ยามเรือนร่างที่เปล่งรัศมีแสงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทุกสารทิศก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่จากตัวเขา
ผู้ฝึกยุทธจากแต่ละนิกาย สามารถรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจนี้
หลากหลายผู้ฝึกยุทธชั้นสูง ทะยานตนออกจากนิกาย เร่งรุดมุ่งหน้ามายังทิศทางของวังสวรรค์เมฆาวิเวก
ในอากาศที่ว่างเปล่า การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับเองก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ
ทุกสายตาต่างเพ่งมองมายังขุนเขาหลักของวังสวรรค์เมฆาวิเวก
สี่อสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่ท่ามกลางมวลเมฆ คอยรับฟังคำถามของเทพวิญญาณอย่างระมัดระวัง
กู่ฉิงซานมองไปยังเทพวิญญาณ และแอบลอบสังเกตอีกฝ่าย
มีข่าวลือกล่าวกันว่า เทพวิญญาณได้สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้น โดยอ้างอิงจากรูปลักษณ์ของตนเอง ดังนั้นในโลกนับล้านล้านใบ รูปลักษณ์ของมนุษย์จึงเป็นรูปลักษณ์สากลที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างตลอดทั้งหมื่นเผ่าพันธุ์
แต่เกรงว่าที่เทพวิญญาณแตกต่างจากคนทั่วไป ดูเหมือนจะเป็นตรงหน้าผาก
เหนือคิ้วขึ้นไปตรงบริเวณหน้าผากของเทพวิญญาณ จะมีเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้อยู่
ในส่วนของแสงจรัสที่สาดออกมารอบตัวทวยเทพ กู่ฉิงซานย่อมรู้ดีว่ามันมาจากที่ใด
มันคือสิ่งที่ทวยเทพสร้างขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดสามารถมองเห็นตัวตนของพวกเขาได้ แถมแสงที่เปล่งออกมาเหล่านั้นยังช่วยแสดงออกถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่
ดังนั้น แสงจรัสที่ว่านี้ คงมิแคล้วเป็นเกราะคุ้มภัยของทวยเทพ
ในโลกสมบัติของทริสเต้ ตัวกู่ฉิงซานเองก็เคยสวมใส่เกราะเทพมาก่อนเหมือนกัน
ในเวลานี้ เทพวิญญาณก็ได้เสร็จสิ้นคำถามพอดี
มังกรตอบว่า “เทพแห่งชีวิตผู้สูงส่ง ข้าและตนอื่นๆ มิใช่อยากจะสังหารผู้ฝึกยุทธ ทว่าเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากผู้นำนิกายวังสวรรค์ ว่าให้ออกมาเพื่อปกป้องผู้สืบทอดที่แท้จริงของนิกาย”
เทพแห่งชีวิต “ได้รับคำสั่งจากผู้นำนิกาย? แต่ข้าจดจำได้ว่าผู้นำนิกายวังสวรรค์ยังคงอยู่ในแนวหน้ามิใช่หรือ?”
มังกรกล่าว “ตามกฎของนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก หากผู้นำนิกายไม่อยู่ ข้าจักต้องรับฟังคำสั่งจากใบหยกผู้นำนิกายแทน”
เทพแห่งชีวิตมองไปทางกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานไม่รีรอให้เทพเอ่ยปาก เขาชิงกล่าวด้วยความเคารพ และรายงานออกไปทันที “ท่านเทพวิญญาณผู้สูงส่ง ผู้น้อยได้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องตามกฎของนิกาย และอสูรวิญญาณทั้งสี่ต่างก็เห็นพ้องกับเรื่องนี้”
“ท่านเทพวิญญาณผู้สูงส่ง ท่านมาเยือนที่นี่ด้วยจิตเมตตาก็จริง ทว่าตามกฎของนิกายแล้ว ข้าจำเป็นต้องกำจัดคนเหล่านี้ พวกมันสมควรถูกประหาร มิคู่ควรกับความเมตตาของท่าน”
สรรพสิ่งโดยรอบพลันนิ่งงัน
ตลอดทั้งวังสวรรค์จมลงสู่ความเงียบ
ต้องไม่ลืมนะว่า ผู้ฝึกยุทธที่ทรงอำนาจเกือบทั้งโลก และเหล่าเทพวิญญาณทั้งมวล ต่างก็กำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ในที่แห่งนี้อย่างลับๆ
‘เจ้าเด็กนี่มันบ้าไปแล้ว!’
