บทที่ 230 – กฎเกณฑ์ (1)
แสงแดดเจิดจ้าได้ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
เมื่อแสงแดดรุนแรงได้เข้ากระทบกับใบหน้า ซอลจีฮูก็ได้ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย และรีบซุกเข้าไปในจุดที่อบอุ่นตามสัญชาตญาณ
“อ่า…”
เสียงครางเบาๆได้ดังขึ้นมา
“ฉันต้องตื่นไปทำงาน… ไม่สิ… ฉันยังนอนได้อีกหน่อย… แต่ฉันกลับตื่นขึ้นมาเองในตอนนี้…”
เขาได้พลิกตัวไปมาพร้อมลมหายใจแรง
“เฮ้ ถอยไปซะ”
คิมฮันนาห์ได้ผลักซอลจีฮูออกไป
“อื้อ…”
แน่นอนว่าเขาได้คลานกลับมาหาเธอในทันที
“พระเจ้า”
“ซอนฮวา… พี่สาวยูฮุย… ถ้าทำแบบนี้… ฉันหายใจไม่ออกนะ…”
“พระเจ้า”
คิมฮันนาห์ได้ถอนหายใจออกมา
ฝันแบบไหนกันถึงได้ทำให้เขาแสดงสีหน้ามีความสุขแบบนี้?
“ไอ้เจ้าเด็กน้อยนี่…”
หลังจากดันตัวซอลจีฮูออกไปได้แล้ว เธอก็รีบลุกขึ้นจากเตียงทันที
ซอลจีฮูได้เม้มปากแน่นและกลิ้งตัวไปมา เขาได้ซุกหน้าลงไปบนผ้าห่มอุ่นๆที่ยังมีความอบอุ่นของร่างกายคิมฮันนาห์อยู่
กลิ่นหอมอ่อนๆของเครื่องสำอางกับแอลกอฮอล์ได้โชยแตะจมูกซอลจีฮู
“ผมจะไปต้มน้ำให้นะครับ”
“ขอบคุณ”
“คุณต้องการรับประทานอะไรเป็นอาหารเช้า?”
“อะไรก็ได้ที่ช่วยแก้เมาค้าง ช่วยเสิร์ฟสองที่ด้วยนะ”
เสียงต่างๆมากมายได้ดังเข้าหูซอลจีฮูทำให้เขาค่อยๆตื่นขึ้นมา มีทั้งเสียงประตูถูกปิด เสียงน้ำไหล เสียงต้มน้ำ ต่างๆมากมาย…
เขากระทั่งได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสออีกด้วย
ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นมา ผ้าเช็ดตัวเปียกๆก็ถูกโยนลงมาบนใบหน้าของเขา
“…นั่นมันอะไรกัน?”
“ฉันกำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่”
ซอลจีฮูได้บ่นกับตัวเองเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเปลี่ยนเสื้อ
“ฉันหลับตาอยู่”
“จริงๆแล้วฉันโยนออกไปเพราะฉันโกรธอยู่”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมากับคำสารภาพของคิมฮันนาห์
“โกรธ? ทำไมล่ะ?”
“นายรู้ไหมว่าเพราะนายทำให้ฉันกว่าจะหลับไปได้มันยากแค่ไหนน่ะ?”
ซอลจีฮูได้ผงะไปจากคำพูดที่เต็มไปด้วยความรำคาญของเธอ
“ในพจนานุกรมของนายมีคำว่ายับยั้งชั่งใจอยู่บ้างไหม? นี่นายเป็นเด็กอายุ 12 ขวบหรือไงกัน?…”
“…”
“นายจะแกล้งหลับอีกเพื่อ? ลุกมากินข้าวเช้าได้แล้ว! ฉันสั่งซุปแก้เมาค้างมาให้นายไว้แล้วนะ!”
ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็คลานออกมาจากเตียงเหมือนกับเด็กที่ถูกคุณแม่ดุ
เมื่อเขายกผ้าขนหนูที่ปิดตาเอาไว้ออกมา เขาก็เห็นคิมฮันนาห์กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะด้านหน้าพร้อมด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมา
ปกติแล้วเขาจะเห็นผมของเธออยู่ในทรงหางม้าเรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะงั้นการได้มาเห็นเธอมัดผมแบบรุงรังทำให้ดูต่างออกไปเล็กน้อย
“ฟู่ว… กลมกล่อมดีมาก เฮ้ มากินนี่สิ เดี๋ยวซุปก็เย็นไปก่อนซะหรอก”
ซอลจีฮูได้นั่งลงตรงข้ามกับเธอ และหยิบช้อนขึ้นมาตักซุป
มันยังคงรุ่งสางอยู่ทำให้ความหนาวเย็นของยามค่ำคืนยังไม่ได้หายไป ซุปร้อนๆจึงเป็นอาหารที่เหมาะกับการสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายเป็นอย่างดี
เนื่องจากว่าน้ำซุปมีรสชาติอ่อนๆ เขาจึงกลืนมันลงไปได้โดยไร้ปัญหาใดๆ
หลังจากสนใจอยู่กับการแก้อาการเมาค้างอยู่สักพักแล้ว ซอลจีฮูก็เงยหน้าขึ้นมามองคิมฮันนาห์
เธอยังจำที่พวกเขาคุยกันเมื่อคืนได้ไหมนะ?
แอลกอฮอล์ได้ทำให้เธอพูดในสิ่งที่คิดออกมา เพราะงั้นตอนนี้เขาก็เลยคิดว่าเธออาจจะคิดเปลี่ยนใจ
ความคิดมากมายหลายประเภทได้เข้ามาในหัวของเขา
ธรรมชาติของผู้คนนั้นแปลกประหลาด วันนี้อาจจะต่างไปจากเมื่อวานก็ได้
นอกจากนี้นี่ยังเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตของคิมฮันนาห์ในพาราไดซ์ไปตลอดกาลก็ได้
“…”
…จริงๆแล้ว ซอลจีฮูก็ไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเองขนาดนั้นเช่นกัน
คิมฮันนาห์เข้าร่วมคาเพเดี่ยม นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย
“ฟู่ววว~ นี่แหละน้ำซุป”
คิมฮันนาห์ได้เงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยซุป เธอได้เช็ดเหงื่อออกมาจากจมูกกับหน้าผาก พร้อมพ่นลมหายใจออกมา
“ค่อยโล่งท้องขึ้นมาหน่อย ฮ่าห์~ สดชื่นจริงๆ ในที่สุดก็รู้สึกสบายขึ้นแล้ว”
เธอได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างประหลาดใจ
“เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมถึงยังกินไม่หมดอีก”
ซอลจีฮูได้จับช้อนขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
คิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นด้วยสีหน้าสดชื่น และเริ่มทาโทนเนอร์ลงบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอก็ต่อด้วยทาโลชั่น
“ยังไงก็เถอะ ทำไมนายถึงมาที่สกีเฮราซาร์ดล่ะ?”
‘อะไรนะ?’
ซอลจีฮูแทบจะผงะถอยไป
“นายบอกว่านายพาเพื่อนร่วมทีมมาด้วยนี่ นายพาพวกเขาทุกคนมาหาฉันงั้นหรอ?”
จนกระทั่งเมื่อเขาได้ยินคำต่อมา เขาก็คิดว่าเธอคงอยากจะแกล้งว่าเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น
“โอ้… นั่นก็เพราะโรงประมูล”
“โรงประมู,? โอ้ พวกเขามาใช้เงินสินะ”
“ก็มีบางคนที่มาเที่ยวเล่นเฉยๆ แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ใช่แหละ พวกเรามาหาซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ”
“อุปกรณ์ใหม่ๆ…”
คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมาในขณะที่ทาครีมกันแดด
“ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้สกีเฮราซาร์ดไม่ค่อยได้มีของดีๆเข้ามาเลย นายคงไม่ได้คิดว่ามีเงินแล้วจะซื้ออะไรตามใจไปหมดใช่ไหม?”
