บทที่ 231 – กฎเกณฑ์ (2)
ทั้งกลุ่มได้เดินทางมาถึงฮารามาร์ค พวกเขาไม่ได้ตรงไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยมเลย แต่เลือกไปที่วิหารก่อน
คิมฮันนาห์ที่ได้เร้งเร้าจะดูกล่องเก็บสมบัติขององค์กรได้แต่อ้าปากค้างออกมา
“นี่มัน… แค่ส่วนหนึ่ง? ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกหรอ?”
[ไม่ใช่!]
โฟลนได้โผล่ออกมาอย่างกระทันหัน
คิมฮันนาห์ได้ผงะไป แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ตกใจมากนัก นั่นก็เพราะว่าซอลจีฮูได้แนะนำโฟลนให้กับเธอตั้งแต่อยู่บนรถม้ากันแล้ว
ในตอนแรกที่เห็นวิญญาณเป็นหนึ่งในทีมเธอก็ตกใจอยู่ แต่ไม่นานนักเธอก็ชินกับมันอย่างรวดเร็วด้วยการบอกว่าในพาราไดซ์มันไม่มีอะไรปกติอยู่แล้ว
[คุณคิดว่าตระกูลรอชเชอร์ใช้ชีวิตกันด้วยแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญทองงั้นหรอ? ตระกูลของเราน่ะคือชั้นหนึ่ง พวกเขาได้ทำธุรกิจหลายหมื่นเหรียญทองต่างหาก!]
แต่ว่าเมื่อคิมฮันนาห์ยังคงมองมาอย่างสงสัยอยู่ ซอลจีฮูก็พูดขึ้น
“เราต้องไปยืนยันที่นั่นอีกที่ แต่ฉันคิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูง หากว่าข้อมูลผิด ถ้างั้นพวกเราก็คงไม่เจอมรดกแม้แต่ส่วนเดียวหรอกนะ”
“…ก็จริง”
คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมา จากนั้นก็หยิบเอาสมุดพกเล็กๆและปากกาออกมาจากเสื้อเชิ้ต เธอได้ค่อยๆเปิดกระเป๋าพร้อมฮัมเพลงอย่างสนุกสนาน
“เธอกำลังจะทำอะไรน่ะ?”
“ทำหน้าที่ของฉันในฐานะผู้จัดการบัญชีไงล่ะ”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาทั้งๆที่จดลงไปในสมุดพกเล็กๆของเธอ
“นับตั้งแต่ตอนนี้พวกเราได้กลายเป็นอกกรแล้ว หากว่าเรามาจัดการสิ่งต่างๆทีหลังมันจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น”
“ฉันก็ให้เธอดูลิสต์รายการที่คุณคาซุกิเขียนแล้วนี่นา?”
ซอลจีฮูได้หยิบกระดาษออกมายื่นให้กับคิมฮันนาห์ แต่ว่าเธอก็ส่ายหัวออกมา
“ฉันเชื่อในการทำงานของเขานะ แต่ว่าลิสต์รายการมันไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินทั้งหมดของนาย ตั้งแต่รายการที่ 4 ลงไปยังไม่ถูกประเมินค่าเลย”
เมื่อคิมฮันนาห์ได้เริ่มพูดอธิบาย ซอลจีฮูก็เก็บกระดาษกลับไปเงียบๆ
“แต่ว่ามากขนาดนี้…”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เกือบเสร็จแล้ว”
คิมฮันนาห์ได้พูดเหมือนกับนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในตอนนี้ความสงสัยได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซอลจีฮู
“จากปฏิบัติการล่าสุดนายได้อัญมณีมา 1,200 ก้อน… นี่มันมากจริงๆ แต่ล่ะก้อนต่างก็มีขนาดที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพ เพราะงั้นมันน่าจะ…”
เขาได้ค่อยๆแอบเดินเข้าไปหาคิมฮันนาห์ และชะโงกหน้ามองดูกระดาษในมือเธอทำให้เขาได้เห็นว่ามีรายการต่างๆถูกเขียนเอาไว้จนเกือบหมดแล้ว
ความเร็วในการคำนวณของเธอนี่มันน่ากลัวจริงๆเลย
“นายจะทำยังไงกับอัญมณีพวกนี้ล่ะ?”