‘กล้าที่จะเปล่งวาจาเช่นนั้นกับเทพวิญญาณได้อย่างไร?’
‘แต่เทพวิญญาณเองก็ไม่เคยเข้ามายุ่มย่ามเกี่ยวกับเรื่องภายในของเผ่ามนุษย์…’
ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเช่นกัน!
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เทพวิญญาณเข้าแทรกแซง แต่ก็ดันถูกปฏิเสธอย่างอ่อนโยนจากวัยรุ่นคนหนึ่ง!
น้ำเสียงของเทพแห่งชีวิตแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านี้ล้วนแข็งแกร่ง มิฉะนั้นคงมิอาจก้าวขึ้นสู่ปรมาจารย์ขุนเขาได้ ตรงกันข้ามกับเจ้า ที่ยังเป็นแค่สาวก แต่กลับกำลังคิดที่จะสังหารพวกเขา เพราะเหตุใดกัน?”
กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว ก็สวนออกไปทันทีว่า “ตามกฎของนิกายข้า ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก หากมิได้รับอนุญาตจากปรมาจารย์วัง ย่อมไม่สามารถเข้ามาได้ นี่คือข้อแรก”
“แต่พวกเขา ไม่เพียงไม่ได้รับอนุญาตจากทางขุนเขาหลัก แต่กลับริเริ่มการก่อสร้างโดยพลการ นับว่าเป็นความผิดครั้งใหญ่ที่กล้ารุกรานขุนเขาหลัก นี่คือข้อที่สอง”
“ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เช่นนั้นขอร้องถามเรื่องนี้กับพวกท่านปรมาจารย์ขุนเขาเป็นการส่วนตัว ว่า ‘เหตุใดจึงไม่เคารพต่อกฎ?’ นี่คือข้อที่สาม”
“ในช่วงเวลาที่ผู้นำนิกายไม่อยู่ พวกเขากลับบังคับให้ศิษย์ทั้งสามของผู้นำนิกายสังหารกันเอง จิตใจช่างชั่วร้ายและโหดเหี้ยมนัก นี่คือข้อที่สี่”
“ข้อที่ห้า…”
“เอาล่ะพอได้แล้ว!”
เทพวิญญาณขัดจังหวะเขา มิอาจรับฟังได้อีกต่อไป แถมยังรู้สึกแอบเสียใจว่าทำไมถึงได้เปิดโอกาสให้กู่ฉิงซานพูด
เทพวิญญาณกล่าวต่อหน้าทุกคน “เจ้ากล่าวว่าปรมาจารย์ขุนเขาบีบบังคับให้ศิษย์ขุนเขาหลักต่อสู้กันเอง แท้จริงแล้วมันมิได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเรื่องที่เทพวิญญาณกำลังช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยการคัดเลือกผู้ฝึกยุทธที่โดดเด่น ให้ได้รับสิทธิ์มายังพระราชวังเทวะต่างหาก”
ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณรีบเสริมทันที “หลังจากการพิจารณาของทางนิกายแล้ว ได้รับการตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่าจะมอบสองสิทธิ์ให้แก่ทางขุนเขาหลัก ทว่าขุนเขาหลักมีศิษย์อยู่มากกว่าสอง ฉะนั้นขุนเขาหลักย่อมต้องจัดการประลองต่อสู้เพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด นี่เป็นการละเมิดข้อห้ามของนิกายตรงไหน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างช้าๆ “ก็ถ้าหากมันเป็นเรื่องการประลองของขุนเขาหลัก เช่นนั้นเรื่องนี้สมควรให้ท่านอาจารย์ข้าเป็นคนจัดการ แต่ตอนนี้ท่านอาจารย์มิได้อยู่ที่นี่ ตรงกันข้าม เป็นข้าที่ครอบครองใบหยกผู้นำนิกาย ขณะเดียวกันก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ตามกฎของนิกายข้อที่เก้า สิบห้า และสามสิบเอ็ด เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดสมควรให้ข้าเป็นคนจัดการ แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับทางขุนเขาอื่นๆ ด้วย? เหตุใดพวกท่านต้องเข้ามาวุ่นวายกับทางขุนเขาหลัก? นี่มันไม่ถูกต้อง พวกท่านมิได้มีใบหยกผู้นำอยู่กับตัวเสียหน่อย ทว่ากลับกล้าที่จะท้าทายอำนาจของผู้นำนิกาย ฉะนั้น จุดจบเดียวที่จักได้รับก็คือความตาย!”
ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ทุ่มเถียงด้วยความดื้อรั้น “พวกเราก็แค่เป็นห่วงพวกเจ้าที่ยังเยาว์วัย กริ่งเกรงว่าจะไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ดี จนสุดท้ายอาจนำไปสู่การสร้างความไม่พอใจของสองศิษย์น้อง พวกเขาอาจจะเกิดความไม่พอใจในนิกาย และถอนตัวจากไปได้”
กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าได้ตัดสินใจแล้วที่จะสละการได้รับสิทธิ์ ฉะนั้นหวงซานกับเฉินหยางจะได้รับสิทธิ์ให้เดินทางไปยังพระราชวังเทวะได้เลยในทันที”
เหล่าปรมาจารย์ขุนเขาตะลึงงัน
อีกฝ่ายหนึ่งยอมละทิ้งโอกาสที่จะเข้าสู่พระราชวังอย่างกะทันหัน!
เห็นได้ชัดว่าเขายังเป็นเพียงเด็กน้อย แต่กลับยินยอมละทิ้งโอกาสดังกล่าว นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
หากพูดออกมาแบบนั้น นี่มิใช่หมายความว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลวแล้วหรอกหรือ?
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “และนั่นคือเหตุผลที่ข้าจะต้องให้พวกท่านรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกท่านล่วงล้ำขุนเขาหลัก หมายให้เหล่าศิษย์คิดฆ่าแกงกันต่อหน้าสาธารณชน ใครกันที่มอบความกล้าหาญขนาดนั้นให้แก่พวกท่าน?”
เขายกเสียงขึ้น ปากอ้าตะโกน “ใบหยกผู้นำนิกายอยู่ที่นี่ แต่พวกท่าน ซึ่งมีฐานะเป็นถึงปรมาจารย์ขุนเขา กลับฉกฉวยโอกาสในช่วงที่อาจารย์ไม่อยู่ ฉีกกฎเกณฑ์ของนิกาย ตามกฎแล้วสมควรให้ข้าลงทัณฑ์ สังหารทุกท่านจนสู่ความตาย! อสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย จงเตรียมน้อมรับคำสั่ง!”
สี่อสูรวิญญาณตอบรับเสียงกระหึ่ม แต่มันก็ยังคงหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
พวกมันกำลังลอบมองดูปฏิกิริยาของเทพแห่งโชคชะตาอย่างเงียบๆ
เทพแห่งชีวิตเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างรอบคอบ
สักพัก เทพแห่งชีวิตก็หันไปส่ายหัวให้กับทางปรมาจารย์ขุนเขาเล็กน้อย ทว่าในหัวใจกลับกำลังคิดถึงวาทะที่จะใช้ผ่อนปรนสถานการณ์
เพราะในช่วงเวลานี้ มีผู้คนจำนวนมากเกินไปที่กำลังเฝ้าดูอยู่ แต่อย่างไรซะ นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สุดของสงคราม ดังนั้น เขาย่อมมีเหตุผลอันสมควรที่จักช่วยชีวิตคนเหล่านี้เอาไว้ได้ โดยมิต้องลดทอนความศักดิ์ศรีของตนลง
ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็ได้หันไปคำนับให้แก่เทพแห่งชีวิต
เขากล่าวด้วยความเคารพลึก “ท่านผู้รังสรรค์ที่น่านับถือ มนุษย์นั้นเชื่อมั่นว่าเทพวิญญาณถือเป็นที่สุด ดังนั้นพวกเรา แน่นอนอันดับแรกต้องฟังคำท่าน เพราะการที่ท่านคิดถึงผลประโยชน์โดยรวมของโลก หมายรักษาไว้ซึ่งขุมกำลังรบมันก็เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ หากท่านคิดว่าพวกเขาถูก พวกเขาก็จะถูก แม้ว่าท่านอาจารย์ข้าอาจจะมีโอกาสตกตายลงในแนวหน้า แต่ข่าวที่ว่าก็ยังมิได้ยินจากปากใครในขณะนี้ ดังนั้น ตราบใดที่ไม่คิดใส่ใจกฎของนิกาย ตัวแทนผู้นำนิกายก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะลงทัณฑ์ได้อย่างเต็มที่”
