจ้า…’

“จีฮู”

“ครับ?”

“มานี่สิ”

ในท้ายที่สุดซอยูฮุยก็ทนไม่ไหว และกอดซอลจีฮูเอาไว้”

“นาบเป็นคนที่แล้วก็จริงใจ… ช่างน่าอายจริงๆเลย!”

เธอได้ถูแก้มกับหัวของซอลจีฮูด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

ซอลจีฮูก็มีความสุขเหมือนกันแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าต้องอายอะไรก็ตาม

จากนั้นเอง

แกร๊ก คิมฮันนาห์ที่กลับมาหลังจากออกกำลังกายยามเช้าได้ตัวแข็งทื่อทันทีที่เข้ามาในสำนักงาน

“…อะไรเนี้ย?”

ซอยูุยกำลังโอ๋ซอลจีฮู

เขาได้รับการดูแลเหมือนราชาทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรเลย

ลมเย็นๆได้พัดเข้ามาตามซอกประตูจนทำให้ตัวเธอหนาวขึ้นมา

“นี่พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่…”

เธอได้พึมพำออกมาราวกับกำลังพูดกับตัวเอง ก่อนจะแค่นเสียง และเดินผ่านพวกเขาไป

บอกไว้ก่อนเลยว่าคิมฮันนาห์คือสาวโสดอายุ 28 ปีที่ไม่เคยมีประสบการณ์การออกเดทมาก่อนเลย

ด้วยเหตุผลบางอย่างจู่ๆเธอก็นึกถึงแม่ของเธอที่เอาแต่ถามเธอว่าเมื่อไหร่เธอจะแต่งงาน เพราะน้องสาวของเธอได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีไปแล้ว

ในวันนี้ความคับข้องใจของคิมฮันนาห์ได้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก

***

หลังจากส่งเอกสารใหม่ไป การตอบกลับก็ได้ถูกส่งกลับมาหลังจากผ่านไปสิบวันพอดี

ผู้ส่งเป็นผู้ดูแลราชวงศ์อีวา ซอกกูนีร์

ซอลจีฮูได้ค่อยๆแกะซองเอกสารออกมาเหมือนกับนักเรียนกำลังเปิดผลคะแนนสอบเข้า

จดหมายนี้ได้ถูกเขียนด้วยลายมืออย่างสละสลวยงดงาม แม้ว่าเนื้อหาภายในจะค่อนข้างยาย แต่สรุปแล้วก็คือการตอบว่า ‘ใช่’

พร้อมด้วยคำว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่อีวา’ แถมยังมีข้อความแสดงถึงความต้องการอยากจะเจอกับคาเพเดี่ยมเป็นการส่วนตัวอีกด้วย พวกเขาได้สอบถามกระทั่งเวลาเหมาะที่สุดที่พวกเขาจะมาเยี่ยมชมอีกด้วย

ซอลจีฮูได้กำหมัดออกมา

ตามปกติแล้วจะต้องมีการส่งจดหมายตอบกลับกันอยู่หลายฉบับก่อนที่จะมีการนัดแนะเวลาพบเจอกัน เพราะงั้นคิมฮันนาห์จึงประหลาดใจกับการที่พวกเขาได้รับคำตอบแบบนี้ในครั้งแรก

มันชัดเจนมากว่าอีวาก็สนใจในการเคลื่อนไหวของพวกเขา

เนื่องจากว่าในความคิดของเขามันไม่ใช่เรื่องแย่เลย เขาจึงคัดลอกข้อความของคิมฮันนาห์ตอบกลับไป

เนื้อหาสาระสำคัญก็คือพวกเขาสามารถจะมาเยี่ยมพวกเขาได้ตามต้องการ

และไม่กี่วันต่อมาก็ได้มีเรื่องที่ยิ่งน่าตกตะลึงเกิดขึ้น

อีวาได้ตอบกลับมาโดยบอกไว้ว่าจะมาเยี่ยมโดยเร็วที่สุด ซอกกูนีรี์เป็นคนกล่าวว่าจะมาด้วยตัวเอง