“ฉันเพิ่งจะซื้อเสื้อคลุมในราคา 100 เหรียญเงินไป แต่ว่าอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว”
“นายคงดูทั่วแล้วสินะ ดีมาก”
คิมฮันนาห์ได้ชมซอลจีฮูพร้อมทั้งทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นไปด้วย
ซอลจีฮูได้หมุนช้อนภายในซุปก่อนที่จู่ๆจะถามออกมาด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะ? ตอนนี้ฉันไม่ควรจะซื้ออะไรจากโรงประมูลเลยใช่ไหม?”
“มันไม่จำเป็น ต้องให้นายจะมีเงิน นายก็ควรจะใช้จ่ายมันออกไปให้เหมาะสมกับคุณค่า”
คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นพร้อมกับเปิดฝาบีบีครีม
“พวกเรากำลังคุยกันเรื่องเหรียญทองหลายร้อยเหรียญกันอยู่ นายจะต้องใช้เงินให้ถูกที่ แน่นอนว่าสกีเฮราซาร์ดมีโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ว่ามันก็เป็นที่ที่ไม่ว่าใครก็เข้ามาได้ตลอดเวลา”
“แล้วการที่โรงประมูลเป็นที่สาธารณะมันสำคัญด้วยหรอ?”
“ก็สำคัญสิเจ้าโง่ โรงประมูลเป็นธุรกิจที่ดำเนินการโดยชาวโลก”
คิมฮันนาห์ได้ดุเขาออกมา กจากนั้นก็เริ่มแสดงทักษะของเธอออกมาพร้อมทั้งปัดรองพื้นไปด้วย
“มันมีโรงประมูลที่แยกเอาไว้สำหรับแขกพิเศษอยู่ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่มีเฉพาะผู้จ่ายรายใหญ่เท่านั้นที่จะรู้ ของดีๆที่เหลือกว่าของที่ขายจากโรงประมูลสาธารณะจะอยู่ที่นั่น”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมาเนื่องจากว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินอะไรแบบนี้ นี่ดูจะเป็นเหตุผลที่เขาไม่เจอกับอะไรที่น่าสนใจในโรงประมูลที่มีชื่อเสียงของสกีเฮราซาร์ดอีกด้วย
“ท้ายที่สุดแล้วของทั้งหมดที่ถูกนำไปขายในโรงประมูลสาธารณะต่างก็เป็นของเหลือทิ้ง แน่นอนว่าของเหลือพวกนั้นก็ไม่ได้แย่อะไรไปซะหมด แต่ว่าของพวกนั้นก็ไม่ใช่ของสำหรับคนที่มีเป็นร้อยเหรียญทองจะไปใช้ มันเป็นของที่ดีแหละ แต่ว่าไม่เหมาะกับคนที่เป็นแขกพิเศษ”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมาพร้อมทาคอนซีลเลอร์
“คนที่ไปใช้พลังงานกับโรงประมูลสาธารณะมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพนักงานของโรงประมูลคอยปั่นราคาด้วยซ้ำไป พวกเขาต้องจ่ายราคาพิเศษไปกับแค่ของลดราคาเท่านั้นเอง!”
ซอลจีฮูอดจะคิดถึงฮิวโก้ที่ซื้อของไปเมื่อวานพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักไม่ได้
ซอลจีฮูก็เคยมีประสบการณ์ซื้อของตามโฆษณา แล้วก็ต้องมาผิดหวังทีหลัง เพราะงั้นเขาจึงรู้ว่าคิมฮันนาห์กำลังพูดถึงอะไรอยู่
‘หืม?’
