บทที่ 232 – สายใยที่ถักทอเข้าด้วยกัน (1)
“สมกับชื่อของเธอจริงๆเลย ช่างเป็นหญิงสาวที่ทะเยอทะยาน และกล้าหาญจริงๆ”
หลังจากการประชุมจบลงจางมัลดงก็ได้พูดกับตัวเองเบาๆ เขาดูเหมือนจะพอใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานแล้ว ไม่ว่าใครมองมาก็ชัดเจนมากว่าเขาบอกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา
“จริงๆแล้วผมกังวลกับการที่เธอแข็งกร้าวเกินไปในการประชุมครั้งแรก”
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย”
จางมัลดงได้แค่นเสียงออกมา
“เราไม่ได้กำลังอยู่บ้านนะ ใครก็ถามที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอบอกก็ควรจะออกไปซะเดี๋ยวนี้เลย”
“…”
“จากที่ฉันได้ยินมา เธอไม่ได้พูดอะไรผิดเลย ที่ทุกๆคนไม่พูดอะไรก็เพราะทุกๆคนต่างก็ยอมรับในสิ่งที่เธอพูด และนั่นก็ลืมถึงโชฮงเองด้วย นายก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอ?”
“แต่ว่า-“
“แต่? แต่อะไร?”
จางมัลดงได้ขัดเขาอย่างไม่แยแส
“ที่พวกเขาได้มีความสุขอิสระภาพมาจนถึงตอนนี้นั่นก็เพราะพวกเขาทำงานภายใต้ร่มธงของคาเพเดี่ยมที่ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ นายยังคิดจะใช้ชื่อคาเพเดี่ยมต่อไปอีกงั้นหรอ?”
“…ไม่ครับ”
“ใช่แล้ว นายไม่ใช้มัน สำหรับถังไวน์ใหม่ก็ต้องมีการชงไวน์ใหม่ด้วยเช่นกัน แต่ล่ะทีมต่างก็ต้องมีกฎพื้นฐานที่จำเป็นต้องรักษาไว้แต่แรกแล้ว คาเพเดี่ยมน่ะแค่พิเศษเท่านั้นเอง”
เมื่อเห็นว่าซอลจีฮูไม่ได้ขัดขึ้นหรือไม่เห็นด้วย จางมัลดงก็พูดต่อ
“จีฮู การเป็นสมาชิกขององค์กรนั่นมันหมายถึงการต้องใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสังคมที่สมาชิกต้องมีคุณค่าและความสนใจในสิ่งเดียวกัน”
“ใช่ครับ”
“ในตอนนี้อาจจะมีแค่สิบคนเท่านั้น แต่ว่าจำนวนสมาชิกก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามองค์กรที่ขยายขนาดขึ้นไป บางทีจำนวนคนอาจจะเกินสองหลักขึ้นไปสามหลักเลยก็ได้”
จางมัลดงได้มองไปรอบๆสำนักงานเพื่อดูว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ซอลจีฮู
เขาได้ลดเสียงลง และกระซิบออกมา
“เมื่อจำนวนคนเพิ่มขึ้นก็จะมีโอกาสในการแตกหักกันขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งมันอาจจะเกิดขึ้นเหมือนกับยี่ซอลอาและโซรา”
ซอลจีฮูเข้าใจในทันทีเมื่อจางมัลดงได้พูดถึงยี่ซอลอากับฟีโซราเป็นตัวอย่าง
“นี่คือข้อจำกัดที่ทำให้นายต้องมีกฎเอาไว้รับมือกับปัญหานี้ นายจะต้องปล่อยให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขสถานการณ์นี้เอง แต่แน่นอนว่านายจะต้องไม่ให้อิสระพวกเขามากเกินไป หากไม่เช่นนั้นองค์กรของนายก็จะกลายเป็นวุ่นวาย ฉันเคยเห็นองค์กรมากมายต้องพังลงเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว”
“…”
“นี่คือเหตุผลที่นายต้องมีกฎข้อบังคับ มันคือพื้นฐานที่จะทำให้ทุกๆอย่างยุติธรรม คุณคิมฮันนาห์ก็รู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”
จากนั้นจางมัลดงก็ถอนหน้ากลับไป และนั่งลงบนโซฟา
“ฉันแค่พูดเพื่อเอาไว้เท่านั้นแหละ อย่าได้ดูถูกเธอเชียวนะ”
“ครับ?”
“อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับในตอนนี้ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนมีความสามารถอย่างเธอถึงมาช่วยเรา…”
จางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆออกมา
“แต่ว่าจากสายตาที่เต็มไปด้วยไฟของเธอ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าความตั้งใจของเธอเป็นของจริง ภายในใจเธอคงกำลังกัดฟันอยู่แน่”
“…ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
ซอลจีฮูค่อยๆพยักหน้าออกมา
หลังจากพาคิมฮันนาห์เข้ามาแล้ว
พวกเขาก็ยังจะต้องผ่านขั้นตอนอันซับซ้อนมากมายเพื่อลงทะเบียนเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ และคิมฮันนาห์ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เพียงคนเดียวในคาเพเดี่ยม
ผลก็คือนับตั้งแต่วันแรกที่มาถึงฮารามาร์ค เธอก็ต้องเริ่มยุ่งอยู่กับงานหนัก
ซอลจีฮูได้ตามคิมฮันนาห์ไปทั่วเพื่อช่วยให้เธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเกี่ยวกับพวกเขา ในระหว่างนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้ก็คือคิมฮันนาห์จะรักษาตารางเวลาตามปกติไว้ให้ได้ไม่ว่าเธอจะยุ่งแค่ไหน
นับตามนาฬิกา คิมฮันนาห์จะเข้านอนในตอนตี 2 และจะตื่นขึ้นมาในตอน 6 โมงเช้าโดยไม่มีข้อยกเว้น
เธอจะเริ่มต้นด้วยการล่างหน้า และออกกำลังกายเบาๆ จากนั้นหลังจากที่กินอาหารเช้าแล้ว เธอก็จะเริ่มงานทันที
นอกเหนือจากช่วงพักกลางวันกับเย็นสองครั้งสั้นๆแล้ว เธอจะใช้เวลาทั้งหมดของตัวเองไปกับการทำงาน
ซอลจีฮูอดรู้สึกแย่ขึ้นมาไม่ได้เพราะเธอเป็นเหมือนกับพนักงานบริษัทที่ทำงานล่วงเวลาในทุกๆวัน
ผลจากการมุ่งมั่นทำหน้าที่บริหารโดยไม่ยอมเสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียวทำให้คิมฮันนาห์ได้เริ่มแสดงผลลัพธ์ออกมาในเวลาแค่ไม่กี่วัน
ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นเลยก็คือโชฮง มาแชล จิโอเนีย ฟีโซรา และฮิวโก้ต่างก็คายเงิน 55 เหรียญทอง และอัญมณี 120 ก้อนออกมา
ซอลจีฮูได้แต่มองไปที่เหรียญทองที่ถูกส่งมอบให้กับคิมฮันนาห์อย่างเหม่อลอย ทั้งหมดรวมแล้ว 220 เหรียญ และอัญมณี 480 ก้อน… นี่มันเป็นจำนวนที่มหาศาลมากจริงๆ
“…ฉันรู้สึกเหมือนการรับรู้เรื่องเงินของฉันจะแปลกไปแล้วสิ”
“ทำไมล่ะ?”
“เมื่อก่อนไม่ต้องคิดเรื่องเหรียญทองเลย แค่ไม่กี่สิบเหรียญเงินฉันก็คิดว่ามันมากแล้ว…”
การใช้เหรียญเงินไม่กี่สิบเหรียญล่อลวงมาเรียนั่นมันรู้สึกเหมือนกับความฝันเลย
“เอาเถอะนะ ฉันไม่โทษนายหรอก ในตอนนายเปิดกระเป๋าให้ฉันดู ฉันก็แทบจะกรี๊ดออกมาเหมือนกัน”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาขำๆ
“อ่า จีฮูนายก็ต้องเอา 20% ออกมาจากส่วนแบ่งของนายเหมือนกัน”
“?”
“แค่ได้ 20% มาจากสมาชิกผู้ก่อตั้งก็มากพอสำหรับการเริ่มต้นแล้ว นายไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระแค่เพราะนายเป็นหัวหน้าหรอกนะ สิ่งสำคัญมันคือการแยกแยะทรัพย์สินส่วนตัวกับขององค์กรออกจากกัน”
เธอต้องถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวแบบไหนกันนะถึงฉลาดแบบนี้?