คิมฮันนาห์ได้หันกลับมามอง และถามขึ้น
“ถึงแม้ว่านายจะมีอัญมณีอยู่จำนวนมาก แต่ว่าหากนายต้องการ การจะหาคนมาซื้อก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
“โอ้? ที่ไหนหรอ?”
“ที่ไหนก็ได้ที่มีนักเวทย์ นายจะเดินเอาไปขายที่สมาคมนักเวทย์เลยก็ได้ พวกเขาจะให้ราคาดีๆกับนาย”
“ทำไมนักเวทย์ถึงต้องการอัญมณีมากขนาดนี้ล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คิมฮันนาห์ก็แสดงหน้าตกตะลึงออกมา
“แน่นอนสิ ก็อัญมณีในพาราไดซ์ได้กักเก็บมานาเอาไว้ นอกเหนือจากเป็นสื่อสำคัญในการแปรธาตุแล้ว ยังจำเป็นต้องเอามาใช้ในศาสตร์อื่นๆอีกหก ไม่สิ อีกสามศาสตร์”
“ระบบ?”
“นี่นาย… ในพาราไดซ์น่ะเวทมนต์จะแบ่งประเภทออกเป็นเจ็ดศาสตร์ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้และการศึกษา สำแดงวิญญาณ ต่อต้านปีศาจ อัญเชิญ แปรธาตุ พลังธาตุ เวทมนต์ขาว เวทมนต์ดำ ท่ามกลางวิ่งเหล่านี้เวทมนต์ขาวกับเวทมนต์ดำได้สูญหายไปตามการล่มสลายของจักรพรรดิ มรดกเวทมนต์ต่อต้านปีศาจได้หายไปเป็นเวลานานแล้วหลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับเหล่าสาวกแห่งเวทมนต์ดำ”
คิมฮันนาห์ได้ค่อยๆอธิบายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ซอลจีฮูได้แต่เกาหัว ก่อนจะพูดออกมา
“โอ้ ถ้างั้นอัญมณีพวกนี้ก็เพราะที่จะใช้หานักเวทย์แล้วก็สนับสนุนพวกเขาเลยนี่นา”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มแห้งๆออกมา
ในพาราไดซ์นักเวทย์เป็นเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรี แค่หาได้สักคนก็ยากพออยู่แล้ว ยิ่งเป็นกลุ่มอย่างที่พูดถึงอย่าได้ฝันถึงเลย
สิ่งที่ซอลจีฮูเพิ่งจะพูดไปก็ไม่ต่างไปจากการนับไก่ก่อนไข่จะฝัก แต่ว่าเธอก็ไม่กล้าพูดออกไปว่ามันไร้สาระ
นั่นก็เพราะว่าหากเป็นเขาแล้ว เธอคิดจริงๆว่าเขาก็อาจจะทำมันสำเร็จได้เหมือนกัน
***
หลังจากคำนวณทรัพสิทย์เรียบร้อย ซอลจีฮูก็ได้พาคิมฮันนาห์เดินทางไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยม
“เข้ามาสิ ถึงมันจะดูซอมซ่อหน่อยก็เถอะนะ”
“…ก็จริง”
คิมฮันนาห์ได้แสดงความเห็นออกมาตรงๆ ที่เป็นแบบนี้ก็อย่างที่เขาคิดไว้เนื่องจากว่ามันเหมือนกับเธอเคยใช้ชีวิตอยู่ในห้างสุดหรู และในตอนนี้ต้องย้ายมาอยู่ในอาคารเก่าๆทรุดโทรม
“นับจากนี้นี่จะเป็นห้องของเธอนะ ถึงเธอจะอึดอัดสักหน่อย แต่ก็ช่วยทนเอาไว้จนกว่าเราจะย้ายออกก็แล้วกัน”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาหลังจากที่แนะนำห้องให้กับคิมฮันนาห์ ด้วยเหตุผลบางอย่างการได้เห็นคิมฮันนาห์เริ่มเก็บของได้ทำให้เขาหัวเราะขึ้นมา
จากนี้ซอลจีฮูจะเริ่มยุ่งแล้ว
ในที่สุดช่วงเวลาที่เขารอคอยก็มาถึงแล้ว
ทีมของเขาในตอนนี้มีฝ่ายบริหารผู้เชี่ยวชาญแล้ว เพราะงั้นจะไม่มีใครมาหยุดเขาได้อีก
“…นายกำลังทำอะไรอยู่?”
