มู่เฉียนซีลอยอยู่กลางอากาศ นางยกแขนที่ขาวเหมือนดั่งหยกขาวของนางขึ้น พลันรู้สึกว่าแขนของตนเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
นางเปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา “พลังตี้ซวน!”
— ตูม! —
พลังฝ่ามือที่ร้ายกาจนั้นกระทบไปบนผิวของทะเลสาบ ทันใดนั้นมันก็ถูกมู่เฉียนซีทำให้แตกกระจายเปิดออก
— ฟึ่มมมม! — รอบด้านทั้งสี่ทิศกลายเป็นสายน้ำที่พุ่งขึ้นมาเหมือนน้ำพุก่อนจะร่วงหล่นลงไป มันเข้าไปเติมเต็มที่หลุมนั่นอย่างบ้าคลั่ง
มู่เฉียนซีหันไปมองบุรุษผู้ที่อยู่ด้านหลัง นางกล่าวว่า “เมื่อเทียบกับกระบวนท่าของเจ้านั้น ของข้ายังห่างไกลอีกมากนัก”
“ไม่เลว ถือเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม
แม้จะเป็นเพียงความสำเร็จเล็ก ๆ แต่ถ้าหากว่าผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาแห่งภูตโดนเข้าไปละก็ ไม่รู้ว่ากระดูกบนร่างนั้นจะแตกป่นไปเป็นจำนวนเท่าใด
“ต่อไป ความเร็ว”
“ย่างก้าวพันเงา!”
เมื่อจิ่วเยี่ยเริ่มขยับ ร่างเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพลวงตากว่าสิบล้านเงา มู่เฉียนซีไม่สามารถที่จะแยกออกได้เลยว่าร่างไหนเป็นร่างจริง
ทักษะย่างก้าวพันเงาที่นางได้เข้าไปฝึกจากการวิ่งหนีในเทือกเขาชีชงนั้น เมื่อมาเทียบกับสิ่งที่จิ่วเยี่ยเพิ่งจะแสดงออกมานี้ ทักษะของนางดูไรค่าไปเลย
จิ่วเยี่ยโบกมือขึ้น ทันใดนั้นโครงกระดูกโลหิตหลายโครงก็ปรากฏขึ้น ดวงตาสีแดงโลหิตน่ากลัวของพวกมันจ้องมองไปยังมู่เฉียนซี
“ให้มันเล่นเป็นเพื่อนเจ้า” จิ่วเยี่ยกล่าวสบาย ๆ
— ตูม! —
พายุอันน่าสะพรึงกลัวพัดผ่านเข้ามา และมู่เฉียนซีก็ถูกเหล่าโครงกระดูกโลหิตพวกนั้นล้อมเอาไว้
กระบวนท่าที่ดุดันเฉียดผ่านใบหูของมู่เฉียนซีไป มู่เฉียนซีรีบหลบหลีกไปแล้วมองไปทางจิ่วเยี่ยอย่างรวดเร็ว “จิ่วเยี่ย โครงกระดูกเหล่านี้ไม่มีจิตสังหาร”
ทหารกระดูกโลหิตของเยี่ยอ๋องเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก พวกมันล้วนปีนป่ายขึ้นมาจากนรก เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ซึ่งจิตสังหาร
ทว่าก็ยากจะคาดเดาว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ… ผู้เป็นนายของพวกมันออกคำสั่งเอาไว้
ดวงตาจิ่วเยี่ยฉายประกายความลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ “เจ้าแน่ใจหรือ ? ทันทีที่พวกมันมีจิตสังหาร เจ้าจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก”
มีเขาอยู่ด้วย แน่นอนว่าเขาย่อมมิยอมให้นางตาย แต่ว่าการที่นางจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนักนั้นก็ยังเป็นความจริงอันน่าปวดใจอยู่เช่นเดิม เมื่อตอนเข้าไปในเทือกเขาชีชง นางได้รับบาดเจ็บไม่น้อยและมันไม่ใช่ความรู้สึกที่น่าอภิรมย์เลย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เพื่อที่จะทำให้ความรวดเร็วของข้าพัฒนายิ่งขึ้น มาเลย ข้าพร้อม!”
— ผ่าง! —
จิตสังหารกระหายเลือดแผ่ซ่านออกมาอย่างช้า ๆ จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวนี้สามารถทำให้ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิหวาดกลัวได้เสียด้วยซ้ำ แต่ทว่ามู่เฉียนซีกลับทนรับมันได้
— ปัง! —
นางใช้กระบวนท่าย่างก้าวพันเงาถึงขั้นสุดและหลบหลีกออกไป ทว่าก็ยังถูกลมกระโชคของจิตสังหารนั้นโจมตีเข้าอย่างหนัก
โครงกระดูกโลหิตเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นหุ่นรบที่สมบูรณ์แบบตามคำสั่งจากนายท่านของพวกมัน
มู่เฉียนซีหลบหลีกอย่างไม่หยุดยั้งและโจมตีไปเท่าที่นางจะทำได้ ทว่าสำหรับพวกมันแล้ว การโจมตีของนางไร้ผลอย่างสิ้นเชิง!