ซอลจีฮูได้เตรียมตัวรับมือกับรายจ่ายจำนวนมหาศาลเอาไว้แล้ว เพราะงั้นเขาจึงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้เมื่อได้ยินแบบนี้
เขาได้ส่งเหรียญทองออกไป 110 เหรียญทอง และอัญมณี 240 ก้อนอย่างมีความสุข ซึ่งในจำนวนนี้ได้นับรวมส่วนแบ่งของโฟลนด้วย
แต่ว่าเขาก็ได้เหรียญทองคืนมาส่วนหนึ่งเมื่อมาแชล จิโอเนียได้มาขอซื้อหน้าไม้ของเขาอย่างเป้นทางการ
หลังจากเจรจาต่อรองราคากันสักหน่อยแล้ว พวกเขาก็ได้ตั้งราคาเอาไว้ที่ 20 เหรียญทอง แม้ว่าหน้าไม้นี่จะเป็นของชั้นยอดจากงานจัดเลี้ยงที่ซึ่งทำราคาได้ถึง 30 เหรียญทอง แต่ซอลจีฮูก็ให้ส่วนลดพิเศษเนื่องจากว่าพวกเขาเป็นสมาชิกทีมเดียวกัน
แม้ว่าเรื่องเล็กๆน้อยนี่ก็ทำให้มาแชล จิโอเนียรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก
สำหรับซอลจีฮูที่นับว่าหน้าไม้เป็นของขวัญ และไม่ได้คิดจะเอาคืนกลับมาจนกระทั่งคิมฮันนาห์พูดถึง เขาจึงเห็นว่านี่เป็นรายรับที่คาดไม่ถึงเลย
ที่ยิ่งทำให้เขามีความสุขขึ้นไปอีกก็คือนี่นับเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา ไม่ใช่เงินทุนขององค์กร
ในอีกด้านหนึ่งฟีโซราได้ปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เธอเกือบจะถูกส่วนลดจำนวนมากล่อลวง แต่แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตัดสินใจซื้อชุดเกราะทั้งตัวบวกกับอาวุธไปด้วย
ในพาราไดซ์แล้วอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับชาวโลกที่เป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงนั้นจะมีราคาที่สูงมากเป็นพิเศษ
ยิ่งในเมื่อมันเป็นอุปกรณ์ที่มาจากงานจัดเลี้ยงด้วยแล้ว ราคาของมันจึงมหาศาลมาจนทำให้ฟีโซราลังเลที่จะซื้อมันทั้งหมดมา
ในท้ายที่สุดฟีโซราก็ได้กลืนน้ำตาคืนอุปกรณ์กลับมา จากนั้นเธอก็ได้ตกลงจะเซ็นต์สัญญาเช่ายืมเป็นระยะเวลาสี่เดือนโดยเริ่มนับจากวันที่คาเพเดี่ยมได้ลงทะเบียนเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ
ระบบขององค์กรได้ค่อยๆเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้
***
“เรียบร้อยแล้ว”
คิมฮันนาห์ได้บิดตัวออกมาหลังจากที่วางแผ่นกระดาษเอาไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
“ไว้ฉันจะดูอีกครั้งแล้วส่งไปให้นายในวันพรุ่งนี้นะ สิ่งที่นายต้องทำก็มีแค่ส่งมันให้กับราชวงศ์อีวาผ่านทางจดหมาย เขียนชื่อของนายเป็นผู้ส่ง แล้วก็ให้ผู้รับเป็นราชวงศ์ ฉันจะบอกที่อยู่กับนายเอง”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาในขณะที่พลิกเอกสานร
“เธอบอกว่านี่เป็นก้าวแรกหรอ?”
“ใช่แล้ว โดยพื้นฐานเรากำลังขอความเห็นจากราชวงศ์อีวา ทีมของเราอยากจะตั้งถิ่นฐานและทำงานให้เมืองของพวกเขา นายคิดว่ายังไงล่ะ? ตอนนี้นายจำสิ่งที่ฉันบอกเกี่ยวกับการตอบสนองของพวกเขาได้ใช่ไหม?”
นี่เป็นคำถามที่กระทันหัน แต่ซอลจีฮูก็ตอบกลับไปในทันทีราวกับรู้อยู่แล้ว
“เอกสารที่เธอส่งคือ…”
“อ่า นายไม่ต้องลงรายละเอียดหรอก แค่เข้าเรื่องไปเลย”
“จดหมายนี่เริ่มต้นจากจักรวรรดิเมื่อ 500 ปีก่อน-“
“เฮ้!”