คิมฮันนาห์ได้ถามออกมาเมื่อเธอเห็นซอลจีฮูกำลังเก็บข้าวของทีล่ะชิ้น
“โอ้ ฉันกำลังจะไปภูเขาหินยักษ์”
“ภูเขาหินยักษ์? นายจะไปที่นั่นทำไม?”
“ยังไม่ชัดอีกหรอ? ก็ไปฝึกไงล่ะ?”
“ฝึก?”
คิมฮันนาห์ได้ลากเสียงยาวออกมา
คิ้วของเธอก็ยังขมวดขึ้น แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังยุ่งกับการเก็บของจนไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้
“ใช่แล้ว ฉันกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว แต่ว่าหน้าต่างสถานะของฉันยังเหมือนกับในตอนฉันอยู่ระดับ 4 เลย การไม่ได้ฝึกนี่มันแทบจะทำให้ฉันบ้าไปแล้ว”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส่
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้วางมือลงบนบ่าของคิมฮันนาห์ และตะโกนขึ้นว่า “ฝากด้วยนะ! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็บอกฉันด้วย!”
คิมฮันนาห์ได้จิตหลุดไปกับคำพูดไร้สาระของซอลจีฮูไปแล้ว แต่ว่าซอลจีฮูได้หันหน้าไปด้วยรอยยิ้มสดใส
แต่แน่นอนว่าคิมฮันนาห์ได้คว้าคอเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้ก้าวไปไหนสักก้าวเดียว
“อะไรหรอ?”
“อะไรงั้นหรอ? นายพูดว่าอะไรงั้นหรอ!?”
อารมณ์ของคิมฮันนาห์ได้เดือดขึ้นมาในทันที
“เฮ้ นี่นายบ้า-“
อึก
แต่ทันใดนั้นเธอก็กลืนน้ำลายลงไป ใบหน้าของเธอกำลังสั่นด้วยความโกรธ แต่ว่าเธอก็ฝืนยิ้มออกมา
เธอได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่บอกชัดเจนว่า ‘ตอนนี้ฉันกำลังโกรธ แต่จะปล่อยไปก่อนแล้วกัน’
“จีฮู”
“ว่าไง”
“นายบอกว่านายกำลังจะตั้งองค์กรขึ้นมา นี่คือเหตุผลที่นายพาฉันมาด้วย”
“ใช่แล้วล่ะ!”
“แล้วนี่ฉันเพิ่งจะมาถึง นี่มันเป็นวันแรกที่ฉันอยู่ที่นี่”
“ใช่?”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับด้วยสีหน้าเหมือนกับว่า ‘แล้วทำไมหรอ?’
“ถ้างั้นอย่างน้อยนายก็- กรอด!”