ขณะกำลังคิดอยู่เขาก็ชะงักไป เขาเพิ่งจะเห็นเธอทาคอนซีลเลอร์ แต่นี่เธอกำลังทาแป้งซะแล้ว
‘ได้ยังไงกัน?’
“โอ้ จริงสิ นายคิดจะกลับไปเมื่อไหร่ล่ะ?”
“หืม? ฉันพึ่งมาถึงได้วันเดียวเองนะ”
“ให้ตายสิ ไม่ใช่ว่าฉันบอกนายไปแล้วหรอ? นี่นายจะซื้อของเหลืองั้นหรอ? นายบอกว่านายกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงไปแล้วนี่? ถ้างั้นนายก็ต้องซื้ออุปกรณ์ดีๆ โดยเฉพาะยิ่งนายเป็นนักรบแล้วด้วยนะ”
ซอลจีฮูได้ร้อง ‘อ่า’ ออกมา
ไม่สิ นั่นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ในพริบตาเดียวคิมฮันนาห์ก็ได้เริ่มกรีดตาแล้ว จากวิธีขยับมือของเธอ เขารู้สึกเหมือนกับกำลังดูมายากลอยู่
“ซินยองไม่อาจจะแตะต้องได้นายง่ายๆก็จริง แต่ว่านายไม่มีวันจะมั่นใจได้เลย การอยู่ที่นี่นานเกินไปมันไม่มีอะไรดีหรอกนะ”
คิมฮันนาห์ได้มองดูตัวเองในกระจก ก่อนที่จะพยักหน้าและลุกขึ้นยืน
ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออก
‘พวกเขาบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาวคือความไร้เดียงสา แต่ว่านี่…’
ในตอนนี้ใบหน้าของเธอมีความใสชัดมากขึ้น และซอลจีฮูก็ไม่คุ้นเคยเอาซะเลย เขากระทั่งรู้สึกว่าเหมือนกับใบหน้าเธอกำลังเปล่งประกายออกมาอีกด้วย
“แต่ก็ไม่ต้องเศร้าไปหรอกนะ ที่นายหลบกองขี้บนพื้นมันไม่ใช่เพราะนายกลัว แต่ว่าเพราะมันสกปรกต่างหาก”
เธอได้มัดผมเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย จากนั้นด้วยการสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ต ถุงน่อง และกระโปรงทำงาน เธอก็ได้กลายเป็นพนักงานสาวมืออาชีพไปซะแล้ว
“ตอนนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วล่ะ เพราะงั้นนายก็ไปปลุกพรรคพวกของนาย แล้วก็ไปเตรียมรถม้าได้แล้ว ยิ่งนายออกไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับเราทั้งคู่”
หลังจากจัดการกับชายเสื้อของเธอเองแล้ว คิมฮันนาห์ก็ก้มลงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมา
จากนั้นเองซอลจีฮูก็นึกขึ้นได้ว่าเขาลืมถามเรื่องสำคัญไป
“ธะ เธอกำลังจะไปทำงานหรอ?”
“หืมมม?”
“ทำไมล่ะ?”
“ทำไมอะไรของนายกัน? ก็เพราะมันเป็นงานของฉันไง?”
เมื่อคิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาเล่นๆ และหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา ซอลจีฮูก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“ต้องไปด้วยหรอ?”
“จู่ๆนายมาถามอะไรกัน?”
“ก็เมื่อวานเธอบอกว่า-“
“ที่ฉันไปก็เพราะฉันต้องไป! ทำไมนายถึงได้ถามแบบนี้้ด้วย?”