เมื่อคิมฮันนาห์เปลี่ยน้ำเสียงไป ซอลจีฮูก็หัวเราะออกมา และพูดใหม่
“การตอบสนองของพวกเขาตามปกติแล้วจะมีหนึ่งในสองอย่างนี้ อนุญาตให้พวกเราอยู่อย่างเป็นทางการ หรือนัดพูดคุยกับเรา”
คิมฮันนาห์ได้เดาะลิ้นขึ้น และถอนหายใจออกมา
“อย่าเอาแต่ทำเป็นเล่นจะได้ไหม… ยังไงก็ตามอย่างแรกนั่นคือการปฏิเสธเราอ้อมๆ หากว่าการเข้าไปในอีวาเป็นเรื่องง่ายๆ งั้นคนอื่นก็ทำไปแล้วใช่ไหมล่ะ? เว้นก็แต่ว่านายจะมีประวัติอาชญากรร้ายแรงที่ติดประกาศจับแหละนะ”
“ใช่แล้ว”
“อย่างหลังนั่นหมายความว่าอีวาสนใจแล้ว พวกเขาจะมาหาพวกเรา ซึ่งนั่นคือตอนที่การคัดกรองเริ่มต้นขึ้น”
“พวกเขาจะมาหาเรา? ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมหรอ?”
“แล้วจะมีวิธีอื่นที่พวกเขาจะได้เจอเราด้วยตาตัวเองอีกไหมล่ะ? ไม่ว่าเอกสารที่เราส่งไปจะจริงหรือเท็จ พวกเราก็ยังต้องคุยเรื่องกันอีก พวกเขาจะถามว่าทำไมนายถึงออกจากฮารามาร์คไปอีวา เพราะงั้นเตรียมคำตอบเอาไว้ด้วยล่ะ”
คิมฮันนาห์ได้บอกว่าหลังจากขั้นตอนนี้พวกเขาก็จะทำสำเร็จไปแล้ว 80% ก่อนที่เธอจะอธิบายต่อ
“หากว่าการพูดคุยเป็นไปด้วยดี อีวาก็จะยกเรื่องที่ดินขึ้นมาพูด นับจากจุดนี้นายสามารถจะปล่อยให้ฉันจัดการได้”
เพียงหลังจากขั้นตอนทั้งหมดนี้จบลงเท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถใช้ชื่อว่าองค์กรในพาราไดซ์อย่างเป็นทางการได้
ในด้านหนึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เหมือนกับการขอวีซ่าสำหรับนักเดินทาง ตรวจสอบประวัติและการเงิน ดูว่าพวกเขาจะสามารถมีส่วนพัฒนาและปลอดภัยต่ออีว่าไหม….
“การจัดการเอกสารพวกนี้ต้องมาก่อน บอกไว้ก่อนเลยนะกว่า 80% ได้จบอยู่ที่ขั้นตอนนี้เท่านั้น”
“มากขนาดนั้นเลย?”
“ไม่ว่านายจะเป็นทีมที่มีชื่อเสียงยังไง สุดท้ายก็เป็นแค่ทีมเท่านั้น หากว่าทีมเป็นขนนก ถ้างั้นองค์กรก็คือก้อนหิน
นั่นมันหมายความว่าน้ำหนักของทั้งสองอย่างนั้นต่างกัน
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“พูดตรงๆนะฉันยังสับสนอยู่หน่อย ฉันไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ทำให้กระบวนการซับซ้อนแบบนี้”
“คือเมื่อก่อนมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ”
คิมฮันนาห์ได้มองมาที่ซอลจีฮูก่อนจะไอแห้งๆออกมา
เธอได้กลืนคำพูดที่ว่า ‘ในตอนที่พาราไดซ์เปิดขึ้นครั้งแรก อาณาจักรยินดีต้อนรับองค์กรใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น’
การพูดแบบนั้นมันเหมือนการถ่มน้ำลายใส่หน้าชาวโลกรวมถึงตัวเธอเอง
“นั่นมันก็เพราะว่าพื้นที่ใช้งานของพาราไดซ์ขยายรวดเร็วเกินไป… ถึงนายจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรก็เถอะนะ”
จากสองสามวันก่อนคิมฮันนาห์ได้รู้แล้วว่าถึงซอลจีฮูจะเป็นคนมีชื่อเสียงและความสามารถ แต่หากเป็นความรู้ในเรื่องพาราไดซ์ เขาก็แทบจะไม่มีเลย
“ยกตัวอย่างง่ายๆนะ นายจะได้รับการยอมรับเป็นชาวพาราไดซ์ นายจะไม่ใช่พลเมืองปกติอีก แต่เป็นขุนนาง”
พูดตรงๆคือชาวโลกเป็นคนนอกสำหรับพาราไดซ์ เพราะพวกเขาถูกอัญเชิญมาจากเทพทั้งเจ็ด พวกเขาจึงแทบจะไม่เคยถูกจัดการเลย แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็มีจำนวนและความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือชาวโลกจะไม่ได้ถูกกฎหมายของพาราไดซ์ผูกมัด
“การกลายเป็นชาวพาราไดซ์จะทำให้นายได้รับการคุ้มครองจากฎหมาย ถ้านายกลายเป็นขุนนางนายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?”