ผู้ดูแลราชของทางวงศ์ที่ดูแลทั้งพระราชวังอีวาได้เผยความตั้งใจที่จะมาเยี่ยมของเขาออกมา

“ว้าว… ตามปกติแล้ว แม้ว่าจะถึงขั้นตอนการซื้อที่ดินแล้ว นายก็จะมีโอกาสเจอกับผู้ดูแลราชวงศ์แค่เล็กน้อยเองนะ…”

คิมฮันนาห์ได้เน้นย้ำว่าผู้ดูแลของราชวงศ์คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ปกติแล้วจะเพียงแค่รับรายงานจากลูกน้องเขาเท่านั้น จากนั้นเธอก็ได้อ่านจดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“กุญแจผี”

ในท้ายที่สุดเธอก็ชูมือตะโกนออกมา

ซอลจีฮูได้หัวเราะขึ้นในใจ

***

รุ่งเช้าของวันนัดพบได้มาถึงแล้ว

ในวันนี้สมาชิกคาเพเดี่ยมทุกๆคนมีงานยุ่งกันหมด พวกเขาได้ทำความสะอาดทุกๆซอกมุมของสำนักงาย ระบายกลิ่นแอลกอฮอล์ และซ่อมแซรอยผุพังตามกาลเวลา

พวกเขาได้ทำทุกๆอย่างเพื่อที่จะทำให้ที่นี่สะอาดและดูเป็นมืออาชีพ

และเพื่อความปลอดภัยซอลจีฮูได้เริ่มการเตรียมสอบครั้งสุดท้ายในระหว่างที่คิมฮันนาห์ออกไปต้อนรับผู้ดูแลของราชวงศ์อีวา

“เฮ้ เจ้าไข่”

เขาได้เรียกไข่ก้อนกลมๆที่กำลังกินข้าวอยู่ ไข่ได้หยุดชะงัก และหันหลังกลับมา 45 องศา

“วันนี้พวกเรามีแขกคนสำคัญมา เพราะงั้นช่วยอยู่เงียบๆหน่อยนะ ยังไงงานของนายก็คือกินจนอิ่มแล้วก็นอนหลับไปใช่ไหมล่ะ?”

ซอลจีฮูได้ขอร้องออกมาอย่างจริงจังพร้อมทั้งหยิบเมล็ดข้าวที่ติดอยู่บนผิวไข่

ไข่ได้หันกลับไปกินต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เฮ้ อย่างน้อยก็ตอบฉันหน่อยสิ… อ่า นายไม่มีปากนี้นา”

ซอลจีฮูได้ถอนหายใจ และจิ้มไข่ที่กำลังยุ่งอยู่กับการกลิ่น

ไข่ได้ผงะไป และเด้งตัวขึ้นมาอยางไม่พอใจ

“โอ้ นี่คงเป็นวิธีตอบเขาของนายสินะ”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับเขาคิดอะไรดีๆออก

“โอเค ถ้าใช้ก็เด้งหนึ่งครั้ง ถ้าไม่ใช่ก็เด้งห้าพันครั้งแล้วกันนะ”

“เด้ง…!?

ไข่ได้ชะงักไปในระหว่างที่กำลังเด้งอยู่

“ไอ้เจ้านี่ นายจะตอบว่าไม่ไม่ใช่หรอกหรอ?”

หลังจากจั๊กจี้บนผิวไข่แล้ว ซอลจีฮูก็รวบมือเข้าด้วยกัน และขอร้องออกมา

“ยังไงก็ขอเถอะนะ! ถ้าจู่ๆนายเด้งไปรอบห้อง พวกเขาได้ตกใจตายแน่เลย”

ไข่ได้หันไปด้านข้างราวกับว่ามันกำลังไม่พอใจ

จากนั้นมันก็กลับไปกินต่อ

“อย่าลืมที่ฉันบอกไปนะ! ถ้านายเอาแต่ใจ ถ้างั้นฉันจะเอานายไปทำเป็นไข่ดาวเลย”

หลังจากข่มขู่อย่างรุนแรงแล้ว ซอลจีฮูก็กลับไปนั่งบนโซฟา และรอให้คิมฮันนาห์กลับมาพร้อมกับคนที่เหลือ