ซอลจีฮูได้พูดไม่ออกกับคำพูดที่หนักแน่นของเธอ และสายตาที่มองเขาด้วยสีหน้ารำคาญ
“ไม่… ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมเธอต้องไป…”
คิมฮันนาห์ได้สะพายกระเป๋าบนไหล่ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแส
“ฉันกำลังจะไปยื่นจดหมายลาออก”
***
หลังจากคิมฮันนาห์ออกไปทำงานแล้ว ซอลจีฮูก็แอบเข้าไปห้องข้างๆ พรรคพวกของเขานอนแผ่หลับอยู่ในห้องเดียวกันอย่างที่เขาคิดไว้เลย
จากกลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยทั่วห้องเขาก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าเพื่อนๆเขาดื่มกันหนักขนาดไหน
มันไม่แปลกเลยที่ไม่ว่าเขาจะเขย่าพวกเขาแรงขนาดไหน ก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมา จริงๆแล้วพวกเขากระทั่งขมวดคิ้วโบกมือไปมาราวกับจะไล่แมลงวันอีกด้วย
สิ่งเดียวที่ยังพอทำให้เขาสบายใจได้ก็คือมาแชล จิโอเนียเป็นคนเดียวที่ได้สติขึ้นมาทันที
ขณะที่คิดว่าจะต้องทำยังไง ซอลจีฮูก็คิดไอเดียดีๆออก
และนั่นก็คือการเอาใบหน้าของเพื่อนๆของเขาเข้าไปใกล้ๆกับรักแร้และเป้ากางเกงของฮิวโก้ให้ได้มากที่สุด
ผลลัพธ์ได้ออกมาแทบจะในทันที โชฮงที่ถูกวางไว้ใต้รักแร้ซ้ายของฮิวโก้ได้ตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีพร้อมกับเสียงสบถด่าทุกชนิด
สำหรับฟีโซราที่อยู่ตรงรักแร้อีกข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน
“เชี้ย!”
เธอได้ขมวดคิ้วขึ้น และสบถออกมาเพียงคำเดียวในตอนที่ตื่นขึ้นมา
ซอลจีฮูได้กลั้นขำเอาไว้ และเดินเข้าไปหาเธอ
“มีอะไรงั้นหรอ?”
“ฉะ ฉันกำลังหลับอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ… อ๊า แม่งเอ้ย ฉันยังได้กลิ่นเหม็นเน่าอยู่เลย”
ฟีโซราได้บ่นขึ้น และถ่มน้ำลายลงพื้น เธอดูจะขยะแขยงเอามากๆ
“เอาเถอะๆ ได้เวลาตื่นแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นแล้วนะ”
“หืม? ทำไมล่ะ? ฉันยังอยากจะนอนอยู่อีกหน่อย”
“ฉันเอาน้ำร้อนมาให้แล้ว ไปล้างหน้าให้ตื่นก่อนเถอะนะ”
ซอลจีฮูได้ดันฟีโซราที่กำลังบ่นเข้าห้องน้ำไป
มาเรียยังคงทนอยู่ใต้เป้ากางเกงของฮิวโก้ได้เป็นอย่างดี แต่ว่าไม่นานเธอก็ต้องถึงขีดจำกัดเมื่อฮิวโก้ตดออกมา
“ฮ่าาาห์ รู้สึกดีจัง”
มันคงจะเป็นภาระมากพอควรถึงขนาดที่ฮิวโก้ที่หลับอยู่ถึงกับพึมพำออกมา
“!?”
แต่แน่นอนว่ามันเหมือนกับสายฟ้าฟาดเข้าใส่มาเรียอย่างรุนแรง
“อึก! อ๊วกกกก-!”
มาเรียได้อาเจียนออกมาทั้งๆที่ร้องไห้ไปด้วย
“เชี้ย เชี้ยอะไรว่ะเนี้ย!”