เขาผายมือออก และชูใบหยกผู้นำนิกายขึ้นสูงต่อหน้าทุกคน
“ท่านเทพวิญญาณผู้สูงส่ง แน่นอนว่าพวกเราย่อมรับฟังในสิ่งที่ท่านพูด แต่ขณะเดียวกัน พวกเรากลับเกิดความสับสนขึ้น”
“นี่เป็นสิ่งที่ผู้น้อยตัดสินใจได้ยากลำบากยิ่ง พวกเราจะมีใบหยกผู้นำนิกายไปเพื่อสิ่งใดกัน เผ่าพันธุ์มนุษย์จักมีนิกายไว้เพื่อสิ่งใด หากในเมื่อทุกคนล้วนต่างกระหายจะต่อสู้แย่งชิงอำนาจแก่ตนเอง เมื่อเป็นแบบนี้ การต้องออกไปยังแนวหน้าหาได้เป็นประโยชน์อันใดไม่ เพราะยามจากไป ก็มีผู้คนมากมายเฝ้ารอคอยจะตลบหลบหลัง จนแม้กระทั่งศิษย์ของตนก็มิอาจปกป้องเอาไว้ได้”
พูดจบ กู่ฉิงซานก็โยนใบหยกผู้นำนิกายในมือขึ้นไป
ขณะเดียวกันก็กวัดแกว่งดาบเชือดเฉือนเข้าใส่มัน
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยน
ผู้ฝึกยุทธระดับสูงบางคนที่ได้ยินข่าว ผู้นำจากนิกายอื่นๆ เทพวิญญาณในท้องฟ้า และเทพแห่งชีวิตเอง แม้กระทั่งสาวกจากขุนเขาอื่นๆ และปรมาจารย์ขุนเขาเอง ทั้งหมดล้วนตกตะลึง
เพราะหากดาบเล่มนั้นกระทบเข้าใส่ใบหยก จนมันถูกทำลายลง นี่จะกลายเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้ทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน
เพราะสิ่งนี้จะแสดงถึงความจริงที่ว่า เทพวิญญาณได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแทรกแซงนิกายมนุษย์ ส่งผลให้เกิดความสับสน และปัญหาเลวร้ายนับไม่ถ้วนขึ้นตามมา
เพราะนั่นหมายความว่านับจากนี้ไป จักเป็นเทพวิญญาณที่สามารถคิด และตัดสินใจทุกอย่างแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์
นิกายจะสูญสิ้นความหมายของมันไป
สถานการณ์ในแนวหน้าจะระส่ำ สุดท้ายก็แตกพ่าย
นอกจากนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ…
ใบหยกผู้นำกับเซี่ยกู่หงส์นั่นมีจิตสัมผัสเทวะเชื่อมถึงกัน ดังนั้นหากเขายังคงมีชีวิตอยู่ เซี่ยกู่หงส์ย่อมรับรู้ได้ถึงการถูกทำลายของใบหยก
ผลลัพธ์ก็คือ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ในช่วงเวลานี้ แต่ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน
ช่วงเวลานี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการหยุดกู่ฉิงซาน แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้คนนับไม่ถ้วนไม่คิดห้ามปรามเขาเช่นกัน
นั่นเพราะทุกคนอยากจะรู้ว่าเซี่ยกู่หงส์ตายแล้วหรือยัง
…
ถ้าเซี่ยกู่หงตกตาย ศิษย์ของเขาที่กระทำการหมิ่นเกียรติใบหยกผู้นำนิกาย ก็เป็นอันต้องถูกลงโทษตามกฎนิกาย
ทว่าหากเซี่ยกู่หงส์ยังไม่ตายล่ะก็ …
นี่มันน่าสนใจมากจริงๆ
ในฐานะปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวก ในฐานะผู้ฝึกดาบที่มีชื่อเสียงก้องไปทั้งโลกหล้า เซี่ยกู่หงส์ย่อมไม่ยินยอมอยู่ร่วมกันกับคนเหล่านี้ที่คิดจะรังแกลูกศิษย์ของเขาอย่างแน่นอน!