และเมื่อผ่านไปประมาณ 10 นาที ประตูก็เปิดขึ้นพร้อมเสียงพูดคุย

“ค่อนข้างจะโทรมหน่อยนะคะ แต่เชิญเลยค่ะ”

“อืมม”

ชายคนหนึ่งได้เดินตามคิมฮันนาห์เข้ามาด้านใน

ซอลจีฮูได้ยืนขึ้นจากโซฟา และมองไปที่เขา

คนๆนี้มีส่วนสูงอยู่ประมาณ 175 ซม. ผมตรงกลางส่วนใหญ่ของเขาได้ล่วงไปแล้วทำให้เขาดูค่อนข้างจะหัวล้าน

‘เขา.. น่าจะอายุ 50 หรือ 60 สินะ?’

แม้ว่าร่างกายเขาจะถูกชุดคลุมปกปิดไว้อยู่ แต่จากรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ยังเด็กเลย นอกไปจากนี้ผมที่อยู่ตรงขมับของเขาได้ถูกย้อมไปด้วยสีขาว และจากลักษณะผมที่ชี้ตั้งของเขาได้ทำให้ซอลจีฮูนึกไปถึงหนึ่งในตัวหลักของเทคเค็น

‘คนๆนี้…’

ผู้ดูแลของราชวงศ์อีวา ซอกกูนีร์

จากแว่นตาและท่าเดินอันโอ่อ่าของเขาได้ทำให้เขาดูเหมือนชายชราแข็งแรง อย่างน้อยที่สุดนี้คือความประทับใจแรกที่ซอลจีฮูมีต่อเขา

แต่ว่าทันใดนั้นเขาก็หยุดเท้าลง และคำนับให้กับจางมัลดงด้วยความเคารพ

“ผมได้ยินว่าคุณเกษียรไปแล้ว.. ผมดีใจนะครับที่คุณเลือกจะกลับมา”

น้ำเสียงสูงวัยได้ดังออกมา

“นี่เป็นข่าวเก่าไปแล้ว ขอบคุณคุณมากนะที่เดินทางมาที่นี่”

จางมัลดงก็ยังตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ต่อมาเมื่อซอยูฮุยได้ลุกขึ้นโดยบอกว่าเธอจะเอาชามาเสิร์ฟ ผู้ดูแลราชวงศ์ก็ยังโค้งคำนับให้เธอ

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณซอยูฮุย”

“ค่ะ สุขภาพราชินีเป็นยังไงบ้างคะ?”

ซอยูฮุยได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ก็เหมือนเดิมครับ จริงๆแล้วท่านก็ค่อนข้างอ่อนแรงอยู่หน่อยๆ… แต่ยังไงก็ตามในตอนเห็นเอกสารผมก็สงสัยในสิ่งที่ได้เห็นอยู่ ผมไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะมีชื่อของบุตรแห่งลูซูเรียถูกเขียนเอาไว้…”

“ฉันมีเหตุผลอยู่น่ะค่ะ ฟุฟุ”

“ผมรู้ข่าวแล้วครับ ผมไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร…”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่วงนี้ฉันมีความสุขมากๆเลย บางทีมันอาจจะเป็นพรก็ได้นะ”

“ค่อยโล่งใจหน่อยที่ได้ยินว่าคุณสบายดี”

ซอลจีฮูได้มองดูผู้ดูแลราชวงศ์พูดคุยอย่างสุภาพด้วยแววตาสงสัย

ในครั้งแรกซอกกูนีร์ดูจะเป็นคนที่เถรตรง แต่เขาคงไม่ควรจะตัดสินใจใครจากหน้าปกจริงๆ

ขณะที่ซอลจีฮูได้เปิดใช้นพเนตรด้วยความสงสัย ผู้ดูแลราชวงศ์ก็ได้หันสายตามา สีหน้าของเขาได้กลายเป็นดุดันขึ้นมาทันทีก่อนที่จะเปิดปากพูดขึ้นมา

“ยินดีที่ได้พบกัน ผมชื่อซอกกูนีร์”