เธอได้ร้องออกมาด้วยความโกรธแค้นพร้อมทั้งใช้ไม้กางเขนจิ้มเข้าใส่ก้นของฮิวโก้
ผลที่ได้ก็คือฮิวโก้ก็ยังต้องตื่นขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้อง
มาแชล จิโอเนียที่กำลังมองดูภาพทั้งหมดนี้ด้วยความสับสนได้แต่ตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นเห็นซอลจีฮูหัวเราะกับตัวเอง
ในขณะที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอยู่เล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่มีใครในทีมที่คัดค้านเรื่องการกลับฮารามาร์คเลย
เหตุผลนั่นก็เพราะมันไม่มีของดีๆในโรงประมูลเลยจริงๆ
ซอลจีฮูรู้สึกยินดีที่เขาไม่จำเป็นต้องไปโน้มน้าวคนอื่นๆ แต่ว่าเขาก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้วเป้าหมายของคนอื่นๆเป็นการมาดื่มเหล้าแพงๆของสกีเฮราซาร์ดหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข่าวดีก็ยังเป็นข่าวดี ซอลจีฮูได้เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม และมุ่งหน้าไปทางคอกม้าที่อยู่ใกล้ประตูทางใต้
“หืมมม ปล่อยให้เรานอนต่อสักหน่อยเถอะนะ… เราก็ไม่ได้รีบอะไรขนาดนั้นนี่…”
ฟีโซราได้บ่นออกมาพร้อมหาวขึ้น
ซอลจีฮูได้แต่แสดงสีหน้าขอโทษเธอ
มาเรียก็ยังกำลังปวดท้องอยู่เช่นกัน
“สรุปแล้วในการเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้มีแค่ฉันคนเดียวที่ได้ประโยชน์สินะ”
ฮิวโก้ได้ยิ้มกับตัวเองอย่างภูมิใจพร้อมนั่งลงไปบนรถม้า
ซอลจีฮูกำลังคิดจะบอกฮิวโก้ถึงเรื่องที่คิมฮันนาห์บอกกับเขา แต่แล้วเขาก็ห้ามตัวเองไว้ การไปทำลายความสุขของฮิวโด้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย
“อ่า… นี่ฉันดื่มมากเกินไปหรือเปล่านะ? ทำไมหัวของฉันมันยุ่งแบบนี้…”
ซอลจีฮูไม่อาจจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้เมื่อเขาเห็นโชฮงบ่นออกมาพร้อมๆกับมาเรีย
“เธอน่าจะกินซุปแก้เมาค้างสักหน่อยนะ เธอมีเวลาอยู่”
“ฉันขี้เกียจอะ… ยังไงก็ตาม เราออกเดินทางกันเถอะ ไว้นอนหลับอีกสักตื่นก็คงดีขึ้นเอง”
“เดี๋ยวก่อน เรากำลังรออีกคนหนึ่งอยู่”
“หืม? นายหมายความว่ายังไงกัน? เราก็มากันครบแล้วนี่”
“เอาเถอะ… มีอีกคนกำลังจะมากับเราด้วย”
โชฮงได้เบิกตากว้างขึ้นมา
“ใครน่ะ? แล้วเมื่อไหร่คนๆนั้นจะมา?”
“ไม่นานหรอก ตอนนี้นอนไปก่อนก็ได้”
“รถม้าต้องเริ่มเดินทางก่อนฉันถึงจะนอนได้ ถ้าฉันนอนตอนนี้ แล้วตื่นขึ้นมาตอนรถม้ากำลังวิ่งอยู่ ฉันได้แย่แน่…”
โชฮงได้จ้องมองฮิวโก้ที่กำลังหัวเราะอยู่
“…ก็จริง รออีกสักหน่อยแล้วกัน”
ซอลจีฮูที่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอได้หยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมาจากกระเป๋า จากนั้นเอง
ประตูรถม้าได้ถูกเปิดขึ้น และหญิงสาวที่คุ้นเคยก็โผล่เข้ามา
เธอดูเหมือนกับในตอนที่ออกไปจากโรงแรมจะเว้นก็แต่ว่ากระเป๋าที่เธอแบกมาด้วย
คิมฮันนาห์ได้เข้ามาในรถม้า และหยักหน้า
“ฉันมาทันทีเวลาสินะ”
“ใครกันนะ…”
โชฮงได้ชะงักไปก่อนที่เธอจะได้พูดจบ
เธอจำหน้าผู้มาใหม่ได้ทันที เธอกระทั่งเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อนด้วย
ในตอนที่ซอลจีฮูโคม่า โชฮงเคยเจอกับคิมฮันนาห์อยู่หลายครั้งในตอนที่เธอมาเยี่ยมเขา
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา
“เธอมาเร็วกว่าที่ฉันคิดอีกนะ”
“ก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องจัดการ การโอนย้ายน่าที่ถูกจัดการเสร็จไปสักพักแล้ว แถมฉันก็ได้เริ่มเก็บของเอาไว้แล้วด้วย”
“แล้วนี่เธอส่งจดหมายไปถึงหัวหน้าโดยตรงแล้วหรอ?”