คิมฮันนาห์ได้ครางออกมาก่อนจะพูดจบประโยค เส้นเลือดบนหน้าผากของเธอได้ปูดนูนขึ้นมาทันที
ฉันได้ตามนายมาจนถึงฮารามาร์ค…
เสียงพึมพำด้วยความโกรธของคิมฮันนาห์ได้ดังออกมา
“ฟังนะไอ้เวร”
ในท้ายที่สุดเธอก็ถอดหน้ากากคนดี และจับคอเสื้อของซอลจีฮูเอาไว้
“อึก-“
“นี่นายบ้าไปแล้วหรอ? อะไรนะ? ฝึกงั้นหรอ? เรียกสามัญสำนึกปกติของนายกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“จะ จู่ๆเกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี้ย-“
“นี่มันเป็นวันแรกที่ฉันมาที่นี่ นายเรียกตัวเองว่าหัวหน้า แล้วนายถึงขนาดไม่รู้จักการชั่งน้ำหนักสิ่งสำคัญเลยงั้นหรอ? ทำไมนายถึงไม่แนะนำฉันกับทีมของนายอย่างเป็นทางการ บอกฉันถึงเรื่องเกี่ยวกับคาเพเดี่ยม แล้วก็คุยกันเรื่องการจัดตั้งองค์กรเป็นอย่างแรก? เรื่องพวกนี้มันหายไปไหนกันหมด ห๊ะ?”
คิมฮันนาห์ได้สะบัดเขาอย่างรุนแรงโดยที่เธอไม่อาจจะคุมความโกรธได้แล้ว
“สิ่งเดียวที่นายรู้คือพูดเป็นอย่างเดียวงั้นหรอ? นายจะทำให้ฉันมีความสุข? คำพูดแปลกๆนั่นมันอะไรกัน!?”
“อ๊วกกกก-“
หัวของซอลจีฮูได้สะบัดไปมา…
[โอ้ววว-]
จี้ของเขาก็ด้วยเช่นกัน
***
ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็ถูกบังคับให้เอาของออกมาเก็บตามเดิม และอธิบายบายทุกๆเรื่องเกี่ยวกับแผนของคาเพเดี่ยมให้คิมฮันนาห์ฟัง
‘เธอค่อยๆเรียนรู้ไปก็ได้นี่…’
ทำไมเธอถึงได้มีคำถามเยอะจังเลยนะ?
คิมฮันนาห์ได้ซักถามเขาทุกๆอย่างที่เขาพูด และจนกระทั่งรุ่งเช้าวันถัดไปเขาถึงได้เป็นอิสระ
ในอีกด้านหนึ่ง เขาเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย
เมื่อเขาเล่าเรื่องอันยาวเหยียดจบไป สายตาของคิมฮันนาห์ก็เป็นประกายเหมือนกับว่า ‘ไอ๊หย๊า~ ถ้างั้นเราก็มีที่ให้รีดไถเงินเพิ่มขึ้นแล้วสิ เยี่ยม เรามาหาเงินทุนกันก่อนดีกว่า’
ซอลจีฮูไม่เข้าใจว่าเธอคิดจะไปไถเงินมาจากใคร แต่ว่าเขาก็ตัดสินใจจะคอยดูเธอแทน
ในเช้าวันนั้น ซอลจีฮูได้เรียกทุกๆคนมาที่สำนักงาน
นั่นก็เพื่อแนะนำตัวสมาชิกคนใหม่อย่างเป็นทางการ
“ฉันคิมฮันนาห์ หัวหน้าทีมซอลจีฮูได้เสนอโอกาสให้ฉันเข้ามาในทีม นับจากนี้ขอฝากตัวด้วยนะ”
คิมฮันนาห์ที่แต่งกายด้วยชุดทางกายเหมือนอย่างเคยได้แนะนำตัวออกมาสั้นๆ
ทุกๆคนต่างก็มีท่าทีในแบบเดียวกัน
นั่นคือสีหน้าที่พูดว่า ‘เธอมาทำไมกัน?’