น้ำเสียงของเขาค่อนข้างจะดุดัน

“ยินดีต้อนรับครับ! ขอบคุณที่เดินทางมาที่นี่นะครับ”

“ไม่เลยสักนิด นี่เป็นการเดินทางไกลที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว”

ต่อมาซอลจีฮูก็ได้แนะนำให้ซอกกูนีร์นั่งลง

“ชาค่ะ”

ซอยูฮุยได้ส่งชาที่เธอชงเองให้กับเขา

ซอกกูนีร์ได้รับไปด้วยความขอบคุณ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ดื่มมั่นลงไป เขาวางแก้วเอาไว้บนโต๊ะ และพลักออกไปด้านข้างเล็กน้อย

“อย่างแรกเลย… มีอยู่หลายอย่างที่ผมอยากจะยืนยัน”

เขาได้พูดออกมาพร้อมกับหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋า

เขาได้เข้าเรื่องทันที ซอกกูนีร์ได้มองตรงไปที่เอกสารจากนั้นจู่ๆก็หันไปด้านข้าง

“คุณคือชาวโลกที่มีชื่อว่าฟีโซราผู้ที่เคยเป็นสมาชิกหลักของกุหลาบขาวใช่ไหม?”

“ใช่ ฉันเอง”

ฟีโซราได้ตอบกลับไปอย่างไม่แยแส เธอไม่ได้ดูจะยินดีเลยสักนิดที่ถูกเอาข่าวเก่ามาพูด

แต่ว่าเมื่อคิมฮันนาห์ส่งสายตาเฉียบแหลมไปให้กับเธอ เธอก็ยิ้มหวานออกมา

“ใช่ค่าาา~ ฉันเอง~”

“หืม… ถ้างั้นคุณคนข้างๆคุณก็คงเป็นนักบวชนักรบ จองโชฮง”

“เทมพลาร์ต่างหาก ฉันไม่ชอบคำพูดที่ว่า ‘นักบวชนักรบ’ เลยสักนิด มันฟังดูไม่ดีเลย”

โชฮงได้ตอบกลับไปพร้อมกอดอกขึ้นมา

“ขออภัยด้วย”

ซอกกูนีร์ได้ตอบกลับอย่างสงบ จากนั้นก็ขยับสายตาอีกครั้ง

ฮิวโก้ได้นั่งตัวตรงด้วยสีหน้าประหม่า แต่แล้วสายตาซอกกูนีร์ก็เลื่อนผ่านเขาไป

“และคุณคงจะเป็นนักธนูเหล็กกล้า…”

“มาแชล จิโอเนีย”

“อืมม ผมมีคำถามจะถามคุณ ผมได้ยินมาว่ามีหลายองค์กรได้ยื่นข้อเสนอให้คุณหลังจากคุณกลับมา เหตุผลอะไรกันที่ทำให้คุณปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด และเลือกเข้าร่วมคาเพเดี่ยม?”

“ผมมีอยู่สองเหตุผล”

นี่เป็นคำถามที่กระทันหัน แต่ว่ามาแชล จิโอเนียก็ได้ตอบกลับอย่างราบรื่น

“อย่างแรกคือเพราะหัวหน้าซอลจีฮูช่วยชีวิตผมไว้ สองคือเขาสามารถทำตามความต้องการของผมได้”

“ความต้องการ?”

มาแชล จิโอเนียได้เงียบไป และหรี่ตาลง

“…เพื่อที่จะทำลายล้างความบริสุทธิ์อันโสมม”

“อ่า นักเวทย์โฟตอน มาริก้า ลาริซ่… ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่บอกนะ”

ซอกกูนีร์ได้เลือกสายตาไปทางขวาอีก มันดูเหมือนเขาจะเข้าใจเหตุผลของมาแชล จิโอเนียแล้วจริงๆ

เมื่อเห็นผู้ดูแลราชวงศ์ค่อยๆพลิกหน้าเอกสารอย่างช้าๆ ในที่สุดซอลจีฮูก็รู้ตัว

การประเมินได้เริ่มต้นไปแล้ว