“นี่นายคิดว่าฉันจะไปถ่ายหนังดราม่าตอนเช้างั้นหรอ?”
โชฮงไม่ใช่แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ว่าทุกๆคนในรถม้าต่างก็ปิดปากเงียบราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้า และหันไปสนใจอยู่กับหญิงสาวที่กำลังคุยกับซอลจีฮู
จิ้งจอก ยัยตัวแสบที่ทำสงครามผ่านทางธุรกิจ หญิงสาวที่ดีแลนด์ไม่กล้าเป็นศัตรูด้วย ‘พระเจ้า นี่มันสามในหกคนคลั่ง’…
เมื่อความคิดต่างๆมากมายได้เข้ามาในหัว ซอลจีฮูก็ยิ้มสดใสและยื่นมือออกไป
“เข้ามาสิ”
ในเมื่อข้ามเส้นมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมองย้อนกลับไป
คิมฮันนาห์ได้จับมือซอลจีฮูเอาไว้โดยไม่ลังเล
***
รถม้าได้ออกเดินทางแล้ว
ในตลอดทางไม่มีแม้แต่เสียงพึมพำดังออกมา ทั้งทีมได้อยู่เงียบๆ และคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด เธอเอาแต่นั่งตัวตรงมองออกไปด้านนอก
มันดูเหมือนจะมีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่ระหว่างคิมฮันนาห์กับคนที่เหลือในทีม
นี่มันก็ช่วยไม่ได้ ทุกๆคนต่างก็เข้าใจสถานการณ์เมื่อซอลจีฮูได้พูดถึง ‘จดหมายลาออก’
ครั้งหนึ่งโชฮงเคยล้อเลียนซอลจีฮูโดยบอกว่าหากคิมฮันนาหกับซอยูฮุยมาร่วมทีมได้ เธอจะเรียกเขาว่า ‘พี่’ เลย
แน่นอนว่าคิมฮันนาห์ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับซอยูฮุย แต่ว่าเรื่องที่เธอได้รับความเคารพจากทั่วโลกในด้านความถนัดของเธอก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้
พูดง่ายๆก็คือนี่มันคล้ายกันกับนักกีฬาระดับโลกที่ย้ายทีมไปในทีมระดับสองเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง
“อืมม…”
ในท้ายที่สุดแล้ว มาแชล จิโอเนียที่กลั้นความสงสัยไม่ไหวก็ได้พูดออกมา
“หัวหน้า นี่มันเรื่องอะไรกัน…?”
“อ่า อืมม… คือว่า… ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ…”
ซอลจีฮูได้กอดอกและเม้มปากออกมา
“ฉันคิดว่าจะบอกพวกนายตอนเราไปถึงฮารามาร์คแล้ว แต่นี่ฉันคงต้องบอกเดี๋ยวนี้เลยสินะ”
ซอลจีฮูได้ดึงความสนใจของทุกๆคนเข้ามา
“อีกไม่นานคาเพเดี่ยมจะพัฒนาขึ้นเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ”
“หืม?”
“แล้วก็พวกเราจะออกจากฮารามาร์ค และมุ่งหน้าไปอีวา”
นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ
“อะ อะไรนะ?”