— ปั้ก! — เพียงทหารกระดูกโลหิตเหล่านี้โจมตีมู่เฉียนซีด้วยการโจมตีครั้งเดียว ก็ทำให้กระดูกของนางหักหลายซี่
“พรวด!”
โลหิตสดแดงฉานไหลออกมาจากมุมปากของนาง จากนั้นเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่เยือกเย็นคู่นั้นฉายประกายโกรธขึ้ง เขาแทบอยากจะสับพวกมันเป็นหมื่นชิ้น สตรีของเขาผู้ใดก็มิอาจจะมาทำร้ายได้
แต่เมื่อมองไปยังสตรีที่ใบหน้าซีดเผือด ก็ได้เห็นว่าดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับดวงดาราที่ส่องประกายออกมาอย่างไม่ลดละ ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงยังไม่ออกตัวลงมือ
เขารักนาง เป็นห่วงนาง ทว่าเส้นทางที่นางยืนยันที่จะเดินไป เขาไม่ต้องการที่จะไปขัดขวางนาง
— ฟุ่บ! —
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ทนไม่ไหว นางสลบล้มลงไป!
— แกร่ก! —
และก็เช่นเคย จิ่วเยี่ยรับบทหมอยารักษาอาการให้กับนาง มาวันนี้เขาได้เรียนรู้การรักษาต่อกระดูกให้นางเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
มู่เฉียนซีที่เวลานี้ฟื้นแล้ว อดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกล้อ “จิ่วเยี่ย เจ้าเรียนรู้สิ่งใดก็สามารถสำเร็จในสิ่งนั้นดีจริง ๆ เจ้าเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้รวดเร็วมาก ข้าสงสัยว่าหากเจ้าอยู่กับข้าต่อไปเรื่อย ๆ เจ้าจะกลายเป็นหมอยาที่มีฝีมือร้ายกาจผู้หนึ่งเหมือนเช่นข้า”
นางบาดเจ็บอันใด เขาก็เรียนรู้การรักษานั้นจนสามารถรักษาได้ ทว่าถ้าหากว่าเป็นไปได้ เขายอมที่จะเรียนไม่สำเร็จตลอดไปยังจะดีเสียกว่า เขานั้นอยากจะเป็นคนป่วยไข้นอนให้นางรักษามากกว่า
จิ่วเยี่ยกล่าวถามขึ้น “เจ้าเคยพบหมอยาที่รักษาคนแค่เพียงผู้เดียวหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซี “ไม่ ต่อไปสหายหรือว่าคนสำคัญ ๆ ของเจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เจ้าก็สามารถลงมือจัดการรักษาพวกเขาได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องรักษาเพียงแค่ข้าผู้เดียว”
“หากไม่ใช่ซี ข้าไม่จำเป็นต้องรักษาใคร” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงเย็น เขาจะทำอย่างเต็มที่เพื่อทำการรักษาให้นางผู้เดียวเท่านั้น
“แล้วหากว่าข้าไม่อยู่ล่ะ ?”
สิ้นเสียงถาม มู่เฉียนซีถูกโอบกอดอย่างแนบแน่น
จิ่วเยี่ยเอ่ย “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หนใด ข้าหาเจ้าพบได้ไม่ยาก”
“โอ๊ย! ข้าเจ็บ เจ้าเบามือหน่อย!” มู่เฉียนซีกล่าว คิ้วงามพลันขมวด
มุมปากของจิ่วเยี่ยโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบาง นางผู้นี้น่ะหรือกล่าวว่าเจ็บต่อหน้าเขา ?
ทว่าเขาก็ผ่อนแรงน้ำหนักมือให้เบาลง เขาแตะที่คิ้ว ปลายจมูก และริมฝีปากของนาง
จังหวะนี้เอง มู่เฉียนซีขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวเสียงดัง “คัน!”
“เช่นนั้นข้าทำเบาลงอย่างนี้เจ้าก็คงไม่คันแล้ว” จิ่วเยี่ยกล่าวสบาย ๆ
จิ่วเยี่ยอยู่กับมู่เฉียนซีจนอาการของนางนั้นดีขึ้นมาก และก็ได้โยนนางเข้าไปกลางวงของโครงกระดูกเหล่านั้นอีกครั้ง เมื่อถูกโครงกระดูกเข้าโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง มู่เฉียนซีฝึกตน นางอดทนต่อมันได้ในระยะเวลาที่นานขึ้นเรื่อย ๆ
— ตูม! —
ในการต่อสู้ที่ไม่มีการหยุดพักเช่นนี้ มู่เฉียนซีที่เพิ่งเลื่อนระดับมาไม่นาน ก็ได้เลื่อนระดับขึ้นอีกครั้งแล้ว
ปรมาจารย์ภูตระดับสาม!