คำตอบนั้นง่ายมาก – กลายเป็นคนใน
ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเองในใจ แต่ว่าความจริงเรื่องของขุนนางมันเป็นแนวคิดล้าสมัย และว่างเปล่ามากแล้ว
ขุนนางของพาราไดซ์ส่วนใหญ่ได้ตายไปจากสงครามอันยาวนานหรือไม่ก็หลบหนีไปแล้ว พูดตรงๆคือแทบจะไม่มีเหลือในพาราไดซ์ปัจจุบันแล้ว
‘ที่มันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะตระกูลราชวงศ์พยายามจะใช้ชาวโลกเข้าไปแทนที่ขุนนางพวกนั้นหรอ?’
ซอลจีฮูได้มีความคิดนี้ขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ถามคิมฮันนาห์เพื่อยืนยันในข้อสงสัยของเขา
ไม่ใช่ว่าคิมฮันนาห์จะรู้ไปทุกเรื่องเกี่ยวกับพาราไดซ์ นอกไปจากนี้เขาก็ยังคิดว่าการถามเธอในทุกๆเรื่องมันจะทำให้เขาเกิดนิสัยติดตัวแย่ๆขึ้นมา
การหาคำตอบด้วยตัวเองจะทำให้เขาตอบอยู่ในหัวเขานานกว่า
“ยังไงก็ตามนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ว่า… มันก็ไม่มีค่าอะไรให้นายเสียเวลานานหรอกนะ”
คิมฮันนาห์ได้หาวออกมา และลุกขึ้นจากที่นั่ง
“มันไม่ใช่อะไรที่ฉันต้องกังวลเลย ทีมนี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวงที่สามารถจะปกปิดข้อบกพร่องได้ง่ายๆเลย”
“บุญคุญใหญ่หลวง?”
“ใช่แล้ว มันก็เหมือนกุญแจผีนั่นแหละ แล้วทีมนี้ก็มีอยู่ถึงสองคนด้วยนะ”
“อะไรล่ะนั่น?”
เธอได้ใช้มือที่ปิดปากหาวชี้ออกมาที่ซอลจีฮู
“นาย”
จากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูถัดไป
“แล้วก็อาจารย์จาง”
***
เช้าวันรุ่งขึ้นซอลจีฮูได้ออกไปจากสำนักงานประมาณเที่ยง
นี่คือการส่งเอกสารที่คิมฮันนาห์ให้กับเขาไปส่งจดหมาย
ยังไงก็ตามเขาก็ต้องหยุดก้าวลงไปก่อนที่จะได้ลงจากบันได
นั่นมันก็เพราะว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ขอบบันได
“โชฮง?”
“หืม?”
โชฮงได้เอียงหัวกลับมาอย่างประหลาดใจ แต่ไม่นานนักเธอก็เปลี่ยนสีหน้า และพ่นบุหรี่ออกมา
“โอ้ นายจะไปไหนงั้นหรอ?”
“ไปส่งจดหมายน่ะ”
“จดหมาย”
“ใช่แล้ว ฉันจะส่งเอกสารไปให้ราชวงศ์อีวา”
ซอลจีฮูได้ยกซองขึ้นมาและส่ายไปมา
โชฮงได้หยักหน้าเงียบๆก่อนจะยืนขึ้น
เพราะท่าทีของเธอดูบูดบึ้งเล็กน้อยทำให้ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“มีอะไรหรอ? ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ไม่… ไม่มีอะไรหรอก…”
โชฮงได้ถูเท้าไปมาจนในท้ายที่สุดก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอย
“มันก็แค่ว่า… ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคาเพเดี่ยมจะกลายเป็นองค์กร”
“พวกเรายังไม่ได้รับการตอบกลับจากอีวาเลยนะ”
“ฉันรู้ แต่ว่าทั้งชีวิตนี้ฉันไม่เคยคิดอะไรเรื่ององค์กรเลยสักนิด”
โชฮงได้เม้มปากออกมา
“จะว่ายังไงดีล่ะ… ฉันร้อนใจอยู่หน่อยๆล่ะมั้ง”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆเดินลงบันไดลงไป และถามออกมา
“เธอคงไม่ได้คิดจะจากไปใช่ไหม?”