จางมัลดงที่ได้ยินเรื่องเมื่อวานมาแล้ว ได้พูดขึ้นอย่างสงบ
“ยินดีที่ได้เจอกันนะ ฉันไม่คิดเลยว่าแมวมองที่มีชื่อเสียงของซินยองจะมา เพราะงั้นฉันก็เลยตกใจอยู่สักหน่อย”
“พูดตรงๆแล้วฉันก็รู้สึกเหมือนกัน เป็นเกียรติที่ได้พบคุณค่ะ อาจารย์จาง”
“ในเมื่อฉันได้เจอเธอหลายครั้ง เพราะงั้นไว้ค่อยทักทายกันนะ พอจะอธิบายได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น…?”
“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ ฉันก็แค่ยอมรับในข้อเสนอของซอลจีฮู แน่นอนว่ายังมีเรื่องภายในอยู่อีก แต่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ…”
“อืมม ขออภัยด้วย”
จางมัลดงได้หยักหน้าออกมา และไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก
“ฉันมั่นใจว่าพวกคุณทุกๆคนสงสัยว่าฉันมาทำไมสินะ”
คิมฮันนาห์ได้กระแอ่มขึ้น และเริ่มพูดถึงหน้าที่ของเธอ
“นั่นก็ง่ายมาก หัวหน้าทีมซอลจีฮูอยากจะพัฒนาคาเพเดี่ยมให้เป็นองค์กร และเขาได้มาขอให้ฉันช่วย”
ไม่มีใครมีท่าทีรุนแรงอะไรออกมา ซอลจีฮูได้อธิบายเรื่องนี้ไปแล้วในระหว่างนั่งรถม้า และพวกเขาก็ได้บอกพี่น้องยี่ถึงเรื่องนี้แล้วด้วยเช่นกัน
จางมัลดงก็รู้อยู่ก่อนแล้ว
“เพราะงั้นในขณะที่ช่วยคาเพเดี่ยมลงทะเบียนเป็นองค์กร…”
คิมฮันนาห์ได้ค่อยๆอธิบายออกมาทีล่ะคำอย่างชัดเจนเหมือนคนที่กำลังนำเสนออยู่ในห้องประชุม
“ฉันมีแผนที่จะรับหน้าที่บริหารคาเพเดี่ยมในอนาคต ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปตลอดจนถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนหัวหน้าทีมในตอนที่เขาไม่อยู่”
เธอได้ร่างภาพในอนาคตออกมาแล้ว
ตัวแทนหัวหน้าทีม พูดได้เลยว่านี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะมอบให้กับใครก็ได้
“มีใครมีคำถามอะไรไหม?”
เธอพูดว่าคำถาม แต่จริงๆแล้วเธอกำลังถามว่ามีใครคัดค้านอะไรไหม
สมาชิกทีมทุกๆคนต่างก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา
ด้วยบุคคลิกของโชฮงแล้ว เธอก็คงจะยกมือขึ้นแน่หากว่ามีใครเขามาพูดอะไรหยิ่งผยองแบบนี้
แต่ว่าคนที่กำลังพูดนี้ก็คือจิ้งจอกสาว คิมฮันนาห์
คนที่เป็นที่รู้จักกันดีในความเชี่ยวชาญเรื่องงานบริหาร
โชฮงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปลี่ยนใจ พูดตรงๆแล้วด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของคาเพเดี่ยม เธอก็ควรจะหลั่งน้ำตาและพูดว่า ‘ไชโย~ ยินดีต้อนรับๆ ขอบคุณที่มานะ’ ด้วยซ้ำไป
และเพราะงั้นโชฮงจึงปรบมือออกมาเบาๆ
แปะ ๆ ๆ ๆ…
เมื่อเธอได้เริ่มปรบมือ สมาชิกคนอื่นๆก็ค่อยปรบมือตามเธอทีล่ะคน
คิมฮันนาห์ได้โค้งคำนับออกมาด้วยรอยยิ้ม
แต่ว่านั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น
“แต่ว่ายังมีบางเรื่องที่ฉันจะต้องจัดการก่อนหน้านั้น งานเลี้ยงต้อนรับเอาไว้ก่อนก็ได้ใช่ไหม?”
“บางอย่างที่ต้องจัดการงั้นหรอ? ตอนนี้เลย?”
“ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ทุกๆคนก็อยู่แล้ว เพราะงั้นก็เหมาะเลย อย่างแรกพวกคุณลองดูสิ่งนี้กันก่อน”
เธอได้สวมหน้ากากนักธุรกิจ และหยิบเอาแผ่นกระดาษออกมาก่อนที่จะยื่นมันออกไปให้แต่ล่ะคน
“…สัญญา?”
โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมาหลังจากรับกระดาษไป
“เธออยากจะให้เราเซ็นต์สัญญาใหม่หรอ?”
“ทุกๆองค์กรต่างก็จำเป็นต้องมีสัญญาอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะในตอนที่จ้างสมาชิกใหม่เข้ามา”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“แต่ว่าเนื่องจากทุกๆคนถือเป็นสมาชิกก่อตั้ง ฉันคิดว่าพวกคุณจึงไม่จำเป็นต้องเซ็นต์สัญญา”
สังกัดถาวร นี่เป็นสิทธิพิเศษที่มีไว้เฉพาะสมาชิกผู้ก่อตั้งเท่านั้น
“ใช่แล้ว”
โชฮงได้หยักหน้าออกมา
แต่ว่าทีนี้คิมฮันนาห์ก็เสริมขึ้นอีกเล็กน้อย
“นี่มันไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่นะเพราะทุกๆคนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างองค์กรมทั้งหมดน่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ใบหน้าบางคนได้แข็งทื่อไป พวกเขาเข้าใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะบอก
“…เธออยากจะให้พวกเราจ่าย”
โชฮงได้หัวเราะแห้งๆออกมา
“มันคือการลงทุน ในสายตาของฉันคาเพเดี่ยมมีศักยภาพในการพัฒนาที่ไม่มีขีดจำกัด”
คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างฉะฉาน
“มาลองคิดดูสิ พวกคุณทุกคนต่างก็เพิ่จะได้รายได้มาจำนวนมหาศาลจากปฏิบัติการครั้งก่อน…”
เธอได้เลียริมฝีปากออกมาเหมือนกับเหยี่ยวที่มองดูเหยื่อ
“ฉันก็ไม่ได้ขออะไรมากหรอก นับรวมค่าใช้จ่ายซื้อที่ดิน การก่อสร้าง และการบำรุงรักษาแล้ว… พวกคุณก็แค่จ่าย 20% ของรายได้ที่ได้มาจากเจดีย์แห่งความฝันเท่านั้นเอง”
เสียงครวญครางได้ดังออกมาจากแต่ล่ะมุมห้อง แต่ว่านี่ก็เป็นความจริงที่พวกเขาไม่อาจจะบ่นได้
คำขอของคิมฮันนาห์มีเหตุผลที่หนักแน่นจริงๆ และมันชัดเจนว่าซอลจีฮูเป็นคนที่แบกรับรายจ่ายมากที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับพวกเขาที่จ่ายเพียงแค่ 20% จึงฟังดูเข้าท่าและสมเหตุสมผล
“นั่น อืมม… ฉันต้องจ่ายไหมล่ะ?”