— ตูม! —
เวลาเดียวกันเคล็ดวิชาก้าวย่างพันเงาของนางก็ยิ่งก้าวหน้ามากเข้าไปอีก จิ่วเยี่ยจึงกล่าวขึ้น “ซี… ข้าจะคุมระดับของข้าให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้า หากข้าพอใจแล้ว เจ้าก็สามารถออกไปเผชิญโลกได้”
“ได้” มู่เฉียนซีกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ ทันใดนั้นมังกรวารีพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องนภา “ผนึกมังกรวารี!”
แต่อนิจจา! เพียงแค่จิ่วเยี่ยโบกมือเบา ๆ การโจมตีเมื่อครู่ของนางกลับกลายเป็นความว่างเปล่าไป
มู่เฉียนซีเบ้ปาก “อะไรกัน ? เหตุใดเจ้าที่ระดับเดียวกันกับข้า ถึงยังได้เก่งกาจเพียงนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ข้าต้องตระหนกไป ข้าจะสู้!”
“ผนึกมังกรวารี!”
กลิ่นอายเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยแผ่ออกมา กอปรกับการใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวก็สามารถหยุดยั้งการโจมดีของนางเอาไว้ได้เช่นเคย
แม้ว่าเขาจะควบคุมระดับพลังของตนเองเอาไว้ แต่ประสบการณ์ในการต่อสู้ของจิ่วเยี่ยนั้นมีมากมายนัก จึงทำให้มู่เฉียนซีตกอยู่ในภาวะที่ทั้งเสียเปรียบทั้งอันตราย
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยาของมู่เฉียนซีพุ่งออกไป นางรู้ดีว่าพิษของตนนั้นใช้ไม่ได้ผลกับจิ่วเยี่ย แต่ก็ยังลอบหวังลึก ๆ ในใจว่ามันจะสามารถรบกวนเขาได้บ้างเล็กน้อยก็เท่านั้น
— ตูม! ตูม! —
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะไม่สามารถทำอะไรจิ่วเยี่ยได้ แต่ทว่าทั้งสองนั้นก็ได้ต่อสู้กันมาหลายกระบวนท่าจนนับไม่ถ้วนแล้ว
มู่เฉียนซีสีหน้าจริงจัง “สุดท้ายนี้ ข้าจะใช้สิ่งที่เจ้าสอนมา… ทักษะตี้ซวน!”
เมื่อกระบวนท่านั้นตกลงมา ชุดคลุมยาวของจิ่วเยี่ยสะบัดลอยขึ้นกะทันกัน
— ตูม! —
ในพริบตาเดียว ตัวเขาก็เข้ามาถึงตรงหน้ามู่เฉียนซีและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “อืม ถือว่าเจ้าสอบผ่าน”
“ข้าเองก็พอใจการฝึกในครั้งนี้อย่างมาก จากนี้ไปข้าจะต้องรีบเดินทางแล้ว”
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะมีผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ แต่นางก็ยังคงไม่วางใจในอาการของท่านอาเล็ก เป้าหมายในการออกมาในครั้งนี้ของนางคือ นอกจากจะมาฝึกเพื่อเพิ่มพลังของตนเองแล้ว ยังต้องการที่จะตามหาหม้อเทพนิรันดร์อีกด้วย
จิ่วเยี่ย “อืม เช่นนั้น…”
การฝึกของจิ่วเยี่ยจบลง แน่นอนว่าเขาต้องหาค่าตอบแทนจากมู่เฉียนซี
“อ๊ะ! อื้ม…”
บุรุษก้อนน้ำแข็งเยือกเย็นผู้นี้ นับวันยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีจึงถามขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย คำสาปของเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? มันไม่ได้กำเริบหรือส่งผลร้ายต่อเจ้าใช่หรือไม่ ?”
ทั้งหมดนี้ต้องกล่าวโทษคำสาปบ้า ๆ นั่นที่ทำให้จิ่วเยี่ยมีนิสัยเชิงรุกเช่นนี้ ทว่าก็โชคดีที่เวลานี้ทุกอย่างสามารถควบคุมไว้ได้แล้ว
จิ่วเยี่ย “ควบคุมมันเอาไว้แล้ว ข้าใช้พลังไม่เกินขีดจำกัด จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซีไม่ต้องกังวล”
มู่เฉียนซี “แต่เหตุใดเจ้าถึง…”
ปลายนิ้วเรียวยาวไล้ไปตามริมฝีปากของมู่เฉียนซี “เมื่อเห็นซี ข้าคิดว่าข้าอยากจะได้มากกว่านี้…”
ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นดูราวกับว่าจะดูดกลืนวิญญาณของมู่เฉียนซีเข้าไป มู่เฉียนซีแทบอยากจะสลบล้มลง
จิ่วเยี่ยผู้นี้ป่วยเป็นอะไรกันแน่ ?
“อื้ม” ร่างกายของมู่เฉียนซีสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่าจิ่วเยี่ยเริ่มที่จะเก็บหนี้อีกครั้ง แน่นอนว่าเขาจะต้องทวงหนี้จนเพียงพอถึงจะยอมปล่อยนาง
.