นั่นหมายความว่า นิกายที่ใหญ่ที่สุดในโลก วังสวรรค์เมฆาวิเวกจะต้องจมอยู่ภายใต้สงครามภายใน
และนิกายคงจะล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว
ล่มสลายลงภายใต้การแทรกแซงของเทพวิญญาณ
ในเวลานี้ ราวกับว่าช่วงเวลาแทบจะหยุดนิ่ง ทุกผู้คนล้วนบังเกิดความคิดมากมายในจิตใจ
แต่ในที่สุด ดาบของกู่ฉิงซานก็กำลังจะสัมผัสถูกใบหยกแล้ว
และไม่มีใครสามารถหยุดมันได้!
ทว่าในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ คมดาบของกู่ฉิงซานกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน
เขาเบิกตากว้างมองดูใบหยก
นั่นเพราะปรากฏจิตสัมผัสเทวะ สะท้อนออกมาจากภายในมัน
เจ้าของใบหยกคือเซี่ยกู่หงส์
ดังนั้นจิตสัมผัสเทวะนี้ ย่อมแน่นอนว่าต้องเป็นของเซี่ยกู่หงส์
เสียงของเขาดังออกมาจากในใบหยก “ฉิงซาน? ข้าเสร็จสิ้นภารกิจที่ต้องกระทำแล้ว และกำลังจะกลับไปยังนิกาย ช่วงก่อนหน้านี้การฝึกยุทธของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? การสอนสั่งศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าเป็นไปด้วยดีหรือไม่?”
แม้สีหน้าของกู่ฉิงซานจะยังคงเงียบสงบ แต่ในหัวใจกลับเบิกบานยิ่ง
ท่านอาจารย์เอง ช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังให้ความร่วมมือ ประสานงานกับเขาได้อย่างดี
ต้องไม่ลืมนะว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ มันย่อมดีกว่าความจริงที่ว่าตนเองเป็นคนทำลายใบหยก
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางใบหยก “รายงานท่านอาจารย์ การฝึกยุทธของพวกเราเป็นไปด้วยดี ศิษย์น้องขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างมาก ทว่าภายในนิกาย…ยังมีเรื่องมากมายที่กำลังรอให้ท่านกลับมาตัดสินอยู่”
“เข้าใจแล้ว ส่วนทางข้า พึ่งจักสังหารราชามารลงได้ และกำลังจะกลับไปยังนิกายแล้ว” เซี่ยกู่หงส์กล่าว
แล้วเสียงบนใบหยกก็หายไป
ใบหยกตกลงในมือของกู่ฉิงซานอย่างนุ่มนวล
เหล่าผู้คนต่างกระซิบกระซาบ
เมื่อครู่นี้…เซี่ยกู่หงส์กล่าวว่าเขาสามารถสังหารราชามารได้กระนั้นหรือ?
ไหนบอกว่าจะแค่ตรวจสอบไง เขาไปทำบ้าอะไรที่นั่นกันแน่?
“นี่มันเป็นไปไม่ได้” ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณบ่นงึมงำ “ชัดเจนว่าเขาหายไปในโลกบรรพกาล ซึ่งเป็นกลางถิ่นของศัตรู…แต่แล้วทำไม…”
จากนั้น ก็มีอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น
บนท้องฟ้า เปลวไฟนับไม่ถ้วนบินออกมาจากสถานที่ห่างไกล และตกลงในมือของผู้ฝึกยุทธระดับสูงของแต่ละนิกายที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่โดยรอบ
เป็นยันต์สื่อสาร
ยันต์สื่อสารจำนวนมาก!