โชฮงได้หัวเราะออกมา
“หาา ทำไมฉันต้องออกไปด้วยล่ะ? ฉันเป็นคนที่อยู่ในคาเพเดี่ยมนานที่สุดแล้วนะ นายคิดว่าฉันจะพลาดโอกาสนี้งั้นหรอ?”
หลังจากที่ตะโกนออกมาอย่างร่าเริง เธอก็หันหลังไป
“ไว้เจอกันนะ ฉันว่าจะไปดื่มอะไรสักหน่อย”
แต่ว่าก่อนที่โชฮงจะได้ก้าวออกไป มือของซอลจีฮูก็จับไหล่ของเธอเอาไว้
โชฮงได้ผงะไป
“เธอคิดว่าเธอกำลังจะหนีไปไหนกัน?”
มุมปากของซอลจีฮูได้ยกยิ้มขึ้นมา
“อะ อะไรล่ะ? ฉันก็บอกว่าจะไปบาร์ไง! ปะ ปล่อยนะ!”
โชฮงได้สะบัดตัวไปมา แต่ว่าซอลจีฮูไม่ใช่คนที่จะปล่อยเธอไปง่ายๆ โดยเฉพาะในตอนที่เขามีอะไรที่เหนือกว่าเธอด้วย
“ไอหย๊าาา~ หัวหน้าโชฮง ไปบาร์มันก็ฟังดูดีนะ แต่ว่ามันมีเรื่องต้องทำอยู่ก่อนไม่ใช่หรอ?”
“ระ เรื่องอะไร?”
โชฮงได้ค่อยๆหันหน้ากลับมา
ซอลจีฮูได้ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น
“เธออยากจะเรียกว่าพี่ชายหรือสามีดีล่ะ?”
ดวงตาโชฮงได้เริ่มสั่นขึ้นมา เธอดูเหมือนจะกำลังพูดว่า ‘นายยังจำได้อีกหรอ?’
“หรือว่าจะเป็นนายท่านดีล่ะ?”
โชฮงได้กระโดดขึ้นมา
“ไม่ ฉัน-“
“โอ้ เธอทำไมน่ะหรอ?”
“ไม่ ฉันหมายถึง-“
“โอเคๆ ฉันฟังเธอแล้ว เพราะงั้นใจเย็นๆนะ”
“ม่ายยยยยย!”
“เอาเลยสิ”
ใบหน้าของโชฮงได้แดงขึ้น และซอลจีฮูก็หัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
การที่มีความรู้สึกมากมายเกี่ยวกับคาเพเดี่ยมกลายเป็นองค์กรนั่นอาจจะเป็นข้ออ้าง สิ่งที่เธอกังวลจริงๆน่าจะเป็นเรื่องที่เธอได้พนันกับซอลจีฮูเอาไว้
เธอได้พยายามหาทางออกด้วยข้ออ้างต่างๆมากมาย แต่ว่าการแสดงของเธอนั้นต่างก็ไร้ความหมายต่อหน้าคนขี้แกล้ง
“เธอไม่มีอะไรจะพูดใช่ไหม?”
คอโชฮงได้สั่นขึ้นมา
“เธอสัญญาแล้วนะ คิมฮันนาห์กับพี่สาวยูฮุย เธอบอกว่าหากฉันดึงใครสักคนเข้ามาร่วมทีมได้ เธอก็จะเรียกฉันตามที่ฉันต้องการเลย แถมเธอยังพูดด้วยว่าจะพูดอย่างสุภาพแล้วก็มีมารยาทนะ”
“ฉะ ฉันพูดแบบนั้นไปหรอ?”
ในท้ายที่สุดเธอก็เลือกทำเป็นโง่
ซอลจีฮูได้ร้องโฮ่ออกมา และมองดูโชฮงกำลังพยายามแสร้งเป็นไม่รู้เรื่อง
“นี่เธอจะแกล้งโง่งั้นหรอ?”
“นายหมายความว่ายังไงกัน?”
“โอ้วว แล้วคำปฏิญาณของนักบวชมันไม่มีความหมายอะไรเลยสินะ?”
เสียง ‘กึก!’ ได้ดังออกมา
“เดี๋ยวก่อนนะพวก ฉันจำได้แล้วว่าฉันเคยพูด แต่ไม่ใช่ว่าฉันบอกว่าต้องดึงตัวทั้งสองคนมาหรอกหรอ”
“ไม่ใช่”
“ไม่ ไม่ ฉันจำได้ชัดๆว่าฉันบอกว่าทั้งสองคน”
“โอ้~นี่เธอกำลังจะสร้างเรื่องบิดเบือนความจริงเพื่อเอาชนะงั้นหรอ? เธออยากไปยืนยันเรื่องนี้ที่วิหารอินวิเดียไหมล่ะ?”