ฮิวโก้ได้ค่อยๆถามออกมา
“ไม่หรอก ฉันไม่ได้บังคับคุณ”
ดวงตาของฮิวโก้ได้เป็นประกายขึ้นมาจากคำตอบของคิมฮันนาห์ จากนั้น…
“แต่ว่าคุณจะต้องเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่ที่ฉันจะร่างขึ้นมา”
ใบหน้าของเขาได้กลับเป็นบูดบึ้งอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่คิมฮันนาห์กำลังบอกก็ง่ายมาก-
ในท้ายที่สุดคาเพเดี่ยมจะพัฒนาขึ้นเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ดังนั้นหากอย่างจะมีสิทธิ์เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งก็ควรที่จะให้ความช่วยเหลือบ้าง หากว่าไม่อยากจะช่วย ถ้างั้นก็อย่าได้ฝันที่จะมาอ้างสิทธิ์อะไรในตอนที่คาเพเดี่ยมรุ่งเรือง
คนที่ไม่ทำงานก็อย่างหวังจะได้รับเงิน
ไม่มีใครจะโต้แย้งกับตรรกะทุนนิยมนี้ได้
แน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับสิทธิบางอย่างบ้างเช่นกันหากว่าพวกเขาเซ็นต์สัญญา แต่ก็เท่านั้นแหละ
พวกเขาจะเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรมาการันตรีว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนที่สัญญาหมดอายุ
อย่างน้อยที่สุดก็ตราบเท่าคิมฮันนาห์อยู่ที่นี่
“เอาล่ะ ฉันเข้าใจที่เธอจะบอกแล้ว…”
โชฮงได้เม้มริมฝีปาก และถามออกมา
“แต่ว่าถึงจะแค่ 20% แต่ว่ามันก็มากอยู่นะหากเธอได้จากทุกๆคน เราจะรู้ได้ยังไงว่าเธอใช้มันได้อย่างถูกต้อง?”
“ไม่ต้องห่วง หัวหน้าจะรับหน้าที่ในการจัดการเงินทุน และฉันจะดำเนินตามขั้นตอนตามเหมาะสมเพื่อขอเงินทุน”
ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะพูดได้อีก
โชฮงได้หัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันเข้าใจว่าพวกเราต้องใช้เงินเป็นทุนสำหรับการก่อตั้ง แต่ว่าพวกเรายังจะต้องหักผลกำไรแล้วก็แต้มคุณูปการด้วยไหม?”
“แน่นอนสิ”
คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมาโดยไม่หลบตา
“แต่ว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะคุยถึงปัญหาในจุดนั้น ในเมื่อทุกๆคนต่างก็ช่วยกัน องค์กรก็จะจัดเตรียมระบบที่จะตอบแทนความมุ่งมั่นของพวกคุณ จากนั้นปัญหานี้เราก็จะคุยกันได้”
“ชิ ถ้างั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
โชฮงได้ยกมือขึ้นพร้อมทั้งส่ายหัวไปมา
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะซ่อนความตกใจเอาไว้ ในเวลาแค่ไม่กี่นาทีคิมฮันนาห์ก็ได้เงินทุนจำนวนมหาศาลมาแล้ว
เนื่องจากว่าเธอได้พิสูจน์แล้วจึงไม่มีใครคัดค้านอะไรอีก ถึงแม้ว่าภายในใจจะรู้สึกขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม
“โอเค ต่อไป”
พรึบ คิมฮันนาห์ได้เปิดสมุดจดไปหน้าถัดไป และหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง
“คุณฟีโซรา?”
“…ฉัน?”
ฟีโซราที่ฟังอยู่เงียบๆได้เบิกตากว้างขึ้นมา
“ดาบยาว โล่ ชุดเกราะ… ตอนนี้อุปกรณ์ทั้งหมดนั่นคุณยืมอยู่ใช่ไหม?”
ฟีโซราได้ก้มมองร่างกายเธอโดยไม่รู้ตัว
“ฉันได้ยินมาว่าคุณได้ยืมอุปกรณ์ไปสำหรับสงคราม”
“ของพวกนี้เป็นของฉัน”
ฟีโซราได้พูดขึ้นโดยไม่ยอมคืนอุปกรณ์กลับมาง่ายๆ
คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวออกมา
“ของคุณ?”