โชฮงได้ถามออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“เฮ้… นาย… นี่นายคิดว่าการตั้งองค์กรมันเป็นเรื่องง่ายๆหรอ?”
“ไม่หรอก ฉันรู้ว่ามันยาก”
ซอลจีฮูได้ยอมรับออกมาตรงๆว่ามันยาก
“นี่แหละคือเหตุผล”
“?”
“ในที่นี้มีใครรู้วิธีการลงทะเบียนองค์กรโดยละเอียดไหม?”
ซอลจีฮูได้มองกลับไปที่ทุกๆคน ไม่มีใครยกมือขึ้นมาดังคาดไว้
ไม่แม้กระทั่งฟีโซรา
เธอก็เคยเป็นส่วนหนึ่งในการก่อตั้งองค์กรมาก่อน แต่ว่าเธอไม่ได้ก่อตั้งกุหลาบขาวขึ้นด้วยตัวเอง
“ไม่มีใครรู้ใช่ไหมล่ะ? พวกเราต้องมีผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้มาช่วยเขา และก็มีบางอย่างเกิดขึ้นทำให้ฉันชวนเธอเข้ามา”
“ว้าว อธิบายได้ดีจริงๆ”
โชฮงได้หัวเราะแห้งๆออกมา
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อเขาเพราะว่าหลักฐานได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่สิ่งที่ทุกคนสงสัยมันไม่ใช่ว่าทำไมเขาถึงเลือกคิมฮันนาห์มา
แต่มันคือวิธีที่เขาดึงตัวจิ้งจอกผู้มีชื่อเสียงที่อยู่ในซินยอง องค์กรที่ใหญ่ที่สุดในพาราไดซ์มาได้ต่างหาก
“โอ้ ไม่ใช่ว่าพวกเราก็ต้องการนักเวทย์ด้วยหรอกหรอ? ทำไมนายไม่พาพี่สาวซินเซียมาด้วยเลยล่ะ?”
ซอลจีฮูได้เงียบไป และจ้องมองไปที่โชฮงที่พูดเย้ยออกมา
“อะ อะไรล่ะ? ทำไมนายถึงมองฉันแบบนั้น?”
“…”
“อะไร…?”
สีหน้าของโชฮงได้ซีดลงไป ยิ่งซอลจีฮูจ้องเธอ เธอก็ยิ่งกลายเป็นอึดอัด
“อ่า… อืมม…”
เธอได้พูดตะกุกตะกัก และหลบสายตาเขา
“อ่า พระเจ้า…”
เธอได้ตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวราวกับคนที่มีความผิด
[อะไรนะ? บุตรสาวแห่งลูซูเรียเหมาะงั้นหรอ? จิ้งจอกสาวก็ดีหรอ? ฟุฮ่าฮ่าฮ่า!]
[ทั้งคู่ต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของความแต่ล่ะสาขา แต่ว่านายคิดจะดึงตัวพวกเธอเข้าทีมเรางั้นหรอ ไปดื่มน้ำให้กลับมามีสติสักหน่อยไหมไอ้เวรนี่]
[โอ้ววว? จริงเหรอออ? เชิญฝันต่อไปเถอะนะ]
[หาา! เฮ้ ถ้านายพาสักคนหนึ่งเข้าทีมมาได้ล่ะก็…]
[จะเป็นพี่ชายหรือคุณพี่ ฉันจะเรียกนายอย่างสุภาพที่สุดเลยล่ะ]
[ได้ ได้เลย แม้ว่าตอนนี้ฉันจะรับใช้ไอร่าในฐานะอดีตนักบวช แต่ฉันก็ขอสาบานด้วยพลังศักดิ์สิทธิโดยมีอินวิเดียเป็นพยานเลย ตอนนี้นายพอใจยังล่ะ? หืมม?]
ซอลจีฮูได้ยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นโชฮงขมริมฝีปากแน่น