โชฮงได้เม้มปากและขมวดคิ้วขึ้นมา
เธอได้สาบานด้วยพลังของเธอในฐานะนักบวชโดยมีอินวิเดียเป็นพยาน หากว่าซอลจีฮูยังคงซักไซ้เรื่องนี้ไม่หยุด เธอก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว
‘เวรเอ้ย… ทำไมฉันถึงพูดแบบนั้นออกไปนะ?’
เธอจำได้ว่าดีแลนด์เคยแนะนำเธอว่าให้คิดสามครั้งก่อนจะพูดอะไรออกไป
เมื่อเห็นโชฮงกำลังจะร้องไห้ออกมา ซอลจีฮูก็หัวเราะขึ้น
หลังจากแกล้งเธอจนแก้เบื่อพอแล้ว สำหรับวันนี้เขาก็เลือกจะพอแค่นี้ก่อน ด้วยวิธีนี้เขาจะได้หาอะไรมาเล่นได้อีกในตอนอื่น
“หืมม… บางทีเธออาจจะพูดว่าทั้งคู่ก็ได้นะ”
เมื่อเขาเอียงหัวพร้อมกับลูบคางออกมา สีหน้าของโชฮงก็สดใสขึ้นทันที
“ชะ ใช่แล้ว! ฉันจำได้ว่าฉันบอกว่าทั้งคู่!”
“ไม่รู้สิ… เอาเถอะๆ ไว้เราไปเช็คให้มั่นใจที่วิหารก็ได้นี่นา อยากจะไปไหมล่ะ?”
“อ่า เฮ้ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ อย่าทำตัวจุกจิกไปเลย”
โชฮงได้พยายามหยุดเขาเอาไว้ด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกที่หาได้ยาก
ซอลจีฮูได้ยักไหล่ออกมา
“โอเค งั้นเธอก็บอกว่าทั้งคู่งั้นสิ?”
“ใช่แล้ว”
“ก็ได้ เอาเถอะนะ งั้นในตอนที่ฉันดึงตัวพี่สาวยูฮุยเข้าทีมได้ เธอก็จะไม่คัดค้านอะไรแล้วใช่ไหม?”
โชฮงได้พยักหน้ารัวๆ
“แน่นอนสิ! ฉันจะไม่เถียงนายเลย ถ้าฉันกลับคำนะ ฉันมันก็คงเป็นยัยสารเลวจริงๆนั่นแหละ พูดเลยนะว่าถ้าฉันกลับคำมันก็หมาดีๆนี่เอง ฉันพูดจริงๆนะ!”
“โฮ่”
ซอลจีฮูได้แอบหัวเราะภายในใจขึ้นมา
“ฉันไม่รู้สิ… ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังแก้ตัวเลยนะ…”
“ป่าวนะ โอเค ถ้างั้นเอาแบบนี้แล้วกัน คราวนี้เรามาเซ็นต์สัญญากันเลยดีกว่านะ”
เธอได้รีบวิ่งออกไปหยิบปากกากับกระดาษมาเริ่มเขียนสัญญาขึ้นในทันที
“ฉัน โชฮง… หากว่าซอลจีฮูดึงตัวคิมฮันนาห์กับซอยูฮุยมาได้สำเร็จ… จะทำสิ่งที่เขาต้องการ… สาบานกับเทพธิดาอินวิเดีย…”
“อย่าได้ลืมส่วนที่ว่าเธอเป็นสุนัขด้วยนะ”
“ได้เลยๆ”
เธอกระทั่งปั้มลายนิ้วมือลงไปอีกด้วย
“นี่ โอเคแล้วล่ะ รับไปสิ รับไปเลยไอ้สารเลวเอ้ย”
โชฮงได้ยื่นสัญญาออกมาพร้อมกับบ่นด้วยสีหน้าโล่งใจ
“นายจะไม่พูดอะไรที่หลังแล้วนะ?”
ซอลจีฮูได้ยิ้มขึ้น และรับสัญญามา
“นี่เธอไม่ชอบมันขนาดนั้นเลย?”
“ฉันไม่เห็นรู้เลยว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร ยังไงก็เถอะเงื่อนไขสัญญาถือเป็นอันสิ้นสุดแล้วนะ”
“ว้าว นี่เธอเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปทิ้งไวไหนกันนะ?”