“ใช่แล้วล่ะ เขาบอกว่าของพวกนี้เป็นของฉัน…”
ทั้งสองคนได้จ้องมองไปยังจุดเดียวกัน
ซอลจีฮูได้รีบส่ายหัวออกมา
จากนั้นคิมฮันนาห์ก็หันกลับไปจ้องฟีโซรา
“ฉันเชื่อว่าอุปกรณ์ที่คุณกำลังใส่อยู่ในตอนนี้เป็นของที่ซอลจีฮูได้รับมาจากงานจัดเลี้ยง ฉันอยากจะรู้จังเลยว่าทำไมคุณถึงได้บอกว่าของพวกนั้นเป็นของคุณ”
ฟีโซราได้กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะก้มหัวลง
‘เพราะซอลจีฮูแกล้งฉัน’ มันฟังดูทึ่มมากจนเธอไม่กล้าพูดออกมา
“ครั้งก่อนฉันช่วยเขาไว้ แล้วเขาสัญญาว่าจะเพิ่มระยะเวลายืม…”
“โอเคๆ ฉันได้ยินมาแล้ว แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือระยะเวลายังไม่ได้ถูกกำหนดแน่ชัด”
คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมาเบาๆ
“คุณกับฉันสามารถจะมาคุยเรื่องนี้อีกทีได้ อ่า คุณก็เหมือนกันนะ คุณมาแชล จิโอเนีย”
“ผมมีคำขอ”
มาแชล จิโอเนียได้พูดขึ้นราวกับเขารออยู่แล้ว
“ผมจะขอซื้ออุปกรณ์นี้จะได้ไหม? ผมชอบหน้าไม้นี่มากๆ”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้น
“คุรจะต้องเจรจากับเจ้าของด้วยตัวเอง สำหรับฉันทำได้แค่กำหนดเวลายืมให้คุณเพียงเท่านั้น”
มาแชล จิโอเนียได้หยักหน้าออกมา
จากนั้นเธอก็พลิกหน้าสมุดพกอีกครั้ง
“สุดท้ายนี้… คุณยี่ซอลอากับคุณยี่ซังจิน”
“คะ ค่ะ?”
ยี่ซอลอาได้ถามออกมาด้วยความตกใจ
“คุณทั้งคู่ก็ต้องมาคุยกับฉันด้วยเหมือนกัน”
ยี่ซอลอาดูจะไม่รู้เลยว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงได้อยากจะคุยกับเธอ ในอีกด้านหนึ่งยี่ซังจินดูจะพอคิดออกทำให้เขาหยักหน้าเงียบๆ
“ก็เท่านี้แหละ”
ตึก คิมฮันนาห์ได้ปิดสมุดพกลงไป และยิ้มขึ้นอย่างร่าเริง
“อย่างแรกคุณฟีโซรากับคุณมาแชล จิโอเนีย เราควรจะไปคุยกันในที่ส่วนตัวดีไหม?”
เพราะแบบนี้เธอจึงหันไปทางส่วนห้องนอน
ตึก ตึก เสียงรองเท้าส้นสูงได้ดังออกไป
มาแชล จิโอนียได้ยืนขึ้นและเดินตามหลังเธอไป ในขณะที่ฟีโซราได้รีบวิ่งไล่ตามไปหลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นฟีโซราไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกับลูกแกะเชื่องๆ
พูดตรงๆเขาไม่มั่นใจเลยว่านี่คือความฝันหรือความจริง
‘ว้าว…’
คิมฮันนาห์ได้ตั้งคาเพเดี่ยมให้เป็นรูปเป็นร่างภายในวันเดียว
เธอได้แข็งกร้าวมากในตอนแรกจนเขากลัวว่าจะมีคนลุกขึ้นมาต่อต้านเธอ
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามสิ่งสำคัญก็คือในที่สุดสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มพัดมาที่คาเพเดี่ยมแล้ว
แม้ว่ามันจะเป็นลมพายุ และไม่ใช่สายลมอันอ่อนโยน แต่ว่าทุกๆคนก็จะต้องเลือกว่าจะยืนหยัดหรือจะถูกพัดหายไป
‘ฟู่ววว….’
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะเบิกตากว้างขึ้น พร้อมทั้งทุกๆคนยังคงอยู่อย่างเงียบงัน
“…”
มีเพียงแค่จางมัลดงเท่านั้นที่ยิ้มบางๆออกมา