ทันทีหลังจากนั้น อีกกระแสแสงหนึ่งก็บินมาตามท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และปรากฏรูปร่างขึ้น
แต่เขามิใช่เทพ ทว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีเกราะเจิดจรัสเต็มตัว
เขาหันไปคำนับต่อเทพแห่งชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนบอกทุกคนด้วยความตื่นเต้น “ที่แนวหน้าได้รับชัยชนะครั้งสำคัญ จ้าวแห่งดาบทั้งเจ็ดเซี่ยกู่หงส์ได้ยกกองกำลังทหารเข้าสู่โลกบรรพกาล และสังหารราชามารบรรพกาลลงได้ ตอนนี้ในโลกบรรพกาลเกิดความระส่ำยิ่ง ส่งผลให้ทางกองทัพของเราบุกเข้าโจมตีได้สำเร็จ เข่นฆ่าสังหารศัตรูได้นับไม่ถ้วน!”
บังเกิดเสียงอุทานขึ้นเต็มฟ้า
สีหน้าของทุกผู้คนล้วนแสดงออกถึงความสุข
เพราะนี่นับว่าเป็นชัยชนะครั้งแรก และครั้งยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากศึกครั้งนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะรวมกำลังและฟื้นฟูขวัญกำลังใจ รวมถึงยืดเวลาออกไปได้เป็นจำนวนมากเพื่อทำการจัดเตรียมกลยุทธ์ครั้งต่อไป
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน
เซี่ยกู่หงส์ย่อมต้องปลอดภัยกลับมาโดยไร้รอยขีดข่วน
และในอีกหลายปีต่อมา เขาจะทัดเทียมกับเทพวิญญาณ สามารถใช้ดาบพิภพมีชัยเหนือเทพวิญญาณได้ไปกว่าครึ่ง
ดังนั้น ในหัวใจของตนเอง จึงย่อมมั่นใจว่า ถ้าในวันนี้เขารอดไปได้ จะไม่มีใครริอาจมากดดันเขาอีก
ไม่เว้นกระทั่งเทพวิญญาณ!
ท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ เทพวิญญาณย่อมไม่อาจหาเหตุได้มากพอ หากคิดจะลงมือกับตนเอง!
เซี่ยกู่หงส์ยินยอมเสี่ยงตาย โยนชีวิตของตนเองไปอยู่ในแนวหน้า ทว่าบางคนที่อยู่เบื้องหลังเขากลับเล่นลูกไม้ และแม้กระทั่งศิษย์ของเขาเองก็ยังตกอยู่ในอันตราย และถูกบังคับให้เข่นฆ่าซึ่งกันและกัน
แต่ในที่สุด เทพวิญญาณกลับปลดปล่อยผู้คนที่กระทำเช่นนั้นไป
หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ จากนี้ไปจะยังมีใครยอมไปแนวหน้าอีกเล่า?
ใครมันจะไปทำงานให้กับเทพวิญญาณกัน?
ใครมันจะโยนชีวิตตนเองไปเสี่ยงตายกับมอนสเตอร์ ทั้งๆ ที่ยังมีเรื่องต้องคอยพะวงหลัง?
มองไปยังเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาอีกครั้ง จักเห็นว่าในเวลานี้ ใบหน้าของพวกเขาช่างซีดขาว มิกล้าเอ่ยคำใด
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาประสานกำปั้นไปทางเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา
“ต้องอภัยด้วย ที่ข้าในฐานะศิษย์พี่ใหญ่กระทำตนหยาบคาย สูญสิ้นการควบคุมตัวเองไป”
“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นความผิดของข้าเอง”
ในสายตาของทุกคน จ้องมองใบหน้าของเขาด้วยความละอาย
“ในความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้ ตัวข้าในฐานะสาวก แท้จริงไม่สมควรล่วงเกิน และทำให้พวกท่านต้องขุ่นแค้น เป็นข้าเองที่หุนหันพลันแล่นจนเกินไป”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความสัตย์ซื่อ เปล่งประโยคสะท้านสะเทือนสุดท้ายออกไป
“ดังนั้น เอาไว้เฝ้ารอให้ท่านอาจารย์กลับมาก่อน แล้วค่อยให้เขาตัดสินโทษตายของพวกท่านด้วยตนเองจักเป็นการดีกว่า เช่นนี้แลจึงจะสอดคล้องกับกฎของนิกาย!”
……………………..