“ช่างหัวความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสิ! รับไปซะ!”
“ก็ได้ๆ”
เมื่อซอลจีฮูได้รับสัญญาไปอย่างไม่เต็มไป โชฮงก็ตะโกนขึ้นอย่างดีใจ
หากว่าพวกเขาไปวิหารกันเธอก็คงจะไม่มีทางออกแล้ว แต่ว่าในท้ายที่สุดเธอก็พลิกสถานการณ์กลับมาได้แล้ว
จะไม่ให้เธอมีความสุขได้ยังไงกัน?
จริงๆแล้วโชฮงได้ทำการคำนวณบางอย่างเพื่อดึงเอาผลลัพธ์นี้ออกมา
การที่คิมฮันนาห์เข้าร่วมคาเพเดี่ยมก็มากพออยู่แล้ว แต่ว่ามันก็ยังพอจะเป็นไปได้เพราะซอลจีฮูรู้จักกับคิมฮันนาห์อยู่แล้วในฐานะผู้เชิญกับผู้ถูกเชิญ
แต่ว่าการดึงตัวคนที่เหลืออยู่อีกคนให้สำเร็จมันเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ
ความเป็นไปได้มันคือศูนย์
ซอยูฮุยคือใครกันล่ะ?
ตำนานแห่งพาราไดซ์!
ชาวโลกได้รู้จักเธอในนามกำแพงเหล็กผู้ที่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมองค์กรมาตลอด แล้วนี่เธอจะมาเข้าคาเพเดี่ยมอันซอมซ่องั้นหรองั้นหรอ?
เพราะโชฮงรู้เรื่องนี้ เธอจึงสบายใจขึ้นมาได้ในทันที
“ฮ่าฮ่า นายนี่มันไอ้ตัวแสบจริงๆเลย นายอยากจะให้พี่สาวคนนี้เรียกนายว่าพี่ชายขนาดนั้นเลย? หึ ฝันไปเถอะ!”
“อ๊าาา เธอคงอยู่ความฝันแน่ๆเลย”
เมื่อเห็นซอลจีฮูสายหัวออกมา โชฮงก็หัวเราะเยาะเย้ย
***
อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน
อาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ทั้งคู่ทะเลาะกันก็ยังดูเงียบสงบจากภายนอก แต่ว่าภายในนั้นเต็มได้ด้วยความวุ่นวาย
นั่นก็เพราะว่าเจ้าของกำลังเตรียมการย้ายอยู่
“อ่า ในที่สุดก็เสร็จแล้ว”
เมื่อนักบวชทิ้งตัวลงนั่ง ซอยูฮุยก็ปรบมือเข้าด้วยกันและยิ้มออกมา
“ขอบคุณนะ ฉันรู้สึกผิดจริงๆที่ขอให้เธอมาช่วยอีกแล้ว”
“ไม่หรอก อืมม ฉันก็ช่วยได้อยู่หรอก แต่ว่า…”
นักบวชได้มองมาที่ซอยูฮุยอย่างไม่พอใจ
“แต่นี่พี่สาวจะทำถึงขนาดนี้เลย? พี่สาวเพิ่งจะย้ายมาฮารามาร์คได้ไม่นาน แล้วนี่ก็จะย้ายออกไปอีกแล้วหรอ? แถมคราวนี้เป็นที่อีวาอีกด้วยหรอ?”
“ขอโทษนะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกของฉันจะย้ายไปที่อีวา”
“ชิ”
นักบวชได้ถอนหายใจยาวออกมาก่อนที่จะมองไปทางถุงที่บรรจุของเอาไว้เต็มด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
“ถ้าเขาย้ายอีก พี่จะไม่ตามเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเลยหรอ?”
“ก็ใช่แหละ แต่ว่านับจากนี้ไปฉันจะไม่เรียกเธอเรื่องการขนของอีกแล้ว”
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
เมื่อนักบวชได้มองไปที่ซอยูฮุย เธอก็ได้เอียงหัวเล็กน้อย และรวบมือไว้ที่แก้มของเธอ
“คือ เอ่อ… เด็กคนนั้น…”
กรี๊ดดด
เธอได้หลับตาลง และกรีดร้องออกมาเบาๆเหมือนกับเด็กสาวที่ในที่สุดก็ได้เจอกับอัศวินในชุดเกราะรูปงาน
“เขาบอกว่าเขาอยากจะปกป้องฉันล่ะ~”
ติ๋ง! หยดน้ำลายได้ไหลออกมาจากปากของนักบวชที่อ้ากว้างด้วยความมึนงง